ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ภายใต้การอ่านแถลงการณ์ของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์กรเสรีไทยฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและเจ๊เพ็ญ-จักรภพ เพ็ญแข เลขานุการบริหารองค์กรเสรีไทยฯ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก เรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สังคมกำลังจับตามองเป็นพิเศษ
อีกทั้งการประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯครั้งนี้ยังได้ถือฤกษ์ยามวันที่ 24 มิถุนายน 2557 อันเป็นวันคล้ายวัน “ปฏิวัติสยาม” พ.ศ. 2475 ที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย
ฉะนั้นจึงไม่ต้องสาธยายกันมากความก็คงจะพอเข้าใจได้ไม่ยากว่าความเหิมเกริมของขี้ข้า นช.ทักษิณทั้งสองคนมีนัยยะอะไรแฝงอยู่?
เจ๊เพ็ญที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีทัศนะคติไม่ยอมรับสถาบันตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 จากปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อเรื่อง “ระบบอุปถัมภ์” จากนั้นมาก็ทำงานรับใช้ นช.ทักษิณมาโดยตลอด เป็นแกนนำเสื้อแดงหัวรุนแรงที่กล้า ท้า ชน ส่วนจารุพงศ์ ก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นบุคคลที่ทักษิณให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และเป็นคนที่รับใช้งานคงเส้นคงวามาโดยตลอด
ทั้งนี้ ทั้ง “บักจารุพงศ์” และ “เจ๊เพ็ญ” ถือเป็นผู้ร้ายซึ่งกระทำความผิดและหนีไปต่างประเทศ เจ๊เพ็ญทำความผิดในเรื่องของการหมิ่นสถาบันและหลบหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศ ขณะที่บักจารุพงศ์ก็หนีหมายเรียกของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ไปอยู่ต่างประเทศเช่นกัน จากนั้นทั้งสองคนก็ประกาศเรียกร้องประชาธิปไตย “จอมปลอม” จัดตั้งองค์กรเสรีเทียมขึ้นมาต้านคสช.
วันที่ 24 มิถุนายน 2557 เวลา 05.42 น.องค์กรเสรีไทยฯได้เผยแพร่คลิปวิดีโอนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ ซึ่งเนื้อในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
“ พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน ขณะนี้ประเทศไทยของเราได้คืนสู่ระบอบเผด็จการสุดขั้วอีกครั้งหนึ่ง ระบอบทหารที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้กำลังอย่างผิดกฎหมายไทยและกฎหมายสากลเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างอุกอาจ โดยปฏิบัติไม่ต่างจากโจรที่เข้าปล้นทรัพย์ ต่างแต่ว่าทรัพย์นี้คืออำนาจอธิปไตย และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นทรัพย์ที่มีค่าสูงสุดของความเป็นมนุษย์ การกระทำครั้งนี้จึงถือว่าละเมิดหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หลักประชาธิปไตย และยังทำลายย่ำยีสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นับเป็นอาชญากรรมอันใหญ่หลวง ต่อประชาชนชาวไทย การโฆษณาว่าพวกเขาต้องกระทำการยึดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำสัญญาว่าจะคืนความเป็นปกติสุขให้กับสังคมไทย แท้จริงแล้วก็คือ การโกหกหลอกลวงขนานใหญ่เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นปิศาจอสุรกายเป็นเทวดาอารักษ์ จนท้ายที่สุดก็หวังให้เห็นว่าระบอบเผด็จการดีกว่าระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้นำเผด็จการของโลกและของไทยพยายามปลูกฝัง แต่ประสบความล้มเหลวเรื่อยมา”
“ เราจึงขอปฏิเสธอำนาจเผด็จการของคณะ คสช. และผลพวงทั้งปวงที่จะตามมา และขอประกาศจัดตั้ง “องคก์รเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” หรือ “The Organisation of FreeThais for Human Rights and Democracy (FT-HD)” ขึ้นในเวลาย่ำรุ่ง ของวันอังคารที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 เพื่อให้องค์กรนี้รองรับแนวความคิดและปฏิบัติการทุกชนิดของผู้ที่มีความมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ประชาธิปไตย จากทั่วทุกมุมโลกร่วมกัน โดยที่แนวความคิดและการปฏิบัติการนั้นๆ จะต้องไม่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมายสากล และไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ”
อีกทั้งตอนท้ายของถ้อยแถลงเป็นที่น่าสังเกตว่า จารุพงศ์ได้บอกถึงวัตถุประสงค์ทั้ง6 ข้อ ได้แก่
1. ต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและเครือข่ายอำมาตย์ เพื่อให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
2. ฟื้นฟูและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย ให้มีความถาวรและเป็นเสาหลักของสังคมไทย
3. เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค เสรีภาพ และสันติภาพ
4. ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม
5. ปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้สอดรับกับระบอบประชาธิปไตย
6. พัฒนาคุณภาพประชาชนไทยสู่ความเป็นสากล
แน่นอน วัตถุประสงค์ทั้ง 6 ข้อจะมีนัยยะอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านสถาบัน ซึ่งนายจารุพงศ์และเจ๊เพ็ญเคลื่อนไหวปลุกระดมเรื่องนี้มาโดยตลอด
นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงการจัดตั้งองค์กรฯ ดังกล่าวเอาไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีอาญาหนีคำพิพากษาศาลสั่งจำคุก 2 ปีไปต่างประเทศ คงต้องการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และการที่นำเอาชื่อ เสรีไทยของนายปรีดีมาใช้ เชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่มีความเชื่อเรื่องเสรีไทย ประชาธิปไตย และทำเพื่อราษฎรอย่างจริงจัง เพราะเสรีไทยของนายปรีดีนั้นอุทิศเพื่อชาติและมนุษยชาติโดยแท้ แต่สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณทำนั้น ตรงข้ามกับนายปรีดีทุกอย่าง
นอกจากนี้ ส.ศิวรักษ์ยังกล่าวถึงวันที่มีการประกาศเจตนารมณ์ก่อตั้งเสรีไทย ของนายจารุพงศ์ด้วยว่า ฉวยโอกาส วันที่ 24 มิถุนายนซึ่งเป็นวันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร แต่หลัก 6 ประการของคณะราษฎรนั้น ต่างจากของนายจารุพงศ์ เพราะคณะราษฎรมีการทำได้จริงและสำเร็จ โดยเฉพาะการมีอิสรภาพและเสรีภาพโดยสมบูรณ์ นั่นคือการประกาศอิสรภาพที่ ไม่อยู่ภายใต้จักรวรรดิ แต่ตอนนี้เราอยู่ใต้จักรวรรดิทั้งอเมริกันและจีนโดยที่เราไม่รู้ตัว
“หลัก 6 ข้อของนายจารุพงศ์ ก็ฟังดูดี แต่นี่คืออุดมการณ์ที่จะพูดสวยหรูยังไงก็ได้ แต่จะทำได้จริงหรือเปล่า”
เช่นเดียวกับ นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า องค์กรของนายจักรภพ เพ็ญแข และนายจารุพงศ์ ไม่ใช่เสรีไทย แต่เป็นเสรีเถื่อน ขอเปรียบเทียบดังนี้ เพราะเสรีไทยจะใช้จิตสำนึกอิสระแห่งความเป็นไทย แต่เสรีเถื่อนนั้นใช้จิตสำนึกความเป็นทาส
“ ปรีดี ป๋วย แห่งเสรีไทย เป็นรัฐบุรุษ เป็นปูชนียบุคคล ส่วนจักรภพ จารุพงศ์ เป็นโจรพลัดถิ่น ขณะที่เสรีไทยกู้ชาติจากญี่ปุ่น และกลุ่มอักษะ แต่เสรีเถื่อนขายชาติให้นายใหญ่คืนชีพ เสรีไทยมีอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสัมพันธมิตรรับรอง เสรีเถื่อนมีเจ้ามูลแม้วเท่านั้นที่รับรอง เสรีไทย (ความจริงคณะราษฎร) ประกาศหลัก 6 ประการ เพื่อประเทศชาติประชาชน เสรีเถื่อน ประกาศหลัก 6 ประการ เพื่อลวงโลก เสรีไทยมีจุดมุ่งหมายสูงส่งเพื่อมวลมนุษยชาติ เสรีเถื่อน มีจุดมุ่งหมายต่ำทราม เพื่อมนุษย์อัปรีย์หนีอาญาแผ่นดิน”
แน่นอน การจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ ของทั้งสองคนไม่ได้มีใครให้ราคาเท่าใดนัก เพราะเชื่อว่า ไม่ได้มีศักยภาพอะไร เป็นเพียงแค่ราคาคุยเท่านั้น รวมถึง คสช.ที่แรกๆ ไม่ยี่หระเสียเท่าไหร่
“ ในเรื่องนี้ไม่อยากให้สังคมไปให้น้ำหนักมากไป เพราะยังไม่อยู่ในระดับที่มีผลกระทบใดๆ สำหรับการติดตามข่าวนี้คงเป็นเพียงในลักษณะแบบกว้างทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจง โดยปกติถ้าพบมีประเด็นข่าวไหนมีผลต่อการรับรู้สังคมจริง ไม่ใช่ข่าวที่เน้นสร้างกระแสถึงจะมีการชี้แจงให้ข้อมูลตอบกลับไปตามความเหมาะสม ”
“ สำหรับการเคลื่อนไหวใดๆ ในลักษณะยุยงปลุกปั่น ให้คนกระด้างกระเดื่องแล้วไปกระทำในต่างประเทศ ถือว่ามีข้อจำกัดในตัว เพราะในหลายๆ ประเทศส่วนใหญ่ จะไม่ยอมให้ใครมาเคลื่อนไหวแบบนี้ในประเทศตนเองเช่นกัน มิฉะนั้นอาจถูกมองเป็นเรื่องการแทรกแซงภายในได้ ซึ่งถือว่าผิดมารยาท ที่สำคัญยังเชื่อว่าผู้บริโภคข่าวสารส่วนใหญ่มีวิจารณญาณพอสามารถแยกแยะได้ และคงไม่ได้ให้ความสำคัญหรือเชื่อถือในทุก ๆ ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ โดยเฉพาะผ่านทางโซเชียลมีเดีย จึงไม่อยากให้มีการขยายผลสร้างกระแสกันไปจนเกินเหตุ” พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แถลงจุดยืนถึงองค์กรเสรีไทยฯ
แต่ทำไปทำมาดูเหมือนว่า คสช.จะมีท่าทีอ่อนไหวและตื่นตระหนกกับเรื่องนี้มากกว่าใครอื่น จนสังคมสงสัยว่า องค์กรเทียมๆ องค์กรนี้จะมีราคาหรือมีค่าควรแก่การให้ความสนใจจริงหรือ เนื่องเพราะปรากฏเป็นข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารเดินทางไปที่กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในเช้าวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่า กองทัพได้ทำหนังสือเวียนแจ้งมาไม่ให้เสนอข่าวการเคลื่อนไหวของนักการเมืองบางคน และขอให้กองบรรณาธิการไม่นำเสนอข่าวดังกล่าวอีก ดังคำให้สัมภาษณ์ของนายมานพ ทิพย์โอสถ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
กระทั่งกลายเป็นประเด็นที่สมาคมนักข่าวฯ หยิบยกขึ้นมาเป็นวาระในการประชุมคณะกรรมการบริหารของสมาคม
“สมาคมนักข่าวฯ ขอยืนยันในหลักสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนภายใต้กรอบจริยธรรมและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอย่างหนักแน่น”นายมานพแจกแจง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า คสช.จะมีข้อมูลลับอะไรบางประการที่อยู่เบื้องหลังองค์กรเถื่อนองค์กรนี้
จะว่าเชื่อมโยงกับกรณีสหรัฐอเมริกาหรือสหภาพยุโรปก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องแรกก็เป็นปัญหาเดิมๆ ของไทยที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข ส่วนเรื่องที่สองแม้จะเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร แต่ก็น่าจะเชื่อมโยงกับองค์กรเสรีไทยฯ ของนายจารุพงศ์และนายจักรภพ
หรือเป็นเพียงแค่การ “ตื่นตูม” และ “ตกใจ” ของลูกน้องโดยประมวลผลด้วยตนเองและไม่ปรึกษานายเสียก่อนเพราะหากลองหลับตานึกภาพสมาชิกที่จะเข้าร่วมองค์กรเสรีเทียมนี้ ก็ยังนึกภาพไม่ออกว่าจะมีจำนวนสักกี่คนที่กล้าสนับสนุนหรือเข้าร่วม
อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาฯ คู่ใจก็ยังเงียบหายไปในกลีบเมฆ ส่วนนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ ก็ทำได้แค่จุดกระแสเรียกร้องความสนใจเล่นมุกเดิมๆแบบพวกมีปมด้อย ทำได้แค่โพสต์ภาพถ่ายลงอินสตาแกรมส่วนตัวอย่างล่าสุดก็โพสต์ภาพขณะกำลังเดินชอปปิ้งที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ถูกคสช.เรียกให้ไปรายงานตัวตามคำสั่งฉบับที่ 57/2557 ในวันที่ 10 มิ.ย. และศาลทหารก็อนุมัติออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ด้วยเหตุดังกล่าว สังคมจึงไม่เข้าใจว่า แล้วทำไม “คุณสมชาย” ถึงต๊กกะใจถึงขนาดนี้
ล้อมกรอบ
1เดือนซูเปอร์"ตู่"ยังไม่มีเรื่องใหญ่ทำแต่เรื่องฉาบฉวย
เวลานี้ “ซูเปอร์ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังเป็นที่จับตามองของคนในประเทศและต่างชาติ
เพราะภายหลังจากรัฐประหาร คสช.ได้เข้ามาจัดระเบียบประเทศแทบทุกตารางนิ้ว ทั้งปิดเว็บไซต์-จับกุมบุคคลหมิ่นสถาบัน กวาดล้างอาวุธสงคราม จัดระเบียบวินมอเตอร์ไซต์-รถตู้-แท็กซี่ ตั้งศูนย์ปรองดองสลายสีเสื้อ คืนเงินชาวนาพร้อมกับลุยตรวจโกดังจำนำข้าว ฯลฯ
เรียกได้ว่าทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซูเปอร์ตู่จัดให้หมดในตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2557 คสช.ได้แถลงผลงานผ่านรายการพิเศษสรุปการปฏิบัติงานประจำเดือนผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า คสช.ได้ตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ครบทุกจังหวัด ผู้นำทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามลงนามบันทึกข้อตกลงสร้างความปรองดองรวม 150 ฉบับ ส่วนการขับเคลื่อนประเทศไทยมีอยู่ 3 ขั้นตอน ได้แก่ ระยะที่ 1 เร่งดำเนินการเรื่องปรองดองสมานฉันท์ให้เร็วที่สุดในกรอบเวลา 3 เดือน ระยะที่ 2 การใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ทั้งการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สรรหานายกรัฐมนตรี การยกร่างรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งสภาปฏิรูปในกรอบเวลา 1 ปี และระยะที่ 3 การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ระยะที่ 1 ที่ผ่านมานั้น “ซูเปอร์ตู่” ได้คืนความสุขให้กับคนในประเทศโดยการจัดกิจกรรมร้องรำทำเพลง อีกทั้งยังพาแกนนำเสื้อสองสีมาจับมือปรองดองสมานฉันท์ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมคืนความสุขที่ประชาชนได้รับกันถ้วนหน้าด้วยการเปิดให้ดูภาพยนตร์ เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนยุทธหัตถี ฟรีพร้อมกันทั่วประเทศ และยังจัดให้ประชาชนได้ดูฟุตบอลโลกฟรีผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 แมตช์
ทั้งนี้ ในส่วนผลงานด้านความมั่นคงก็นับว่าน่าชื่นชม เพราะสามารถตรวจยึดและจับกุมอาวุธสงคราม รวมถึงผู้นำอาวุธสงครามมาทิ้งไว้ ได้สูงถึง 51 ครั้ง คิดเป็นจำนวนรวมของอาวุธ 1,996 กระบอก เครื่องกระสุน 31,840 นัด และวัตถุระเบิด 265 ลูก
ขณะที่ผลงานด้านเศรษฐกิจก็นับว่าได้คะแนนจากชาวนาไปเต็มๆ เพราะซูเปอร์ตู่ได้จ่ายหนี้จำนำข้าวชาวนาได้ครบทั้งหมด 838,538 ราย ด้วยจำนวนเงิน 89,931 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเร็วกว่าเป้าหมายจากเดิมทีที่กำหนดไว้ในวันที่ 22 มิถุนายน และถือว่าเป็นการปิดบัญชีหนี้จำนำที่ค้างไว้กับชาวนาทั้งหมดทั่วประเทศ
รวมถึงสั่งให้มีการประชุมร่วมกับตัวแทนชาวนาจาก 3 สมาคม ได้แก่ตัวแทนสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการช่วยเหลือชาวนา ก่อนจะมีมติใช้แนวทางการลดต้นทุนการผลิตข้าวให้กับชาวนา แทนโครงการรับจำนำข้าว โดยจะช่วยลดต้นทุนการผลิตขั้นต่ำประมาณ 500 บาทต่อไร่ จากต้นทุนปัจจุบันที่ 4,000 บาทต่อไร่ และสนับสนุนด้านการตลาด เพื่อลดการผูกขาดนายทุน ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ และโรงสีข้าวขนาดเล็ก ให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ในอนาคต
อีกทั้งซูเปอร์ตู่ยังได้สั่งตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เพื่อตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการตรวจสอบไปแล้ว 10 โครงการ วงเงินรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท เช่น โครงการจ้างให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย การใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ของกระทรวงพลังงาน โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ของกระทรวงศึกษาธิการ และการบริหารจัดการการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
สำหรับโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 3.5 แสนล้าน ก็ได้มีการทบทวนใหม่ พร้อมทั้งให้จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งหมด ทั้งเฉพาะหน้า ระยะสั้น กลาง ยาว และให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ขณะที่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ก็ได้มีการเสนอยุทธศาสตร์ทั้งทางรถไฟ ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งได้มีมติ ให้ดำเนินการระหว่างปี 2558-2565 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แต่ให้ตัดโครงการรถไฟความเร็วสูงออกไป
นอกจากนี้ในส่วนด้านงานอนุรักษ์และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสังคม ซูเปอร์ตู่สั่งให้มีการตรวจสอบการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า การตรวจสอบธุรกรรมการเงินเครือข่ายยาเสพติด การพนัน รวมถึงการจัดระเบียบรถตู้ แท็กซี่ วินรถจักรยานยนต์กว่า 6,300 วิน โดยวางกรอบไว้ทั้งหมด 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1ให้จัดทำป้ายจอดวินมาตรฐานเดียว , กำหนดราคาค่าโดยสารที่เป็นธรรม ,ขจัดมาเฟียคุมวิน-กวาดล้างวินเถื่อน ระยะที่ 2ให้มีการควบคุมจำนวนผู้ขับวินตามความเหมาะสม และระยะที่ 3ให้มีการจดทะเบียนผู้ขับวินให้ถูกต้อง
อีกทั้ง ซูเปอร์ตู่ยังจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปจังหวัด ได้ครบทุกจังหวัดแล้ว โดยได้จัดกิจกรรมในทั้ง 4 ภาค มาแล้วถึง 696 กิจกรรม โดยเป็นกิจกรรมลักษณะเสริมสร้างบรรยากาศปรองดองสมานฉันท์ 668 อำเภอ และเป็นการจัดเวทีเสวนา 130 เวที รวมทั้งสามารถจัดให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู (MOU) ระหว่างผู้นำทางความคิดที่เคยเห็นต่างกันในพื้นที่ จำนวน 150 ฉบับ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนทางด้านการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในระยะต่อไป ซูเปอร์ตู่ได้วางกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ด้วยวงเงิน 2.575 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ด้วยวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท โดยประมาณการรายได้ 2.325 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท โดยงบลงทุนภาครัฐในปี 2558 กำหนดวงเงินไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.5 ของงบประมาณทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากงบลงทุนปี 2557 ร้อยละ 2.2 โดยคาดว่าในวันที่ 29 ก.ค.2557 จะให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2558เสร็จสิ้น
สำหรับในตอนท้ายของการแถลงสรุปผลการปฏิบัติงานของซูเปอร์ตู่ ก็ได้ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า เจตนารมณ์ของเขาก็คือ ต้องการคืนความสุขให้กับประชาชนทั้งประเทศ โดยการลดความหวาดระแวง ลดการทุจริตคอรัปชั่นในการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็ว รวมถึงสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนที่มีรายได้น้อย
แต่คำถามมีอยู่ว่า แล้วเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นปัญหาของประเทศ เมื่อไหร่ ซูเปอร์ตู่จะทำให้เห็นสักที โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงานและการถอนรากถอนโคนหรือระบอบทักษิณ และยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ประชาชนก็ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัย เพราะทำท่าว่าจะทำเรื่องฉาบฉวย แต่เว้นต้นตอปัญหาใหญ่ ยิ่งเห็นอดีตนายกรัฐมนตรีและแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ดีมีสุขด้วยแล้ว ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า เอ๊ะหรือว่ามวลมหาประชาชนเข้าใจผิดไป