ผ่าประเด็นร้อน
ถูกต้องแล้วที่ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงปฏิกิริยาออกมาทันทีว่า “เราต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของชาติก่อน” หลังจากถูกสหภาพยุโรป หรืออียู ออกแถลงการณ์ตำหนิการรัฐประหารในประเทศไทย และลดระดับความสัมพันธ์ ห้ามบุคคลสำคัญในกองทัพเดินทางเข้าประเทศ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ไทยหวนกลับคืนสู่การเลือกตั้งมีรัฐบาลแบบประชาธิปไตยโดยเร็ว
นาทีนี้แม้ว่าคนไทยไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ยังไม่ค่อยไว้วางใจต่อแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เมื่อพิจารณาจากผลประโยชน์และผลกระทบของชาติที่จะตามมาแล้วเราก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างน้อยก็ช่วยกันเพื่อให้วิกฤตผ่านพ้นออกไปก่อน
ขณะเดียวกันก็ต้องรับรู้ว่าท่าทีดังกล่าวของสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาล้วนมีวาระซ่อนเร้น แฝงด้วยผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ดังนั้นเราก็ต้องวางบทบาทให้เหมาะสมและรู้เท่าทัน ซึ่งถูกต้องแล้วที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้วิธีนิ่งเงียบไม่ตอบโต้แบบแรงมาแรงไป แต่จะใช้วิธีอดทนอดกลั้นค่อยๆ ทำความเข้าใจและชี้แจงสถานการณ์ตามความเป็นจริง โดยยืนยันเดินหน้าทำตามขั้นตอนตามโรดแมปตามที่ให้สัญญาเอาไว้ ซึ่งอย่างหลังนี่แหละจะเป็นหนทางพิสูจน์ด้วยการกระทำเป็นการชี้แจงที่ดีที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม และยั่งยืน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาให้เห็นถึงเบื้องหลังของประเทศตะวันตกเหล่านี้ ซึ่งหมายถึงสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น หากพิจารณาแยกเฉพาะสหรัฐฯ กับยุโรป ก็ต้องบอกว่าเบื้องหลังเต็มไปด้วยผลประโยชน์ซึ่งเป็นผลประโยชน์ข้ามชาติทั้งสิ้น ที่ผ่านมาประเทศเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากระบอบทักษิณ ผ่านทางรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งในด้านผลประโยชน์ด้านการลงทุน ด้านพลังงาน ขณะที่สหรัฐฯ ที่ชอบทำตัวเป็น “ตำรวจโลก” เป็นพี่เบิ้มทั้งที่หลงลืมไปแล้วตัวเองนั้นเริ่มบ่มิไก๊ เนื้อในอ่อนแอเต็มทีแล้ว แต่ก็ยังกร่าง เป้าหมายสำคัญคือใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาค เพื่อหวังคานกับจีนที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจยุคใหม่
หากใครติดตามสถานการณ์การเมืองไทยมาอย่างใกล้ชิดก็ย่อมรู้ดีว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แอบลงนามมอบให้สหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภา โดยอ้างว่าเพื่อตรวจสอบสภาอากาศ รวมไปถึงก่อนนี้มีสื่อต่างประเทศรายงานว่ามี “คุกลับ” สำหรับควบคุมตัวผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย ขณะเดียวกันมีเรื่องผลประโยชน์ด้านธุรกิจพลังงานซึ่งรับรู้กันดีว่า ทักษิณ ชินวัตรทำหน้าที่เป็น “นายหน้าข้ามชาติ” ที่มีการลงทุนทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะที่อียูนั้นหากใครติดตามมาตั้งแต่ต้นก็จะทราบดีว่าพวกเขาต้องการเร่งให้ไทยเจรจาเขตการค้าเสรีเพื่อความได้เปรียบในการส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยโดยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นที่ได้ลงนามในเขตการค้าดังกล่าวไปเรียบร้อยก่อนหน้านั้นแล้ว
คำถามก็คือ หากอียู และสหรัฐอเมริกา ยกเอาเงื่อนไขเรื่องประชาธิปไตยและการเลือกตั้งมาเป็นสาเหตุในการบอยคอต แล้วทำไมไม่ทำแบบนี้กับประเทศอื่นบ้าง ทำไมไม่บีบคั้นประเทศเวียดนาม รวมทั้งประเทศจีนบ้าง สองประเทศนี้มันเป็นประชาธิปไตยตรงไหน ก็เห็นมีการผูกขาดอำนาจเพียงพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่มีการเลือกตั้ง แต่ทำไมทั้งยุโรป และอเมริกาถึงได้แห่แหนแย่งกันไปลงทุน ทำไมถึงมาทำดัจริตเรียกร้องประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งจากไทยประเทศเดียว
หากไทยยอมโอนอ่อนเรื่องสัมปทานด้านพลังงาน แสดงท่าทีกระตือรือล้นในการเจรจาเขตการค้าเสรี ทุกอย่างก็จะผ่อนคลายกระนั้นหรือ ดังนั้นก็ถูกต้องแล้วที่ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบ จะใช้ความหนักแน่นในการตอบโต้ นั่นคือแสดงท่าทีกลับไปว่าเราเคารพในการตัดสินใจและความคิดของประเทศเหล่านั้น แต่เราก็ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของชาติ ความหมายก็คือ “ช่างมันฉันไม่แคร์”
เพราะถึงอย่างไรเชื่อว่าด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของไทย ไม่มีทางที่ประเทศเหล่านั้นจะยอมถอยห่างไปจากไทยได้หรอก อาการที่เห็นเป็นการฉวยโอกาสเพื่อบีบบังคับไทยให้ยอมจำนนเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราวางเฉย เชื่อว่าอีกไม่นานท่าทีของประเทศเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป และที่สำคัญเชื่อว่าเราก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะยังมีอีกหลายประเทศที่เป็นมิตร และต้องการเข้ามาแทนที่อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ แต่การคบเพื่อนก็ต้องเลือกเหมือนกัน!!