xs
xsm
sm
md
lg

คุ้ยเงื่อนงำอีกด้าน ปมเลี่ยงภาษีบุหรี่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**จนบัดนี้ปมการเลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ที่เป็นข่าวฮือฮาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีความคืบหน้า
หลังจากที่ “อัยการสูงสุด”มีความเห็นสั่งฟ้อง บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด กับพวกรวม 14 คน ไปเมื่อปลายปีก่อน ในข้อหาร่วมกันแสดงราคานำเข้าบุหรี่ยี่ห้อ “มาร์ลโบโร –แอลแอนด์เอ็ม”จากฟิลิปปินส์ในราคาต่ำกว่าความจริง ส่งผลทำให้รัฐเสียหายอย่างมหาศาลกว่า 68,000 ล้านบาท
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ก็อยู่ที่ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมี “เงื่อนงำ” ที่ชี้ให้เห็นว่า “ฝ่ายการเมือง” ยืมมือข้าราชการประจำหยิบใช้เป็นกลเกมเจาะยางกันมาโดยตลอด
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างปี 46-52 ซึ่งมีการเปิดเผยว่า บ.ฟิลลิปมอร์ริสฯ ได้สำแดงการนำเข้าสินค้าบุหรี่จากประเทศฟิลิปปินส์เป็นความเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ทำให้ค่าภาษีอากรต่างๆที่สมควรเป็นรายได้ของรัฐหายไปถึง 68,881,394,278 บาท
เมื่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ก็โดดเข้ามารับเป็นคดีพิเศษและสรุปสำนวนสั่งฟ้อง บ.ฟิลลิปมอร์ริสฯ และพวก เมื่อเดือน ก.ย. 52 จนเมื่อเดือน มี.ค. 54 อัยการฝ่ายคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าราคาบุหรี่ทั้งสองชนิดที่นำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์ราคาที่แท้จริงเท่าใด รวมทั้งพยานหลักฐานที่ดีเอสไอส่งสำนวนสั่งฟ้องยังไม่เพียงพอ ก่อนส่งเรื่องกลับให้ดีเอสไอ
เรื่องราวที่ทำท่าจะถูกปิดตายในลิ้นชักของดีเอสไอ ก็ถูกหยิบขึ้นปัดฝุ่นอีกครั้งภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 โดยเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ไม่นาน ก็มี “ใบสั่ง” ถึงดีเอสไอ ให้เร่งทำความเห็นแย้งเพื่อชงให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้องคดีนี้เองแต่ผู้เดียว
**มีเป้าหมายนอกจากจะมีผู้เรียกรับผลประโยชน์แล้วก็ยังเป็นการ “เจาะยาง” พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลในสมัยก่อนหน้าอีกด้วย
คนที่เด้งรับลูกครั้งนั้นไม่ใช่ใครเป็น “ธาริต เพ็งดิษฐ์”อดีตอธิบดี ดีเอสไอ ที่ปุ๊บปั๊บเปลี่ยนสีทำงานสนองนายใหม่อย่างทันควัน กุลีกุจอแก้สำนวน ราวกับบรรจงเปิดลูกเข้าเท้า “จุลสิงห์ วสันตสิงห์” อัยการสูงสุดในตอนนั้น
แต่จนแล้วจนรอด “จุลสิงห์” อัยการสูงสุดในตอนนั้น ก็นั่งทับเรื่องไว้ถึงเกือบ 2 ปีเต็ม ก่อนที่จะอาศัยจังหวะชุลมุนในช่วงที่ตัวเองกำลังจะเกษียณอายุราชการ ลงนามความเห็นชี้ขาดสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ก่อนเปิบแน่บออกไปตามวาระเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย.56
“ASTVผู้จัดการ” ได้เคยถ่ายทอดกรณีนี้ผ่านคอลัมน์ “ข่าวปนคน คนปนข่าว” มาแล้วครั้งหนึ่ง ตามท้องเรื่อง บทพิสูจน์เลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ “นายทุน-นักการเมือง”เลวพอกัน! เมื่อวันที่ 14 ต.ค.56 โดยเมื่อเข้าไปศึกษาลงลึกถึงรายละเอียดเหตุการณ์อย่างถ่องแท้แล้วพบว่า บางช่วงบางตอนคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวถึงบทบาทของ “เกียรติ สิทธีอมร” อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ซึ่งอาจจะทำให้สังคมเข้าใจว่า “เกียรติ” ทำตัวเป็นทนายแก้ต่างวิ่งเต้นคดีให้กับบริษัทต่างด้าว จน “อัยการสูงสุด” ในสมัยนั้นมีคำสั่งไม่ฟ้อง
ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับชี้ให้เห็นว่า ตอนนั้น “เกียรติ”เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในฐานะประธานผู้แทนการค้าไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลขณะนั้นให้เข้าไปติดตามกรณีนี้ เหตุเพราะเรื่องราวเลยเถิดมีการฟ้องร้องไปถึงองค์การการค้าโลก (WTO) และมีคำพิพากษาชั้นต้นให้ประเทศไทยมีความผิดถึง 14 กระทง
เป็นเหตุให้ “เกียรติ”ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมา เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะคำพิพากษาของ WTO หากถึงที่สุดก็ต้องถือว่าร้ายแรงต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเปิดช่องให้สามารถเรียกค่าเสียหายจากไทยได้อีกเป็นจำนวนมหาศาล
และเพียงเอกสารเชิญประชุมหน่วยงานต่างๆในครั้งนั้น ทำให้ “เกียรติ” ถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นโจมตีว่า เข้าไปแทรกแซงจนอัยการต้องสั่งไม่ฟ้อง บ.ฟิลลิปส์มอริสฯ โดยไม่พูดถึงเอกสารลับที่ไม่ลับจากทั้งกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตที่มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย ที่แจ้ง DSI ว่าตรวจเอกสารของบริษัทฯ แล้วไม่พบว่ามีความผิด
ท้ายที่สุดจึงได้มีการอุทธรณ์ในชั้น WTO ส่งผลให้มีการกลับคำพิพากษาความผิดจาก 14 เหลือเพียง 4 กระทง อีกทั้งจนวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดเรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายไทยเลย
แม้จะไม่ได้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ จากผิดเป็นถูกทั้งหมด แต่การทำให้ฝ่ายไทยที่แพ้อย่างหมดรูปในชั้น WTO ตีตื้นกลับมาแพ้น้อยลง ก็ต้องถือว่า “เกียรติ” มีบทบาทสำคัญในการเป็น “ทนายแก้ต่าง” ให้ประเทศไทยคนหนึ่ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนเงินมหาศาลหลายหมื่นล้านที่มีข้อมูลว่า บ.ฟิลลิปส์มอ ริสฯหลบเลี่ยงนั้น หากมีการตัดสินชี้ขาดในชั้นศาลแล้วมีความผิด แทบนึกไม่ออกว่าตัวเลขเงินต้น 68,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ยแล้วจะบานตะไทไปขนาดไหน อย่างน้อยๆต้องแตะหลักแสนล้านเป็นแน่
สำหรับตัวเลข 68,000 ล้านบาทนี้น่าสนใจ เพราะหากไม่รู้ที่มาที่ไปก็น่าตกใจอยู่ไม่น้อย เจาะลึกวิธีคิด วิธีคำนวณแล้วปรากฏว่า มีการนำตัวเลขส่วนต่างต้นทุนนำเข้าช่องทางปกติกับช่องทางปลอดภาษีมาคำนวณแบบทื่อๆ ตรงๆ
ทั้งที่มีหนังสือตอบเป็นทางการจากองค์การศุลกากรโลก (WCO) ว่า การคำนวณโดยไม่ปรับฐานต้นทุนอีกหลายรายการนั้นไม่สามารถทำได้ และวิธีคิดกันแบบนี้ เป็นเหตุให้ประเทศไทยโดนฟ้องที่ WTO นั้นเอง
**ส่งผลให้คำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ WTO อาจทำให้ศาลไทยเอาผิดกับ บ.ฟิลลิปมอร์ริสฯได้ยากตามสำนวนที่ DSI ชงมาให้ทางอัยการ
เพราะวิธีคิดของ DSI ขัดต่อกับความเห็นของกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกติกาสากลที่ประเทศไทยยอมรับและต้องปฏิบัติตาม ทำให้การสั่งฟ้องของอัยการ ก็อาจกลายเป็น “บูมเมอแรง” ย้อนศรมาเล่นงานฝ่ายรัฐและกระบวนการยุติธรรมเสียเอง และหากเกิดความเสียหายขึ้นมา ถึงวันนั้นคงต้องถามหา คนรับผิดชอบกันอีกยกใหญ่
อย่างไรก็แล้วแต่ ตัวเลขมโหฬารที่ว่านำมาซึ่ง “เงื่อนงำ” ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะคำถามที่ต้องย้อนกลับไปถึง “จุลสิงห์” ว่ามีอะไรดลใจให้เซ็นคำสั่งฟ้องทิ้งทวนเก้าอี้อย่างมีเลศนัย
ทั้งที่เมื่อเดือน มี.ค.54 คณะกรรมการอัยการคดีพิเศษ ซึ่งมี “เด็กในคาถา”แต่งตั้งกับมือมีความความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และ “จุลสิงห์” เองก็ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เพราะรู้ดีว่า เรื่องนี้แม้เป็นของร้อน แต่อาจเป็นเค้กก้อนใหญ่สำหรับบางคน
จนมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า หลังอัยการสั่งฟ้องคดีครั้งล่าสุดแล้ว ก็มีเสียงโทรศัพท์กริ๊งกร๊างไปถึงปลายสายก็เป็นคนของบริษัทฯ กันจ้าละหวั่นเสนอตัวเป็น “ล็อบบี้ยีสต์” วิ่งเต้นเป่าคดีแลกส่วยเข้าขบวนฉ้อฉลปล้นชาติแบบไม่อายฟ้าดิน
และที่คดียังไม่คืบ อ้างสารพัดสารเพว่า สำนวนหลักฐานมีมาก ทำคำฟ้องไม่เสร็จ ก็ไม่ใช่อะไร แค่ลูกไม้เตะถ่วงรอเวลาไปเรื่อย ลุ้นว่าฝ่ายฝรั่งอาจผวาว่าต้องเสียภาษีย้อนหลังหลักแสนล้าน หรือไม่อยากเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการสู้คดี จนต้องยอมเจรจาต้าอวย โยนเศษเงินให้บ้าง
นาทีนี้ยังไม่รู้บทสรุปของท้องเรื่อง แต่ก็หวังว่ากาลเวลาและความยุติธรรมจะเป็นเครื่องพิสูจน์
**งานนี้ใครพระเอก ใครผู้ร้ายพอมองออกแล้ว แต่ต้องติดตาม...
กำลังโหลดความคิดเห็น