xs
xsm
sm
md
lg

จัดอันดับอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

สหรัฐอเมริกาเพิ่งประกาศลดระดับประเทศไทยเข้าไปอยู่ในระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่แย่สุด

การจัดอันดับนี้เป็นที่นิยมของประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่นการจัดอันดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น มหาวิทยาลัยเมืองไทยติดอันดับน้อยมาก จะมีก็แต่มหาวิทยาลัยระดับนำ อย่างเช่น มหิดล จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นต้น นัยว่าการจัดอันดับนี้เป็นการประกันคุณภาพ และได้ระบาดลงไปถึงโรงเรียนในอังกฤษ การจะติดอันดับนั้นก็ต้องตั้งทีมศึกษาว่าคนที่จัดอันดับเขามีตัวแปรกี่ตัว และเรามีข้อมูลเพียงพอที่จะให้เขาหรือไม่ หากข้อมูลไม่พอเขาก็ไม่คิดคะแนนให้

การจัดอันดับนี้ได้มีการนำมาใช้ข้ออ้างในการที่ประเทศมหาอำนาจอ้างเหตุจัดการกับประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น การลดสิทธิประโยชน์ทางการค้า เป็นต้น

ที่จริงทุกประเทศต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น แต่เป็นปัญหาที่ไม่เหมือนกัน และถ้าจะมีตัวชี้วัดอย่างจริงๆ จังๆ รอบด้านแล้ว ประเทศมหาอำนาจเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน เราลองมาดูกันว่า หากประเทศกำลังพัฒนาโต้ตอบดูบ้างจะเป็นอย่างไร

เครื่องบ่งชี้ของการมีสังคมที่เสื่อมสุดขีดอย่างหนึ่งก็คือ การที่มีคนบ้าออกมาใช้ปืนยิงคนแบบฆ่าหมู่ และในกรณีนี้อเมริกาก็เป็นสังคมที่เสื่อมสุดขีด เพราะแทบทุกเดือนจะมีคนบ้าซึ่งบางครั้งก็เป็นวัยรุ่นออกมายิงเพื่อนบ้าง ยิงครูบ้าง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำอย่างซ้ำๆ ซากๆ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าในเมืองไทยเรามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น หากเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานต่างชาติ หรือแรงงานเด็กแล้ว ก็นับว่ายังดีกว่าหลายเท่า

เรื่องที่สองก็คือ การดูแลคนแก่ ในอเมริกาคนแก่ว้าเหว่มาก ต้องไปอยู่ตามลำพังตามบ้านพักคนชรา แต่ในเมืองไทยเราดูแลปู่ย่าตายายให้อบอุ่นมากกว่า ผมเคยไปเยี่ยมอาจารย์ที่ต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา ท่านลงมานั่งคอยก่อนเวลาและดีใจมากที่เราไปเยี่ยม และรับไปกินข้าว

เรื่องที่สามคือ การเหยียดผิว ในบ้านเราคนไทยกับคนจีนและมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ในอเมริกานั้นการจะเลิกทาสก็ต้องรบกันเป็นสงครามกลางเมือง และการเหยียดผิวทำให้เกิดการเดินขบวน และการต่อสู้กันล้มตายเป็นอันมาก

เรื่องที่สี่คือ การท้องก่อนวัยอันควร ที่อเมริกามีกรณีอย่างนี้สูงมาก นอกจากนั้นยังปรากฏด้วยว่ามีเด็กที่ถูกละเมิดทางเพศโดยบิดาหรือผู้อื่นสูงเป็นพิเศษ

เรื่องที่ห้าคือ สถิติการหย่าร้าง ในอเมริกาการหย่าร้างเป็นของธรรมดา มีสูงมาก คนแต่งงานกันเดี๋ยวเดียวก็หย่าแล้ว โดยเฉพาะพวกดาราฮอลลีวูด

เรื่องที่หกคือ จำนวนคนร่อนเร่ไร้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ของอเมริกามีมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก คนพวกนี้นอนริมถนนในกล่องกระดาษ เราจะเห็นกันทั่วไปในชิคาโก และนิวยอร์ก

เรื่องที่เจ็ดคือ การโกง อเมริกามีบริษัทใหญ่ๆ แยะ แต่ปรากฏว่าประธานบริษัทฉ้อโกง มีการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย มีเครื่องบินส่วนตัว และเอาเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัวมากมาย อย่างกรณี Enron เป็นต้น

นี่ผมเพียงยกตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น หากลงรายละเอียดก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมาก ผมต้องการบอกว่าประเทศอย่างอเมริกาชอบทำตัวเป็นผู้ตัดสินศีลธรรมความดีของผู้อื่น เพียงเพราะว่าตัวมีอำนาจแค่เมื่อหันมาดูตัวเองแล้ว ก็พบว่าระดับศีลธรรมของตัวเองอยู่ในระดับต่ำมาก หากมีการจัดอันดับแล้วก็อาจอยู่ระดับท้ายๆ เลยทีเดียว

ผมเห็นว่าปัญหาของประเทศที่กำลังพัฒนานั้น ต้องการเวลาและการปรับตัว เคยมีผู้เขียนหนังสือชื่อ Democracy and Tradition บอกว่า ประชาธิปไตยกับขนบประเพณีนั้นต้องไปด้วยกัน ถ้าเกิดการขัดกัน การเมืองก็จะขาดเสถียรภาพ ประชาธิปไตยเป็นของใหม่ แต่ประเพณีมีมานานกว่า ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากันได้เสียก่อน

เมืองไทยอาจมีผู้นำหลายคนที่อเมริกาเรียกว่า “ผู้เผด็จการ” แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าเคยมีผู้นำถูกประชาชนปองร้าย แต่ในอเมริกามีประธานาธิบดีและผู้นำหลายคนที่ถูกลอบสังหาร เช่น ประธานาธิบดีลินคอล์น เคนเนดี้ และโรเบิร์ต เคนเนดี้ ตลอดจนมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เป็นต้น ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสังคมอเมริกันเป็นสังคมที่มีความรุนแรงสูงในทุกระดับ

เราควรมีรายงานประจำปีบ้าง เรียกร้องให้อเมริกาลดความรุนแรง ห้ามขายอาวุธง่ายๆ และดูแลคนชราให้ดีกว่านี้ หากเรามีรายงานอย่างนี้ เขาจะว่าอย่างไร

สรุปก็คือ อเมริกาเป็นชาติชอบเสือก ปัญหาของตัวยังแก้ไม่ได้ แต่นิยมทำตัวเป็นตำรวจโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น