xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คสช. อย่าได้แคร์ เดินหน้าสู้ศึกศักดิ์ศรี สหรัฐฯ-อียู แซงก์ชั่นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นทอง รองห้วหน้า คสช.ฝ่ายเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายจากการที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปประกาศแซงก์ชั่นไทยหลังการทำรัฐประหาร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แสดงท่าทียักไหล่ไม่สนใจบิ๊กเบิ้ม สหรัฐฯ - อียู ที่ออกมาตรการกดดันอย่างต่อเนื่อง มิหนำซ้ำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ยังออกหมัดสวนกลับ “....เราก็ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศไทยด้วย” ก็ต้องดูว่าศึกเดิมพันศักดิ์ศรีระหว่างลูกไล่ไทยแลนด์กับพี่เบิ้มที่จะว่าไปต่างก็มีผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกันมายาวนาน จะพัฒนาไปในทิศทางใด

แต่เบื้องต้นประเมินได้ว่า ผู้นำคสช. มีปฏิกิริยาโต้ตอบในท่วงทำนอง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ อย่ามาข่มขู่กันเสียให้ยาก เพราะถ้าสหรัฐอเมริกาและอียู งัดไม้แข็งเล่นงานไทยหนักก็เหมือนยิงปืนใส่เท้าตัวเอง เนื่องจากผลประโยชน์ของอเมริกาและอียูในไทยย่อมสะเทือนใหญ่หลวงเช่นกัน

ผู้นำ คสช.คงประเมินแล้วว่า ถ้าออกอาการลนลานตามคำขู่มีหวังต้องใส่พานถวายในสิ่งที่พี่เบิ้มทั้งสองอยากได้ และการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขจัดการใหม่ในหลายเรื่องตามความตั้งใจของ คสช. และประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเรื่องปฏิรูปพลังงาน ที่เป็นผลประโยชน์มหาศาลของสหรัฐฯ ก็เป็นอันจบเห่เหมือนรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เสียเวลาเปล่า

ต่อกรณีที่ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของอียู ออกแถลงการณ์จากประเทศลักเซมเบิร์ก ประณามรัฐประหารในไทยพร้อมกับออกมาตรการลงโทษด้วยการระงับและทบทวนกรอบความตกลงความร่วมมือและหุ้นส่วนระหว่างอียูกับไทย (Partnership and Cooperation Agreement - PCA) รวมทั้งระงับการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีจากประเทศอียูนั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีเนื้อหาสาระอันใดที่จะทำให้ไทยต้องวิตกกังวล เพราะความตกลงร่วมมือและหุ้นส่วนฯ เป็นแต่เพียงกรอบกว้างๆ ทั่วๆ ไป เท่านั้น อีกทั้งการระงับการมาเยือนของรัฐมนตรีจากอียูก็เป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้า ขณะที่การติดต่อค้าขายระหว่างเอกชนไทยกับอียูก็ยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ

การระงับและทบทวน PCA มุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นมาตรการในระยะเริ่มต้น แต่มองอีกมุมหนึ่ง แสดงให้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของอียูอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นการเล่มเกมสองหน้า คือ ด้านหนึ่งทำเป็นออกมาประณามข่มขู่ อีกด้านหนึ่งก็รักษาผลประโยชน์ของตัวเองเต็มที่

การออกมาประณาม ข่มขู่ ระงับการมาเยือน และตีก้นเบาะๆ ด้วยการระงับและทบทวนกรอบความตกลง PCA เพราะต้องการทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ย่ำแย่ในสายตาชาวโลกนั้น เรื่องนี้ รศ.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า PCA นี่มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของอียูที่อียูเอามาหลอกล่อให้ความช่วยเหลือแก่ไทยเพื่อจะได้ใช้ไทยเป็นฐานระบายสินค้าใช้เป็นช่องทางเจาะตลาดอาเซียนชัดๆ ถามว่าเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ไทยใครได้ ใครเสีย กันแน่ เพราะถ้าอียูเจาะตลาดอาเซียนไม่ได้ เศรษฐกิจที่ทรุดอยู่แล้วก็จะทรุดต่อไปอีกยาว ดังนั้นหากไม่ขวัญอ่อนก็ไม่ควรไปกังวลให้มาก

“ความลับที่ไม่ลับของอียู” ที่รศ.สมเกียรติ อธิบายผ่านการโพสขึ้นเฟซบุ๊ก แจกแจงว่า หนึ่ง อียูมีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือต้องการทำสัญญาเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับอียูอย่างยิ่งยวด เรียกว่าอนาคตทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะฟื้นหรือไม่ขื้นอยู่กับไทย ถ้ามาแซงค์ชั่นไทย ไทยก็คงไม่เจรจากับอียูเรื่องนี้ ไทยเป็นเส้นทางระบายสินค้าเข้าสู่ตลาดอาเซียน ไทยเป็นประเทศสำคัญมากๆ ไม่งั้นอียูไม่เอากรุงเทพฯ เป็นฐานหลัก เมื่อไม่สามารถทำข้อตกลงการค้าเสรีในเอเซียได้ เศรษฐกิจยุโรปพังยาวแน่นอน

สอง ทำไมเศรษฐกิจอียูจึงพัง แข่งไม่ได้ ก็เพราะไทย อาเซียน มีข้อตกลงการค้าเสรีกับญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ประเทศเหล่านี้ค้าขายกันด้วยภาษีที่ต่ำมาก ปัจจุบันการค้าไทยกับยุโรปลดลงมีแค่ 10% กับอเมริกาก็ 10% ประชาคมโลกที่สำคัญในการค้าขายของไทยคือ เอเซียที่กำลังรุ่งเรือง ไทยมีส่วนแบ่งการค้าในตลาดโลกแค่ 1% ไม่มีของขายให้คนทั้งโลก

“อียู อเมริกา เข้ามาขายของลำบาก เพราะไม่มีสัญญากับเอเซีย ภาษีสูง ค่าขนส่งแพง ดูรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ผลิตซื้อขายกันเองในเอเซีย ยุโรปจึงต้องง้อไทยกับอาเซียน ไม่ใช่เราไปเรียกร้องให้เขามาทำข้อตกลง Free Trade Area ด้วย แต่เขามาเอง ไม่ได้ไปง้อ เขา... ขอมาเอง เหมือนเพลงพุ่มพวง ดวงจันทร์ เลยล่ะ

“สินค้าที่เราซื้อยุโรป คือ ส่งเด็กไปเรียน ไปเที่ยว ซื้อไวน์ ซื้อแอร์บัส พนันบอลข้ามชาติ ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ซื้อยา อุปกรณ์การแพทย์ นี่กำลังคิดจะซื้อหัวรถจักร ระบบรถไฟ เครื่องจักรมากมาย ธุรกิจที่มาลงทุนแปดแสนล้านก็เหมือนกัน ไม่ขายก็ไม่เป็นไรครับ”

สาม เศรษฐกิจยุโรปพังเที่ยวนี้รุนแรงมาก ยุโรป 27 ประเทศ มีคนว่างงานมากมายเป็นประวัติศาสตร์ถึง 26ล้านคน ว่างงานเฉลี่ย 25% บัณทิตจบใหม่ว่างงานถึง 40% จนอพยพหนีไปอยู่ประเทศอื่นก็มาก มากรุงเทพก็เยอะ บัณทิตออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ว่างงานถืง 10% คนยุโรปบอกว่า คนรุ่นใหม่คือ unemployed generation ว่างงานมาก ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุโรป

มีคนถามมาว่า อเมริกาจะร่วมมือกับยุโรป ออสเตรเลีย เล่นไทยหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า “ไม่ครับ อเมริกาตั้งใจจะทำความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement หรือ TPP) กับเอเซียให้เสร็จก่อนเดือนมิถุนายนปีหน้า จืงมาเร่งรัดเอากับไทย จะให้เสร็จก่อนอียู จึงแข่งกันอยู่ ข้อมูลนี้ลับมาก”

ส่วนอียูรู้ว่าถ้าอเมริกาได้ทำสัญญาก่อน ตัวเองจนยาวแน่นอน ขณะที่ออสเตรเลีย ไม่ต้องการให้อเมริกากับยุโรปทำสัญญาเขตการค้าสำเร็จ อยู่แบบนี้สบายดี ขายของได้ เพราะทำสัญญาเขตการค้าเสรีไปแล้ว ตอนนี้ท่าทีดีขึ้น

“มันแข่งกันอยู่ ผลประโยชน์ขัดกัน ไทยเล่นไพ่ให้เป็นจะชนะ แต่อย่าปล่อยให้ทูตอเมริกา อียูวิ่งไปคุยกับคสช พรรคการเมือง ต้องเอากระทรวงต่างประเทศเป็นศูนย์กลางเข้าไว้ ทหารอย่าไปเจรจาเป็นอันขาด ผมเคยสอนทหารมาเยอะจึงรู้ว่าไม่รู้อะไร รู้อะไร เก่งด้านไหน ราชสำนักก็ไม่ควรรับการติดต่อครับ จะตกใจกลัว เสียเกม” ....

“อย่ากลัว การแซงค์ชั่นจากยุโรปครับ คนยุโรปเข้าใจ ประชาชนเข้าใจ รัฐบาลประเทศสมาชิกเข้าใจ แต่องค์กรรวมที่เรียกว่าอียูทะลึ่งไปเขียนอุดมการณ์ไว้สูงไป จึงต้องเต้นโขนตามบท เต้นเสร็จต้องถอดหัวโขนมากินข้าวเหมือนชาวบ้านทั่วไปน่ะแหละ”

ชำแหละอียูแบบคนรู้ทันจาก รศ.สมเกียรติ แล้ว ยังมีอีกหน้าหนึ่งคือการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ที่ต้องแฉ เพราะขณะที่อียูทำเป็นเชิดชูประชาธิปไตย มีมาตรฐานศีลธรรมสูงส่ง ลงโทษประเทศไทยที่ทำรัฐประหาร ละเมิดสิทธิมนุษยชน จับกุมคุมขังคนเห็นต่างขึ้นศาลทหารโดยระงับและทบทวน PCA แต่สำหรับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู กลับเดินหน้าต่อไปโดยไม่ลังเล เพราะเป็นเรื่องที่อียูจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งหากสามารถเจรจากดดันให้ไทยยินยอมเซ็นข้อตกลง FTA ตามเงื่อนไขที่ต้องการได้สำเร็จ

นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ที่ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แฉว่า “นี่คือความหน้าไหว้หลังหลอก และเกลียดตัวกินไข่ฯ ของอียู ที่จะคงความสัมพันธ์ที่ตัวเองได้ประโยชน์เอาไว้เท่านั้น ไม่ต่างกับสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศตัดความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ แต่จะคงการให้ความช่วยเหลือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งก็เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนสหรัฐฯ เท่านั้น”

การเจรจาข้อตกลงเอฟทีเอไทย-อียู เป็นข้อตกลงที่มีผลกระทบต่อการเข้าถึงยา การรักษา เกิดการแย่งชิงทรัพยากรชีวภาพ จะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายสาธารณะอื่นอีกมาก แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบในหลายประเด็นสำคัญ อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การเปิดเสรีด้านบริการสาธารณะ และความคุ้มครองการลงทุนที่จะให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องรัฐไทยผ่านอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (ISDS) ซึ่งกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ เรียกร้องให้ คสช. ทบทวนตรวจสอบเรื่องนี้ใหม่

หากมองตามรูปการณ์แล้ว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อียูออกมาทำเป็นฟาดงวงฟาดงา ก็เพื่อข่มขู่ ต่อรอง กดดัน ประเทศไทยในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ที่ยังค้างคาอยู่ให้เป็นผลสำเร็จเสียที เพื่อว่าต่อไปจะได้ใช้ไทยเป็นฐานเจาะอาเซียน

เช่นเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาที่นายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บินมาจีบไทยในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement หรือ TPP) ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเอฟทีเอ หรือ TPP ต่างก็เป็นผลประโยชน์ของอียูและสหรัฐอเมริกาโดยแท้ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม การจะเชิดใส่อียูและสหรัฐอเมริกา ก็ต้องไม่หลอกตัวเองและไม่ลืมด้วยเช่นกันว่าเหรียญนั้นมีสองด้านเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน อียูกับสหรัฐอเมริกานั้น เป็นตลาดส่งออกตลาดใหญ่ของไทย แม้ว่ารศ.สมเกียรติ จะบอกว่าค้าขายกันลดลงก็ตาม โดยปีที่แล้วประเทศไทยค้าขายกับยุโรป มูลค่า 32,107 ล้านยูโร ยุโรปมีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำมานานก็จริง แต่ไทยก็ได้เปรียบดุลการค้า สัดส่วนการค้าของไทยในตลาดยุโรป 0.9 % แต่คิดเป็น 9.5 % ของการค้าต่างประเทศของไทยทั้งหมดถือเป็นอียูเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับ 4 รองจากสหรัฐ

ความสัมพันธ์ทางการค้าของไทยนั้นผูกติดอยู่กับประเทศมหาอำนาจโดยตลอด แต่กระทรวงพาณิชย์ ชอบอ้างว่า ประเทศไทยได้หันไปเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆ มาโดยตลอดในช่วง 20-30 ปี ที่ผ่าน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปัจจุบันคู่ค้าใหญ่ที่สุดของประเทศไทย คือ จีน (12%) ญี่ปุ่น (10%) สหรัฐอเมริกา (10 %) และ ยุโรป (9.5 %) ที่เหลือจึงเป็นกลุ่มอื่นๆ เช่นอาเซียน หมายความว่าตลาดในประเทศตะวันตกและพันธมิตรชาติตะวันตกคือญี่ปุ่นนั้น กินไปถึงเกือบ 30% ของการค้าต่างประเทศไทยทั้งหมด

มาตรการของยุโรปที่ออกมาหลังการรัฐประหารถึงจะไม่ได้แปลว่า ทั้งหมดนี้จะหายไปชั่วข้ามคืน แต่ไม่ได้หมายความมันจะไม่กระทบกระเทือนเอาเสียเลย

ส่วนสหรัฐอเมริกานั้น เป็นคู่ค้าใหญ่อันดับ 3 ของไทยมูลค่าปีที่แล้ว 37,000 ล้านดอลล่าร์ รองจากจีนและญี่ปุ่น และมูลค่าการลงทุนของสหรัฐในไทย ก็ใหญ่เป็นอันดับ 3 บริษัทสัญชาติอเมริกัน 800 บริษัทตั้งอยู่ในประเทศไทย

มาตรการของสหรัฐต่อไทยตอนนี้ส่วนใหญ่มุ่งไปเรื่องทางทหารซึ่งไม่มากนัก ยังไม่กระทบกระเทือนความสัมพันธ์จริงๆ แต่หากผู้นำคสช. แสดงท่าทีแบบช่างมันฉันไม่แคร์ต่อไป ก็ไม่แน่ว่าสหรัฐอเมริกาจะออกมาตรการมาบีบไทยอีกหรือไม่ เพราะสหรัฐฯ มีบทเรียนเรื่องพวกนี้มามากทั้งในเวียดนามและพม่า เขารู้ว่าจะกดดันไทยอย่างไรโดยผลประโยชน์ของเขาไม่เสียหาย อีกอย่างชนชั้นนำหรือผู้ปกครองของไทยก็ทำตัวเป็นลูกไล่อเมริกามาโดยตลอด ไม่นับความชื่นชมยุโรปที่ฝังอยู่ในจริตของเจ้านายชั้นสูงของไทยทุกกระเบียดนิ้วอีกด้วย

การออกมาตรการแซงก์ชั่นของอียู และการตัดความช่วยเหลือ การขู่ว่าจะไม่ฝึกครอบบร้าโกลด์ร่วมกับไทยของสหรัฐฯ นั้น จึงเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ของชนชั้นนำของไทยและทหารไทย ที่สู้อุตส่าห์ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเคารพนับถือเชื่อลูกพี่มาโดยตลอด และการรัฐประหารก็ใช่ว่าสหรัฐฯ จะไม่เคยไม่เห็นด้วย แล้ววันนี้ทำไมถึงทำกับไทยอย่างนี้ เป็นเพราะว่าอยากได้สัมปทานปิโตรเลียมใหม่ อยากให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP หรืออยากให้ไทยเซ็นข้อตกลงFTA ไทย-อียู อยากให้ซื้อฝูงบินรบใหม่ ใช่ไหม ?

การหันไปพึ่งจีนเพิ่งถ่วงดุลและเพิ่มอำนาจต่อรองกับสหรัฐอเมริกาและอียูของผู้นำคสช.นั้น อาจได้ผลระดับหนึ่ง เพราะจีนและสหรัฐอเมริกา ต่างต้องการมีอิทธิพลเหนือไทยและอาเซียน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อเกิดปัญหาสหรัฐอเมริกาและอียูแซงก์ชั่นไทย นายหนิง ฟู่ขุย (H.E. Mr.Ning Fukui) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและคณะ ก็เข้าเยี่ยมคาราวะพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. พร้อมกับหยอดคำหวานรัฐบาลจีนมั่นใจในคสช.ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมั่นใจว่าการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน จะมีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจีนได้มองเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยที่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน

“.....ทางการจีนจะให้ความสำคัญทางด้านการค้าการลงทุนกับไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น” เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย หยอดคำหวานเก็บแต้มทำคะแนนแซงหน้าสหรัฐฯ เพราะมองเห็นอยู่แล้วว่า คสช. กำลังทบทวนและอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ท่าทีที่เป็นมิตรย่อมดีกว่าวางท่าเป็นศัตรูข่มขู่อยู่แล้ว

การเล่นไพ่จีน สู้ศึกศักดิ์ศรีท้าทายพี่เบิ้มของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้ผล และจะสร้างคุณูปการต่อประเทศชาติที่ต้องการการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ประชาชนคนไทยในทุกด้าน หากว่าท่าทีเช่นนี้ไม่ลงเอยด้วยอาการปากกล้า ขาสั่น และกลับไปเป็นเด็กดีของมหาอำนาจเหมือนที่ผ่านมา



นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชิญนายเฆซูส มิเกล ซานส์ เอกอัครราชทูตแห่งสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยมาชี้แจงและทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น