ข่าวปนคน คนปนข่าว
แทบจะแบเบอร์แล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย น่าจะไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ส่อไปให้เห็นในแนวทางนั้น
ไม่ว่าจะเป็นโรดแมป 3 ระยะ ที่มีการเคาะกันแล้วว่า รัฐบาล ผู้นำฝ่ายบริหารประเทศ จะมาในช่วงเดือนตุลาคมปีนี้ ซึ่งพอดิบพอดีกับห้วงจังหวะเวลาที่ “บิ๊กตู่”และเพื่อนๆ เหล่าทัพ ทั้ง (บิ๊กเจี๊ยบ) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) “บิ๊กเข้”พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายน
ตามกระแสข่าวลือว่า ทั้งหมดจะออกมาสวมบทนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ด้วยตัวเอง
ขณะที่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ดูแล้ว “บิ๊กตู่”ไม่น่าจะต่ออายุราชการตัวเองเพื่อปิดโอกาสของน้องๆ ในกองทัพที่จะเติบโต โดยอาจหลีกทางให้ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. น้องรักแห่งบูรพาพยัคฆ์ หรือ “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. สองแคนดิเดตคนใดคนหนึ่ง ได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในกองทัพบกต่อไป
ส่วนตัวเองก็ขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อคุมการแก้ไขปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูป
การที่ “บิ๊กตู่”ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ยังจะส่งผลให้การทำงานง่ายขึ้นด้วย เพราะงานแต่ละชิ้น ทั้งเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปประเทศ การแก้ไขปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ถ้าไม่คุมเอง โดยให้คนอื่นมาทำ อาจจะบิดเบี้ยว ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังเอาไว้ เสมือนปล่อยอำนาจหลุดจากอกตัวเอง ไปอยู่ในมือคนอื่น ซึ่งไม่รู้ว่าไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน
ขณะเดียวกัน การกุมอำนาจไว้ที่ตัวเอง ยังปิดกั้นการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งของบรรดานักวิ่ง ปัญหาโควต้ากลุ่มก๊กต่างๆ ที่จะมีขึ้นช่วงหลังมีธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ทั้งเก้าอี้เสนาบดีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เก้าอี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมถึงเก้าอี้สภาปฏิรูป ที่มีข่าวโชยออกมาให้เริ่มได้กลิ่นกันแล้ว เรื่องเหล่านี้หาก “บิ๊กตู่”นั่งกุมบังเหียนเอง น่าจะคอนโทรลได้ ทุกอย่างจะอยู่ในสายตาหมด
อย่าลืมว่า เป้าหมายที่วางเอาไว้ของ คสช. นั้นยากยิ่งจะสำเร็จ มีรายละเอียดต่างๆ มากมาย ถ้าละสายตา โอกาสจะร่วงลงสู่ก้นเหว แล้วทำให้การรัฐประหารครั้งนี้เสียของนั้นมีสูงลิ่ว
นอกจากปัจจัยต่างๆ แล้ว หากหันไปมองกระแสสังคมที่มีต่อผู้นำเฉพาะกิจในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า คะแนนนิยมในตัว “บิ๊กตู่” นั้นมาแรงแซงโค้งบรรดานักการเมือง หรือเหล่าอำมาตย์ทุกราย อันสืบเนื่องจากภารกิจสังคายนาสังคมไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ตลอดช่วง 1 เดือนเต็มที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าจำนำข้าวให้กับชาวนา การปราบปรามมาเฟียอิทธิพลเถื่อนในรูปแบบต่างๆ การรุกไล่แก๊งลักลอบตัดไม้ การเตรียมรื้อโครงสร้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การรื้อโครงการประชานิยมอันไม่ชอบมาพากล ฯลฯ เหล่านี้ทำให้ผู้นำท็อปบู๊ตกลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จนมีการเปรียบเปรยกันขำๆ
นึกอะไรไม่ออกบอก “ลุงตู่”
ยิ่ง คสช. ในยุคปัจจุบัน ทำหน้าที่คล้ายๆ กับกล่องรับเรื่องร้องเรียนที่มีศักยภาพแก้ปัญหา ใครหยิบหยอดอะไร เผลอแปบเดียวไม่ทันข้ามวัน “ลุงตู่” ทุบโต๊ะสั่งไปแก้ทันทีทันควัน ไม่ต้องรอนานเหมือนรัฐบาลปกติที่กล้าๆ กลัวเหยียบตีนพวกเดียวกันเอง
จากผลโพลล์ล่าสุดที่ออกมา ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.30 เทคะแนนให้ท่วมท้นว่า “ลุงตู่” ควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง ชนะขาดลอยพวกหน้าตาดีในสังคมแบบไม่เห็นฝุ่น ทั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีต รมว.คลัง นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหม เรียกว่าไม่มีใครเทียบได้
เมื่อทุกอย่างดูจะเอื้ออำนวยต่อการทำงาน จึงเป็นโอกาสดีที่ “บิ๊กตู่”จะใช้จังหวะนี้เร่งชำระสะสางรากเหง้าปัญหาที่กัดกร่อนเป็นบ่อนทำลายชาติมาช้านานให้ราบคาบลงให้จงได้ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจ ที่สำคัญจะมาเฉื่อยแฉะไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นดาบสองคม ด้านคมทิ่มแทงตัวเอง เพราะคสช.เองมาไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งกระแสภายนอกและภายในประเทศเองก็ไม่เห็นด้วยนักหากจะลากยาวอยู่บนอำนาจนานๆ
ข้อจำกัดของคณะรัฐประหารคือ ต้องทำงานแข่งกับเวลา และภัยแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะเข้ามาท้าทายอยู่ตลอด แน่นอนภายใน 1 - 2 เดือนแรกประชาชนอาจไม่มีความรู้สึกอึดอัดใจอะไร เพราะปัญหาเฉพาะหน้าได้ถูกปลดล็อกไปให้ เสมือนเป็นช่วงฮันนีมูน แต่พอหมดโปรโมชั่นเมื่อไหร่ทีนี้อะไรจะไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน
ต้องรู้นิสัยคนไทยว่าเหมือนคนป่วย ช่วงแรกๆ พอเจอยาแรงที่แพทย์ฉีดให้ก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้นเห็นผลทันตา แต่ครั้นจะฉีดเอาบ่อยๆ จนชินและชา สุดท้ายก็จะดื้อยาไปในที่สุด
บรรดานักการเมืองที่ซุ่มซ่อนตัวตนอยู่ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ช่วงนี้อาจะฝ่อ เพราะกลัวอาญาสิทธิ์จากกฎหมายติดดาบ แต่วันใดวันหนึ่งที่ คสช. คะแนนนิยมตก เริ่มมีเสียงแอนตี้มาจากคนในสังคมเยอะ ก็จะพร้อมใจกันออกมาเหยียบขย้ำซ้ำให้จมดินเพื่อขับไล่ ถึงเวลานั้นคสช.เองจะตกที่นั่งลำบาก
เช่นเดียวกับเรื่องปัญหาแทรกซ้อนในมิติต่างๆ ที่จะเข้ามาถาโถมอยู่ระยะที่ก็น่ากลัวไม่เบา เหมือนกับตอนนี้ที่เจอตออันเบ้อเร่อเข้าให้ หลังสหรัฐอเมริกา ชักออกลูกป่วนหนักต่อเนื่อง จัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศไทยในปีนี้ให้อยู่ในอันดับที่แย่ที่สุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย โดยเฉพาะชาติตะวันตก ที่มีความหวั่นไหว ตกใจง่าย พอเห็นว่าไทยใช้แรงงานต่างด้าวเยี่ยงทาสก็จะพากันแห่ไม่สนับสนุนของจากไทย
ทำเอาหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยตอนนี้เต้นกันเป็นเจ้าเข้า ต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกันยกใหญ่ บ้างก็ใช้วิธีตัดพ้อสหรัฐอเมริกาว่า เก็บข้อมูลคลาดเคลื่อน บ้างก็เมินไม่สนใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันเป็นบทพิสูจน์มันสมองของบรรดาขงเบ้งคสช.เหมือนกันว่าจะเอาตัวรอด และหลุดพ้นปัญหานี้อย่างไร ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นคลื่นลูกแรกแบบเบาะๆ ที่เข้ามาท้าทายความสามารถ ที่เชื่อขนมกินได้ว่าจะมีตามมาเรื่อยๆ ในช่วงระหว่างที่คสช. บริหารประเทศ แล้วจะหนักหนาสาหัสกว่านี้อีกเยอะ
ดังนั้น คสช. ต้องทำตัวเป็นประเภทมาเร็ว เคลมเร็ว รีรอ ลีลา ไม่ได้ ที่สำคัญต้องเด็ดขาดด้วย !!!