เมื่อเวลา 11.00 น.วานนี้ (2ก.ค.) นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และได้ขึ้นไปสักการะพระพรหม ที่อยู่บนตึกไทยคู่ฟ้า และสักการะพระภูมิเจ้าที่ และศาลตายาย ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งให้ไปดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ
ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า จะทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงานก.พ.) ซึ่งหลังจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคสช. ฝ่ายกิจการพิเศษ จะเรียกประชุมที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำทั้งหมด โดยที่ปรึกษาทั้งหมด จะทำงานที่สำนักงานก.พ.
เมื่อถามว่า ได้ฝากฝังงานที่กระทรวงยุติธรรมอย่างไร หลังจากที่โดนโยกมาทำหน้าที่ตรงนี้ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เพื่อนๆในกระทรวงทำงานร่วมกันมายาวนาน ซึ่งแนวคิดที่ได้ร่วมสร้างกระทรวงกันมา ก็เป็นที่รับรู้ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องฝากเป็นพิเศษ แต่คงเป็นเรื่องที่จะทำให้ความยุติธรรมใกล้มือประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นแค่กระบวนการยุติธรรม แต่เป็นกระทรวงที่ดูแลความเป็นธรรมให้กับประชาชน
เมื่อถามว่า ความคืบหน้าการสร้างความปรองดองของเครือข่ายปฏิรูป จะมีการนำเสนอ คสช. อย่างไรบ้าง นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นที่ดูโรดแมปของ คสช. เข้าใจว่าแนวทางตรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องปรองดอง ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้เสนอแนะทางคสช. ว่าเรื่องความปรองดองมีความสำคัญ เพราะความขัดแย้งมีมายาวนาน การสร้างบรรยากาศความปรองดองก็มีความสำคัญที่คสช.เน้นจุดนี้ ถือว่ามาถูกทาง แต่การสร้างความปรองดอง ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย การที่ทำให้คู่ขัดแย้งเจอกันในบรรยากาศในสภาพที่เป็นมิตรในการลดเงื่อนไขที่จะกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทั้งนี้การแก้ปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้นทางคสช.กำลังทำอยู่ ให้ทุกฝ่ายมาเปิดใจ หารือถึงปัญหาที่เป็นข้อขัดข้องใจ สิ่งเหล่านี้กำลังดำเนินการอยู่ และการปฏิรูปก็จะเป็นทางออกที่สำคัญเพราะทุกฝ่ายต้องการสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทย ฉะนั้นถ้าสามารถผ่านจุดร่วมที่เป็นความหวังร่วมกันของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นสีเสื้อใดการปฏิรูปก็จะเป็นทางออกเรื่องการปรองดองที่ดีที่สุด
เมื่อถามว่า เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปที่เคยทำอยู่ จะเดินหน้าต่อหรือไม่ หรือจะให้เป็นหน้าที่ของคสช. นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปเป็นองค์กรภาคเอกชน เป็นองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ มีความอิสระ มีความเป็นกลางที่รวมตัวกันเป็นหลวม ซึ่งได้มีการคุยกันแล้วว่าเครือข่ายจะเดินหน้าต่อไป โดยเป็นอิสระจากภาครัฐ และทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูล พลังภาคประชาสังคมที่จะทำให้การปฏิรูปเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะในอดีตความต้องการของประชาชนและการทำงานต่างๆ มีมาโดยตลอด แต่ขาดความมุ่งมั่นของภาครัฐที่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ตรงนี้เราก็คาดหวังว่าความริเริมการปฏิรูปของคสช. จะทำให้ความหวังของประชาชนสามารถเป็นจริงได้ ถ้าเราประสานพลังความตั้งใจของภาครัฐ เจตจำนงของผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงและพลังทางสังคม
เมื่อถามว่า การปฏิรูป ถ้าฝ่ายที่มีอำนาจยังคงดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ จะทำให้เกิดความปรองดองได้หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญทุกคนต้องเคารพกฎหมาย บ้านเมืองเราก็อยู่ได้ด้วยกฎหมาย ฉะนั้นกระบวนการทางกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการโดยชอบก็ต้องมีทางไป เมื่อถามว่า กรณีนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย แกนนำองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่มีคดีหนีคำสั่งคสช. ควรที่จะหันหน้ามาคุยกับ คสช. ใช่หรือไม่ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ในภาพรวม ๆ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง หันมาเปิดใจพูดคุยกัน ก็เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะพูดคุยอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำเส้นของทุกฝ่าย แต่ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า ประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว การทำอะไรต้องมุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พยายามที่จะไม่สร้างให้เกิดเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา
เมื่อถามว่า คสช.ได้ทาบทามให้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการทาบทาม แต่หมวกที่ตนทำก็สามารถทำได้ต่อไป เพราะเป็นการทำงานเชิงภาคประชาสังคม เมื่อถามว่า ในส่วนคณะรัฐมนตรีมีชื่อมาตลอดได้มีการพูดคุยหรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เป็นเพราะสื่อมวลชนกรุณาเอาชื่อไปใส่ แต่ไม่มีข้อเท็จจริง เมื่อถามย้ำว่า โอกาสที่จะทำงานในด้านบริหารมีความเป็นไปได้หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า อยากทำงานด้านปฏิรูป และได้ริเริ่มด้านนี้มาตลอด การจะทำหน้าที่อะไรในอนาคตต้องมีการหารือกับเพื่อในเครือข่ายก่อน และการที่มารับหน้าที่ ที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำ ก็หวังว่าจะเวลามากขึ้นที่จะทำงานในสิ่งที่ตนอยากทำอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า จะทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงานก.พ.) ซึ่งหลังจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคสช. ฝ่ายกิจการพิเศษ จะเรียกประชุมที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำทั้งหมด โดยที่ปรึกษาทั้งหมด จะทำงานที่สำนักงานก.พ.
เมื่อถามว่า ได้ฝากฝังงานที่กระทรวงยุติธรรมอย่างไร หลังจากที่โดนโยกมาทำหน้าที่ตรงนี้ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เพื่อนๆในกระทรวงทำงานร่วมกันมายาวนาน ซึ่งแนวคิดที่ได้ร่วมสร้างกระทรวงกันมา ก็เป็นที่รับรู้ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องฝากเป็นพิเศษ แต่คงเป็นเรื่องที่จะทำให้ความยุติธรรมใกล้มือประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นแค่กระบวนการยุติธรรม แต่เป็นกระทรวงที่ดูแลความเป็นธรรมให้กับประชาชน
เมื่อถามว่า ความคืบหน้าการสร้างความปรองดองของเครือข่ายปฏิรูป จะมีการนำเสนอ คสช. อย่างไรบ้าง นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นที่ดูโรดแมปของ คสช. เข้าใจว่าแนวทางตรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องปรองดอง ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้เสนอแนะทางคสช. ว่าเรื่องความปรองดองมีความสำคัญ เพราะความขัดแย้งมีมายาวนาน การสร้างบรรยากาศความปรองดองก็มีความสำคัญที่คสช.เน้นจุดนี้ ถือว่ามาถูกทาง แต่การสร้างความปรองดอง ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย การที่ทำให้คู่ขัดแย้งเจอกันในบรรยากาศในสภาพที่เป็นมิตรในการลดเงื่อนไขที่จะกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทั้งนี้การแก้ปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้นทางคสช.กำลังทำอยู่ ให้ทุกฝ่ายมาเปิดใจ หารือถึงปัญหาที่เป็นข้อขัดข้องใจ สิ่งเหล่านี้กำลังดำเนินการอยู่ และการปฏิรูปก็จะเป็นทางออกที่สำคัญเพราะทุกฝ่ายต้องการสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทย ฉะนั้นถ้าสามารถผ่านจุดร่วมที่เป็นความหวังร่วมกันของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นสีเสื้อใดการปฏิรูปก็จะเป็นทางออกเรื่องการปรองดองที่ดีที่สุด
เมื่อถามว่า เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปที่เคยทำอยู่ จะเดินหน้าต่อหรือไม่ หรือจะให้เป็นหน้าที่ของคสช. นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปเป็นองค์กรภาคเอกชน เป็นองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ มีความอิสระ มีความเป็นกลางที่รวมตัวกันเป็นหลวม ซึ่งได้มีการคุยกันแล้วว่าเครือข่ายจะเดินหน้าต่อไป โดยเป็นอิสระจากภาครัฐ และทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูล พลังภาคประชาสังคมที่จะทำให้การปฏิรูปเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะในอดีตความต้องการของประชาชนและการทำงานต่างๆ มีมาโดยตลอด แต่ขาดความมุ่งมั่นของภาครัฐที่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ตรงนี้เราก็คาดหวังว่าความริเริมการปฏิรูปของคสช. จะทำให้ความหวังของประชาชนสามารถเป็นจริงได้ ถ้าเราประสานพลังความตั้งใจของภาครัฐ เจตจำนงของผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงและพลังทางสังคม
เมื่อถามว่า การปฏิรูป ถ้าฝ่ายที่มีอำนาจยังคงดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ จะทำให้เกิดความปรองดองได้หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญทุกคนต้องเคารพกฎหมาย บ้านเมืองเราก็อยู่ได้ด้วยกฎหมาย ฉะนั้นกระบวนการทางกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการโดยชอบก็ต้องมีทางไป เมื่อถามว่า กรณีนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย แกนนำองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่มีคดีหนีคำสั่งคสช. ควรที่จะหันหน้ามาคุยกับ คสช. ใช่หรือไม่ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ในภาพรวม ๆ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนมองประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง หันมาเปิดใจพูดคุยกัน ก็เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะพูดคุยอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำอะไรล้ำเส้นของทุกฝ่าย แต่ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า ประเทศชาติเสียหายมามากแล้ว การทำอะไรต้องมุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พยายามที่จะไม่สร้างให้เกิดเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา
เมื่อถามว่า คสช.ได้ทาบทามให้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการทาบทาม แต่หมวกที่ตนทำก็สามารถทำได้ต่อไป เพราะเป็นการทำงานเชิงภาคประชาสังคม เมื่อถามว่า ในส่วนคณะรัฐมนตรีมีชื่อมาตลอดได้มีการพูดคุยหรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า เป็นเพราะสื่อมวลชนกรุณาเอาชื่อไปใส่ แต่ไม่มีข้อเท็จจริง เมื่อถามย้ำว่า โอกาสที่จะทำงานในด้านบริหารมีความเป็นไปได้หรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า อยากทำงานด้านปฏิรูป และได้ริเริ่มด้านนี้มาตลอด การจะทำหน้าที่อะไรในอนาคตต้องมีการหารือกับเพื่อในเครือข่ายก่อน และการที่มารับหน้าที่ ที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำ ก็หวังว่าจะเวลามากขึ้นที่จะทำงานในสิ่งที่ตนอยากทำอย่างแท้จริง