ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นเรื่องน่าจับตาขึ้นมาพอสมควรสำหรับคดีของ “จักรภพ เพ็ญแข” ที่ล่าสุดทางตำรวจได้เพิ่มคดีที่ระบุว่าเชื่อมโยงกับการใช้อาวุธสงคราม ในเวลาต่อมาจักรภพก็ใช้โซเชียลมีเดียออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวจากทางการไทยว่า “กลั่นแกล้ง” เป็นการยัดเยียดข้อหา ขณะเดียวกันยังใช้สื่อต่างประเทศขยายผลถล่มเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ขณะเดียวกัน สื่อต่างประเทศก็มีการขยายผลการจับกุมนายจาตุรนต์ ฉายแสง ระหว่างแถลงข่าวที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ โดยฝ่ายทหารก่อนหน้านี้ ในทำนองละเมิดสิทธิเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอะไรทำนองนี้ ความหมายก็คือเป็นการจงใจดิสเครดิตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีก่อการยึดอำนาจล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พวกสื่อตะวันตกเหล่านี้อ้างว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตย
ทั้งกรณีตั้งข้อหาเพิ่มเติมต่อนายจักรภพ เพ็ญแข และการจับกุมนายจาตุรนต์ ฉายแสง ล้วนสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ เพราะทั้งคู่ล้วนเป็นข้าทาสบริวารในระบอบทักษิณ ซึ่งที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นตัวแทนอำนาจของทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งไม่นานมานี้นายจักรภพและคู่หูอีกคนคือ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็ได้จัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ เพื่อต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างเป็นทางการ โดยถือฤกษ์เปิดตัวให้ตรงกับวันยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา แม้ว่าเนื้อหาเรื่องราวและตัวบุคคลในประวัติศาสตร์จะไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้กับทั้งคู่คือ จักรภพ และ จารุพงศ์ แต่สำหรับการถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามนั้นย่อมนำมาเป็นเงื่อนไขขยายผลบั่นทอนความน่าเชื่อถือของ คสช.ได้พอสมควร
เพราะหลังจากนั้นไม่นานนักก็มีการประชุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และต่อมา พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติ เขาก็ระบุว่าที่ประชุมสั่งให้มีการชี้แจงพยานหลักฐานให้เห็นว่านายจักรภพ เพ็ญแข มีความเชื่อมโยงกับคดีการใช้อาวุธสงครามอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือยัดเยียดข้อหา ความหมายก็คือเร่งเร้าให้ตำรวจรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาหลักฐานและพยานทั้งหมดที่มีอยู่ หรือมีการขยายผลเพื่อยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์โดยเร็ว
ก่อนหน้านี้ทางตำรวจและทหารได้ผสานกำลังกันเข้าจับกุม อดีตทหารชั้นประทวนนายหนึ่งที่คลอง 6 จ.ปทุมธานี สามารถยึดอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนมาก คราวนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงว่าผู้ต้องหารายนี้มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายจักรภพ เพ็ญแข และกำลังมีการขยายผลออกไปอีก รวมไปถึงก่อนหน้านี้ยังมีการระบุว่าเชื่อมโยงกับ “ขอนแก่นโมเดล” ที่มีการจัดตั้งกลุ่มติดอาวุธเพื่อหวังลุกฮือต่อต้านการรัฐประหาร เพียงแต่ว่าความแตกถูกจับกุมได้เสียก่อน รวมไปถึงการจับกุมอาวุธสงครามที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.นครราชสีมา
แน่นอนว่าสำหรับชาวบ้านทั่วไปกรณีของจักรภพ เพ็ญแข หากเป็นการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง มีเจตนาล้มล้าง พยายามประดิษฐ์ถ้อยคำให้หรูหรากินใจในเรื่องสงครามชนชั้น และในที่สุดก็เพิ่งมีการเปิดตัวองค์กรเสรีไทยเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยสถาปนาให้นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นเลขาธิการใหญ่ ส่วนตัวเขาก็รั้งตำแหน่งเลขาธิการบริหาร หากเป็นเรื่องแบบนี้เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาและมองเป็นเรื่องขบขัน เป็นเรื่องของพวกเก็บกดหลงยุค แต่รับรองว่าหากระบุว่านายจักรภพมีความเชื่อมโยงกับคดีอาวุธสงคราม ถือว่าเป็น “ข้อมูลใหม่” ที่คาดไม่ถึงพอสมควร
ดังนั้น เมื่อเป็นข้อมูลใหม่ที่หลายคนยังไม่เคยรับรู้ก็ต้องมีการเคลียร์ให้ชัดเจน เพราะเมื่อมีการจับกุม มีหลักฐานขยายผลไปถึงก็ต้องนำมาพิสูจน์ให้เห็น เพราะไม่เช่นนั้นหากพูดกันลอยๆแบบไม่มีหลักฐาน เหมือนกับที่นายจักรภพ เพ็ญแข กำลังพยายามใช้สื่อต่างประเทศมาเป็นเครื่องมือสมคบกันทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องแบบนี้มันช่างอ่อนไหวในสายตาของพวกตะวันตกที่มักหยิบยกเอาแต่เรื่องประชาธิปไตยมาเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์
กรณีดังกล่าวมันก็สะท้อนให้เห็นเช่นเดียวกันว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็เริ่มมีความอ่อนไหวต่อเรื่องแบบนี้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ให้ความสำคัญสั่งให้ค้นหาหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความจริงหรอก!!