ภาวะบ้านเมืองในยุคที่ต้องสงบเสงี่ยมเก็บปากเก็บคำ ทำให้ผมต้องหยิบหนังสือ “กาเหว่าที่บางเพลง” บทประพันธ์ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กลับมาอ่านอีกครั้ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นในปี 2530 ลงเป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี 2532
หนังสือเล่มนี้ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้อธิบายไว้ว่า ไม่ได้มีความคิดทางการเมืองหรือทางอื่นๆ แอบแฝงไว้ในหนังสือเล่มนี้
เรื่องราวของชาวบางเพลงที่ค่ำหนึ่งในคืนแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกับเห็นดวงจันทร์ 2 ดวง ดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ แล้วความรู้สึกของคนทั้งบางเพลงก็หยุดนิ่งไป 4 นาที ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ หลังจากนั้นปรากฏว่า หญิงสาวในบางเพลงตั้งแต่เด็กสาวอายุ 16 ปี ไปจนถึง 80 ปีทั้งที่มีครอบครัวและไม่มีครอบครัว เด็กสาว แม่ม่าย กระทั่งแม่ชีตั้งท้องพร้อมกันถึง 214 คน
เด็กทั้ง 214 คน เกิดพร้อมกันและโตขึ้นมาพร้อมกัน โดยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสังเกตเห็นความผิดปกตินี้คอยเฝ้าจับตาดูอยู่และค่อยไขปริศนาที่มาของเด็กเหล่านี้
เด็กทั้ง 214 คนมีความเจริญเติบโตกว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน เพียงแค่ 2-3 ปี เด็กเหล่านี้ก็เลือกแต่จะกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ พออายุ 8 ปีก็เหมือนกับเด็กธรรมดาที่อายุ 15-16 ปี จากเด็กเล็กที่แม่เลี้ยงดูให้นมเหมือนปกติ เมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านี้มักไม่ค่อยสุงสิงกับคนทั่วไป ชอบจับกลุ่มอยู่กับพวกเดียวกัน และมีพฤติกรรมแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ
เด็กกลุ่มนี้สามารถสื่อสารถึงกันด้วยพลังจิต มีความคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน เหมือนกับมีคำสั่งคอยกำกับ
ในตอนกลางคืนเด็กเหล่านี้จะเดินออกจากบ้านมารวมตัวกันที่หน้าโรงเรียน เมื่อครูฟื้นครูใหญ่เห็นความผิดปกติของเด็กเหล่านี้ก็ติดตามไป และมีคนมาพบศพครูฟื้นผูกคอตาย
ตาผันขี้เมาซึ่งออกไปหาปลาตอนกลางคืน ไปพบเห็นเด็กกลุ่มนี้ออกหาปลาสดๆ ในลำคลองแล้วจับกิน เอาเรื่องมาเล่าไปทั่วบางเพลง ไม่นานคนก็พบศพของตาผันจมน้ำตาย
เด็กเหล่านี้ไม่นับถือพระสงฆ์องค์เจ้า และเชื่อว่าตัวเองมีความรู้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป เวลาพูดกับพระสงฆ์ก็ไม่แสดงความนับถือนอบน้อมเหมือนกับว่ามีสถานะที่เท่าเทียมกันและคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำไป
อยู่ไปอยู่ไปหมาแมวก็ค่อยหายไปจากหมู่บ้าน จากนั้นก็เป็นไก่ มาถึงหมู เกิดความร่ำลือ และคำพูดปากต่อปากจนความหวาดกลัวลามไปทั่วทั้งบางเพลง ตกค่ำทุกบ้านก็ปิดประตูหน้าต่างหมกตัวอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหน ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินบ้างวิ่งบ้างภายนอกบ้านแต่ไม่กล้าออกไปดู แต่ชาวบ้านตอนนั้นรู้แล้วว่า ความผิดปกติเกิดมาจากเด็กทั้ง 214 คนนี้ เพราะพ่อแม่เด็กเหล่านี้ก็รู้ว่า เด็กเหล่านี้จะออกจากบ้านไปในเวลาค่ำคืน
เมื่อตำรวจเข้ามาสืบสวนเรื่องราวของหมู่บ้านทั้งเรื่องสัตว์เลี้ยงหายและคนตาย โดยพุ่งความสงสัยไปที่เด็กทั้ง 214 คน เมื่อเริ่มการสอบสวนที่เด็ก 4 คน แต่เพียงครู่เดียวเด็กที่เหลือทั้งหมดก็มาล้อมตำรวจไว้ จนต้องปล่อยตัว และเด็กทั้ง 214 คน ก็แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่าด้วยการพาพวกบุกขึ้นไปบนโรงพัก ตำรวจทั้งหมดไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนถูกสะกดจิตและนิ่งงันไปหมด
อยู่มาวันหนึ่งน้ำจะหลากเข้าท่วมบางเพลงเหมือนกับหน้าน้ำหลากทุกปี ชาวบ้านพากันเก็บข้าวของขึ้นที่สูง แต่เด็กเหล่านี้สามารถรวมพลังกันป้องกันน้ำท่วมได้ ชาวบ้านก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวมาเป็นความชื่นชม
และความศรัทธาก็เพิ่มขึ้น เมื่อเด็กจำนวนหนึ่งใน 214 คน แกล้งแสดงพลังให้ไฟไหม้โรงสีจนเกิดความโกลาหลไปทั่ว จากนั้นทั้ง 214 คน ก็แสดงพลังยืนล้อมรอบเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามโรงสีอยู่ครู่เดียวไฟก็ดับลงราวกับปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ยิ่งนับถือเด็กเหล่านี้มากขึ้นเมื่อเดินสวนทางกับเด็กเหล่านี้ก็พากันกราบไหว้ ชาวบ้านตั้งศาลขึ้นในโรงเรียนที่เด็กเหล่านี้ชอบไปรวมตัวกันในตอนกลางคืนกลางวันก็พากันไปกราบไหว้ เอาเนื้อหมูสด ปลาเป็นๆ ไปเซ่นไหว้ รุ่งเช้ามาเนื้อหมูและปลานั้นก็หายไป
ใครอยากได้อะไรก็บนบานศาลกล่าวก็จะได้รับสิ่งที่ประสงค์ หากไม่มีกำลังจะทำนาเก็บเกี่ยวแค่มาขอรุ่งเช้าข้าวในนาก็ถูกเก็บเกี่ยวให้อย่างเรียบร้อย
จากการสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ค่อยสร้างศรัทธากลับมาด้วยการให้ผลประโยชน์ตอบแทน
ชาวบ้านหารู้ไหมว่า เด็กทั้ง 214 คน ที่แท้จริงแล้วมาจากดาวอื่นที่ถูกส่งมาด้วยยานอวกาศเพื่อเอามาฝากท้องในโลกมนุษย์มีเป้าหมายเพื่อยึดครองโลก โดยมีคำสั่งอำนาจจากที่มาคอยกำกับเด็กเหล่านี้อยู่ ว่า หากต้องการยึดครองแล้วจะแสดงพลังอำนาจให้หวาดกลัวเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จนเด็กเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปคอยช่วยเหลือชาวบ้านจนเกิดเป็นความศรัทธาลุ่มหลง
“ตั้งแต่นั้นมา ก็เป็นที่รู้กันทั้งบางเพลงว่าคนที่เกิดมาพร้อมกันทั้ง 214 คนนั้น เขามีฤทธิ์มีอำนาจเหนือคนในบางเพลงทั่วไป เขาจะบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ ใครมีทุกข์มีร้อน ถ้าหากว่าเป็นทุกข์ที่แท้จริงเขาก็ช่วยให้ได้ คนทั้งบางเพลงก็พากันเกรงกลัวว่าเขาจะไม่ทำดีให้ หรือเขาอาจทำให้เกิดภัยพิบัติ จะพบคนพวกนี้ที่ไหน แม้จะสวนทางกันกลางถนนก็จะหยุดก้มตัวไหว้ หรือบางคนก็ถึงกับลงนั่งไหว้ โรงโถงที่โรงเรียนโรงหนึ่งนั้นก็กลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับทำการบูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้ และเครื่องสังเวยอันเป็นอาหารต่างๆ แม้บางคนที่เคร่งในศาสนาพุทธ และรู้สึกรังเกียจในเครื่องสังเวยที่เป็นปลาเป็นๆ หรือหมูดิบๆ ที่เพิ่งฆ่ามา ก็ทำอะไรไม่ได้จะห้ามปรามใครมิให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ และในที่สุด แม้แต่จะแสดงความรังเกียจออกมาให้ปรากฏก็เกรงภัยอันตรายไม่กล้าทำ
คนที่เกิดมาพร้อมกัน 214 คน และมีไฝที่ลูกตาขวาเหมือนกันทั้ง 214 คน และกะพริบตาโดยยกขอบตาล่างขึ้นมาปิดขอบตาบนนั้น เริ่มต้นโดยการทำให้คนในบางเพลงกลัวเสียก่อน กลัวจนหัวหดขวัญหนีดีฝ่อไม่กล้าจะทำอะไรต่อพวกเขา และต่อมาอีกขั้นหนึ่งก็ทำความดีต่างๆ หรือแสดงอำนาจในทางความดีให้เห็น จนกระทั่งคนทั้งบางเพลงพากันนับถือเขา เกรงและบูชาเขา พร้อมที่จะเสียสละอะไรบางอย่างให้เขา หรือถ้าเขาบอกให้ทำอะไรก็คงจะทำ” (หน้า 202-203 กาเหว่าที่บางเพลง สำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2556)
..................
อ่าน “กาเหว่าที่บางเพลง” ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้วนึกถึงอะไรใกล้ตัว แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเด็กต่างดาวที่มาเกิดในท้องผู้หญิงที่บางเพลง ทำอะไรเหมือนกัน พูดเหมือนกันคิดเหมือนกัน เหมือนมีคำสั่งคอยกำกับอยู่ กับชาวบ้านที่กลัวเกรงฤทธิ์เดชของเด็กทั้ง 214 คน
แต่ตอนเขียนจบม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงคติหรือความคิดทางการเมืองใดไว้ในนวนิยายเรื่องนี้ ผมก็ต้องเชื่อ แม้กลับมาย้อนอ่านวันนี้แล้วอดคิดถึงสังคม “บางกอก” ตอนนี้ไม่ได้ก็ตาม
หนังสือเล่มนี้ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้อธิบายไว้ว่า ไม่ได้มีความคิดทางการเมืองหรือทางอื่นๆ แอบแฝงไว้ในหนังสือเล่มนี้
เรื่องราวของชาวบางเพลงที่ค่ำหนึ่งในคืนแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกับเห็นดวงจันทร์ 2 ดวง ดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ แล้วความรู้สึกของคนทั้งบางเพลงก็หยุดนิ่งไป 4 นาที ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ หลังจากนั้นปรากฏว่า หญิงสาวในบางเพลงตั้งแต่เด็กสาวอายุ 16 ปี ไปจนถึง 80 ปีทั้งที่มีครอบครัวและไม่มีครอบครัว เด็กสาว แม่ม่าย กระทั่งแม่ชีตั้งท้องพร้อมกันถึง 214 คน
เด็กทั้ง 214 คน เกิดพร้อมกันและโตขึ้นมาพร้อมกัน โดยมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสังเกตเห็นความผิดปกตินี้คอยเฝ้าจับตาดูอยู่และค่อยไขปริศนาที่มาของเด็กเหล่านี้
เด็กทั้ง 214 คนมีความเจริญเติบโตกว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน เพียงแค่ 2-3 ปี เด็กเหล่านี้ก็เลือกแต่จะกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ พออายุ 8 ปีก็เหมือนกับเด็กธรรมดาที่อายุ 15-16 ปี จากเด็กเล็กที่แม่เลี้ยงดูให้นมเหมือนปกติ เมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านี้มักไม่ค่อยสุงสิงกับคนทั่วไป ชอบจับกลุ่มอยู่กับพวกเดียวกัน และมีพฤติกรรมแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ
เด็กกลุ่มนี้สามารถสื่อสารถึงกันด้วยพลังจิต มีความคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน เหมือนกับมีคำสั่งคอยกำกับ
ในตอนกลางคืนเด็กเหล่านี้จะเดินออกจากบ้านมารวมตัวกันที่หน้าโรงเรียน เมื่อครูฟื้นครูใหญ่เห็นความผิดปกติของเด็กเหล่านี้ก็ติดตามไป และมีคนมาพบศพครูฟื้นผูกคอตาย
ตาผันขี้เมาซึ่งออกไปหาปลาตอนกลางคืน ไปพบเห็นเด็กกลุ่มนี้ออกหาปลาสดๆ ในลำคลองแล้วจับกิน เอาเรื่องมาเล่าไปทั่วบางเพลง ไม่นานคนก็พบศพของตาผันจมน้ำตาย
เด็กเหล่านี้ไม่นับถือพระสงฆ์องค์เจ้า และเชื่อว่าตัวเองมีความรู้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป เวลาพูดกับพระสงฆ์ก็ไม่แสดงความนับถือนอบน้อมเหมือนกับว่ามีสถานะที่เท่าเทียมกันและคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำไป
อยู่ไปอยู่ไปหมาแมวก็ค่อยหายไปจากหมู่บ้าน จากนั้นก็เป็นไก่ มาถึงหมู เกิดความร่ำลือ และคำพูดปากต่อปากจนความหวาดกลัวลามไปทั่วทั้งบางเพลง ตกค่ำทุกบ้านก็ปิดประตูหน้าต่างหมกตัวอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหน ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินบ้างวิ่งบ้างภายนอกบ้านแต่ไม่กล้าออกไปดู แต่ชาวบ้านตอนนั้นรู้แล้วว่า ความผิดปกติเกิดมาจากเด็กทั้ง 214 คนนี้ เพราะพ่อแม่เด็กเหล่านี้ก็รู้ว่า เด็กเหล่านี้จะออกจากบ้านไปในเวลาค่ำคืน
เมื่อตำรวจเข้ามาสืบสวนเรื่องราวของหมู่บ้านทั้งเรื่องสัตว์เลี้ยงหายและคนตาย โดยพุ่งความสงสัยไปที่เด็กทั้ง 214 คน เมื่อเริ่มการสอบสวนที่เด็ก 4 คน แต่เพียงครู่เดียวเด็กที่เหลือทั้งหมดก็มาล้อมตำรวจไว้ จนต้องปล่อยตัว และเด็กทั้ง 214 คน ก็แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่าด้วยการพาพวกบุกขึ้นไปบนโรงพัก ตำรวจทั้งหมดไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนถูกสะกดจิตและนิ่งงันไปหมด
อยู่มาวันหนึ่งน้ำจะหลากเข้าท่วมบางเพลงเหมือนกับหน้าน้ำหลากทุกปี ชาวบ้านพากันเก็บข้าวของขึ้นที่สูง แต่เด็กเหล่านี้สามารถรวมพลังกันป้องกันน้ำท่วมได้ ชาวบ้านก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวมาเป็นความชื่นชม
และความศรัทธาก็เพิ่มขึ้น เมื่อเด็กจำนวนหนึ่งใน 214 คน แกล้งแสดงพลังให้ไฟไหม้โรงสีจนเกิดความโกลาหลไปทั่ว จากนั้นทั้ง 214 คน ก็แสดงพลังยืนล้อมรอบเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามโรงสีอยู่ครู่เดียวไฟก็ดับลงราวกับปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ยิ่งนับถือเด็กเหล่านี้มากขึ้นเมื่อเดินสวนทางกับเด็กเหล่านี้ก็พากันกราบไหว้ ชาวบ้านตั้งศาลขึ้นในโรงเรียนที่เด็กเหล่านี้ชอบไปรวมตัวกันในตอนกลางคืนกลางวันก็พากันไปกราบไหว้ เอาเนื้อหมูสด ปลาเป็นๆ ไปเซ่นไหว้ รุ่งเช้ามาเนื้อหมูและปลานั้นก็หายไป
ใครอยากได้อะไรก็บนบานศาลกล่าวก็จะได้รับสิ่งที่ประสงค์ หากไม่มีกำลังจะทำนาเก็บเกี่ยวแค่มาขอรุ่งเช้าข้าวในนาก็ถูกเก็บเกี่ยวให้อย่างเรียบร้อย
จากการสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ค่อยสร้างศรัทธากลับมาด้วยการให้ผลประโยชน์ตอบแทน
ชาวบ้านหารู้ไหมว่า เด็กทั้ง 214 คน ที่แท้จริงแล้วมาจากดาวอื่นที่ถูกส่งมาด้วยยานอวกาศเพื่อเอามาฝากท้องในโลกมนุษย์มีเป้าหมายเพื่อยึดครองโลก โดยมีคำสั่งอำนาจจากที่มาคอยกำกับเด็กเหล่านี้อยู่ ว่า หากต้องการยึดครองแล้วจะแสดงพลังอำนาจให้หวาดกลัวเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จนเด็กเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปคอยช่วยเหลือชาวบ้านจนเกิดเป็นความศรัทธาลุ่มหลง
“ตั้งแต่นั้นมา ก็เป็นที่รู้กันทั้งบางเพลงว่าคนที่เกิดมาพร้อมกันทั้ง 214 คนนั้น เขามีฤทธิ์มีอำนาจเหนือคนในบางเพลงทั่วไป เขาจะบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ ใครมีทุกข์มีร้อน ถ้าหากว่าเป็นทุกข์ที่แท้จริงเขาก็ช่วยให้ได้ คนทั้งบางเพลงก็พากันเกรงกลัวว่าเขาจะไม่ทำดีให้ หรือเขาอาจทำให้เกิดภัยพิบัติ จะพบคนพวกนี้ที่ไหน แม้จะสวนทางกันกลางถนนก็จะหยุดก้มตัวไหว้ หรือบางคนก็ถึงกับลงนั่งไหว้ โรงโถงที่โรงเรียนโรงหนึ่งนั้นก็กลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับทำการบูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้ และเครื่องสังเวยอันเป็นอาหารต่างๆ แม้บางคนที่เคร่งในศาสนาพุทธ และรู้สึกรังเกียจในเครื่องสังเวยที่เป็นปลาเป็นๆ หรือหมูดิบๆ ที่เพิ่งฆ่ามา ก็ทำอะไรไม่ได้จะห้ามปรามใครมิให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ และในที่สุด แม้แต่จะแสดงความรังเกียจออกมาให้ปรากฏก็เกรงภัยอันตรายไม่กล้าทำ
คนที่เกิดมาพร้อมกัน 214 คน และมีไฝที่ลูกตาขวาเหมือนกันทั้ง 214 คน และกะพริบตาโดยยกขอบตาล่างขึ้นมาปิดขอบตาบนนั้น เริ่มต้นโดยการทำให้คนในบางเพลงกลัวเสียก่อน กลัวจนหัวหดขวัญหนีดีฝ่อไม่กล้าจะทำอะไรต่อพวกเขา และต่อมาอีกขั้นหนึ่งก็ทำความดีต่างๆ หรือแสดงอำนาจในทางความดีให้เห็น จนกระทั่งคนทั้งบางเพลงพากันนับถือเขา เกรงและบูชาเขา พร้อมที่จะเสียสละอะไรบางอย่างให้เขา หรือถ้าเขาบอกให้ทำอะไรก็คงจะทำ” (หน้า 202-203 กาเหว่าที่บางเพลง สำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2556)
..................
อ่าน “กาเหว่าที่บางเพลง” ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แล้วนึกถึงอะไรใกล้ตัว แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเด็กต่างดาวที่มาเกิดในท้องผู้หญิงที่บางเพลง ทำอะไรเหมือนกัน พูดเหมือนกันคิดเหมือนกัน เหมือนมีคำสั่งคอยกำกับอยู่ กับชาวบ้านที่กลัวเกรงฤทธิ์เดชของเด็กทั้ง 214 คน
แต่ตอนเขียนจบม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงคติหรือความคิดทางการเมืองใดไว้ในนวนิยายเรื่องนี้ ผมก็ต้องเชื่อ แม้กลับมาย้อนอ่านวันนี้แล้วอดคิดถึงสังคม “บางกอก” ตอนนี้ไม่ได้ก็ตาม