**อีกไม่กี่วันก็จะครบหนึ่งเดือนที่ "บิ๊กตู่" - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. โดดลงมาสวมบทหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจจาก รัฐบาลยิ่งลักษณ์
บรรยากาศการต่อสู้ของสองขั้วการเมือง เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะด้วยเงื่อนล็อก จากคำสั่งของ คสช. ทำให้ต่างฝ่ายต่างถูกตีกรอบให้เคลื่อนไหวอยู่ในวงจำกัด
โดนเฉพาะซีกของ “คนเสื้อแดง”ที่แปลงกายมาใส่เสื้อขาว-เสื้อหลากสี ก็เริ่มอ่อนกำลังลง เพราะมาตรการที่เข้มข้นของ คสช. ที่จับจริง-ขังจริง
ขณะที่ “บิ๊กตู่”ก็ออกมาพูดหลายต่อหลายครั้งว่า ในเดือนแรกภายหลังการรัฐประหาร จะคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติ และจะลดความขัดแย้งให้หมดไปโดยเร็ว
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะต้องตั้ง “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”(สนช.) ให้ได้ เพื่อนำฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาในระบบตามเดิม รวมไปถึงอาจมีภารกิจสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย หากจะไม่ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมา
**ทว่าอุปสรรคของ “บิ๊กตู่” คงหนีไม่พ้นปัญหาบุคลากรที่จะเข้าทำงานด้านนิติบัญญัติ ตลอดจนไปถึง "สภาปฏิรูป" ที่เป็นไฟต์บังคับเพราะหันหลัง แลหน้าไป มองทางไหนก็เจอแต่คนหน้าเดิม
เอาแค่คนที่จะมารับหน้าเสื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รู้กันทั้งบางว่า ถึงเวลาจริงก็คงเลือกใช้กันอยู่แค่ 2 เจ้าเท่านั้น ที่ผูกสัมปทานด้านนี้อยู่คนหนึ่งคือ“วิษณุ เครืองาม”เจ้าของสมญา "เนติบริกร" ที่เข้ามาตีตราจอง ในตำแหน่งที่ปรึกษา คสช. แล้วในวันนี้
อีกราย "มีชัย ฤชุพันธุ์" ที่อาจจะดูตกยุค แต่ศักยภาพยังการันตีได้อยู่ เพราะผ่านการร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายต่อหลายฉบับคาดว่า ไม่คนใดคนหนึ่งต้องเข้ามาคุมเกมใน สนช. แน่
**ขณะที่เก้าอี้ใน สนช.-สภาปฏิรูป ที่จนวันนี้ยังไม่เคาะว่ามีกี่ที่นั่ง แต่รวมๆ แล้ว ต้องมีหลักหลายร้อยอย่างแน่นอน ทำให้บรรดาคนที่คิดว่าตัวเองเข้าข่าย ก็สวมบท "นักวิ่ง" กันแต่หัววัน
อย่างความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มอาจารย์”ที่ต่อสู้เคียงบ่า เคียงไหล่ และคอยให้คำปรึกษา“สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. มาโดยตลอด ก็ออกอาการน้อยอกน้อยใจว่า “บิ๊กตู่-คสช.”ยังไม่สะกิดเรียกมาใช้บริการเลย
ทั้งที่ ต่อสู้ เคียงบ่า-เคียงไหล่ กันมาตลอด โจมตี-ต่อต้าน "รัฐบาลปูแดง" ชนิดออกนอกหน้า ยอมเจ็บยอมโดนด่า แต่กลับยังไม่ได้อะไรตอบแทน หรืออย่าง กลุ่ม ส.ว.ที่ตกงาน เพราะโดนโละทิ้งจากคำสั่งของ คสช. ก็ขยับเคลื่อนไหวไม่แพ้กัน
**ความคาดหวังต่อเก้าอี้ สนช.-สภาปฏิรูป จึงค่อนข้างสูง และอาจจะชุลมุนไม่ต่างกับการแย่งที่นั่งดูหนังฟรี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งยังมีการปล่อยข่าว-บลั๊ฟข่าว ดิสเครดิต “นักวิชาการ”ที่ คสช.เลือกใช้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน หนักวันเข้า ก็ด่าทั้งที่ลับ-ที่แจ้ง หาว่า “พวกอีแอบ”มักได้ดี
ฉะนั้นจึงต้องวัดใจ “บิ๊กตู่”ว่าจะเสี่ยงเลือกใครมาใช้บริการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการบริหารประเทศ
เพราะหากสุดท้ายกางชื่อออกมา มีแต่คนหน้าช้ำ หรือพวกพ้องตัวเอง ก็เตรียมรับเสียงโห่ฮาได้เลย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีเสียงเป่าปากไม่เห็นด้วยกับการตั้ง 10 ที่ปรึกษา เมื่อไม่นานมานี้
พอมี สนช.-สภาปฏิรูปแล้ว สิ่งที่จะตามมาในเดือนตุลาคม “บิ๊กตู่”ให้คำมั่นสัญญาอีกว่า จะต้องมีรัฐบาลชุดใหม่ มี คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เข้ามาบริหารประเทศ
**โจทย์ใหญ่คือ“บิ๊กตู่”จะเลือกใครมาอยู่ใน“ดรีมทีม”ในภาวะที่ต้องเร่งบูรณะฟื้นฟูประเทศ เพราะหากพูดถึงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็มีทั้งพวกที่มีฝีมือ แต่ไม่อยากเข้ามานั่งในตำแหน่ง เพราะเกรงว่าจะเสียคนตอนแก่ และมีทั้งพวกไร้ฝีมือ แต่ "กระสัน" เสนอหน้าอยากเข้ามาเป็นจนตัวสั่นก็เยอะ
รวมไปถึงควมมคาดหวังว่า ครม.ชุดใหม่ จะไม่ซ้ำรอย“ครม.ขิงแก่”ที่ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” เลือกสรรเข้ามา แต่ไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าไปได้ แถมยังล้าหลังเข้าไปอีก
ยังมีพวกเหลือบไรแอบทุจริต กินงบประมาณของรัฐเสียเอง
ทว่าการคัดเลือกครม.ชุดใหม่ ของ “บิ๊กตู่”อาจจะมีจุดต่างกับสมัย คมช. ของ “บิ๊กบัง - พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อยู่บ้าง ตรงที่ “พล.อ.สนธิ”แทบที่จะไม่มีอำนาจในการเลือก ครม.ด้วยตัวเองเลย
เพราะบรรดา “อำมาตย์”หลากหน้าหลายตา เข้ามาเสนอชื่อคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น “คนดี”เข้ามาชิงตำแหน่งกันมากมาย หน้าตาของ “ครม.ขิงแก่”จึงดูอ่อนแอที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา
แต่ครั้งนี้ "บิ๊กตู่" ทุบโต๊ะขึงขังว่า จะจิ้มคัดสรรด้วยตัวเอง โดยไม่ให้มีผู้ใดเข้ามาครอบงำ เพราะถือว่า ไอ้ตัดสินใจเด็ดเดี่บวในการยึดอำนาจด้วยตัวเอง พวกที่กระดิกเท้ารอจึงหมดสิทธิ์มาขอแบ่งเค้กทีหลัง อำนาจเต็มในการจัดตั้ง "ครม.ชุดใหม่"จึงอยู่ที่ “บิ๊กตู่” คนเดียว หากรักใคร-ชอบใคร-ผลงานใครดี มีหวังเข้าตา“บิ๊กตู่”ลุ้นนั่งต่อในครม.ได้ทันที
ส่วนตำแหน่ง“นายกฯ”ยังคลุมเครือ สปอตไลต์ ส่องไปที่ตัว “บิ๊กตู่”ว่าจะนั่งบริหารประเทศต่อ ด้วยตัวเอง บางกระแสบอกว่า “บิ๊กตู่”จะหลีกทางให้ “คนนอก”เข้ามาบริหารประเทศแทน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
แต่ไทม์มิ่งของประเทศไทยในเดือนตุลาคม นอกจากจะได้ “ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ”แล้ว บรรดาแผงอำนาจในกองทัพ ยังต้องเปลี่ยนมืออีกครา โดยเฉพาะตำแหน่งหัวแถว ทั้งเก้าอี้ปลัดกลาโหม -ผบ.สส. -ผบ.ทบ. ที่เจ้าของเดิมถึงเกณฑ์ต้องรีไทร์ ตามกติกา
อย่างเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็ต้องวัดใจว่า "บิ๊กตู่" ที่จะเกษียณอายุราชการ จะลุกให้รุ่นน้องมารับไม้ต่อหรือไม่ เพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า อาจมีการต่ออายุราชการ คุมกองทัพบกต่อไปอีกปี
**แต่หากเลือกที่จะลุกจากตำแหน่ง เต็งหนึ่งที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ก็น่าจะเป็น "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รอง ผบ.ทบ. ซึ่งเบียดมากับ "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยเสนาธิการ ทบ. ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นมือทำงานคนสำคัญของ "บิ๊กตู่"
ทว่าการที่ “บิ๊กตู่”ใช้ “น้องรัก”หลายคนเข้ามาบริหารประเทศในยามนี้ การจัดสรรตำแหน่ง ให้ทุกคนพอใจยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากใจยิ่งกว่าเดิม การเกลี่ยตำแหน่งให้ทุกคน วิน-วิน จึงสำคัญยิ่ง
มาวันนี้มีกระแสข่าวหลุดลอดออกมาว่า “บิ๊กตู่” อาจจะนั่งควบทั้งตำแหน่งนายกฯ และตำแหน่ง ผบ.ทบ.
ทางหนึ่งเพื่อไม่ให้ "น้องรัก" ต้องหักหาญกันเอง อีกทางหนึ่ง เพื่อรวบอำนาจในการบริหารประเทศไว้เพียงคนเดียวไปพลางก่อน
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ที่ตัดสินชี้เป็นชี้ตายอนาคตของ “บิ๊กตู่”ที่จะสานฝัน พาประเทศไทยกลับมาดีกว่าเดิมได้หรือไม่ หรือจะกลับไปมีขั้วการเมืองสองขั้วเหมือนเดิม หรือจะกลับไปแย่กว่าเดิม
**คำตอบอยู่ที่ “บิ๊กตู่”คนเดียว ที่ต้องโชว์ฝีมือบริหารอำนาจให้ลงตัว
บรรยากาศการต่อสู้ของสองขั้วการเมือง เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย เพราะด้วยเงื่อนล็อก จากคำสั่งของ คสช. ทำให้ต่างฝ่ายต่างถูกตีกรอบให้เคลื่อนไหวอยู่ในวงจำกัด
โดนเฉพาะซีกของ “คนเสื้อแดง”ที่แปลงกายมาใส่เสื้อขาว-เสื้อหลากสี ก็เริ่มอ่อนกำลังลง เพราะมาตรการที่เข้มข้นของ คสช. ที่จับจริง-ขังจริง
ขณะที่ “บิ๊กตู่”ก็ออกมาพูดหลายต่อหลายครั้งว่า ในเดือนแรกภายหลังการรัฐประหาร จะคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติ และจะลดความขัดแย้งให้หมดไปโดยเร็ว
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะต้องตั้ง “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”(สนช.) ให้ได้ เพื่อนำฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาในระบบตามเดิม รวมไปถึงอาจมีภารกิจสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย หากจะไม่ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมา
**ทว่าอุปสรรคของ “บิ๊กตู่” คงหนีไม่พ้นปัญหาบุคลากรที่จะเข้าทำงานด้านนิติบัญญัติ ตลอดจนไปถึง "สภาปฏิรูป" ที่เป็นไฟต์บังคับเพราะหันหลัง แลหน้าไป มองทางไหนก็เจอแต่คนหน้าเดิม
เอาแค่คนที่จะมารับหน้าเสื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รู้กันทั้งบางว่า ถึงเวลาจริงก็คงเลือกใช้กันอยู่แค่ 2 เจ้าเท่านั้น ที่ผูกสัมปทานด้านนี้อยู่คนหนึ่งคือ“วิษณุ เครืองาม”เจ้าของสมญา "เนติบริกร" ที่เข้ามาตีตราจอง ในตำแหน่งที่ปรึกษา คสช. แล้วในวันนี้
อีกราย "มีชัย ฤชุพันธุ์" ที่อาจจะดูตกยุค แต่ศักยภาพยังการันตีได้อยู่ เพราะผ่านการร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วหลายต่อหลายฉบับคาดว่า ไม่คนใดคนหนึ่งต้องเข้ามาคุมเกมใน สนช. แน่
**ขณะที่เก้าอี้ใน สนช.-สภาปฏิรูป ที่จนวันนี้ยังไม่เคาะว่ามีกี่ที่นั่ง แต่รวมๆ แล้ว ต้องมีหลักหลายร้อยอย่างแน่นอน ทำให้บรรดาคนที่คิดว่าตัวเองเข้าข่าย ก็สวมบท "นักวิ่ง" กันแต่หัววัน
อย่างความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มอาจารย์”ที่ต่อสู้เคียงบ่า เคียงไหล่ และคอยให้คำปรึกษา“สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. มาโดยตลอด ก็ออกอาการน้อยอกน้อยใจว่า “บิ๊กตู่-คสช.”ยังไม่สะกิดเรียกมาใช้บริการเลย
ทั้งที่ ต่อสู้ เคียงบ่า-เคียงไหล่ กันมาตลอด โจมตี-ต่อต้าน "รัฐบาลปูแดง" ชนิดออกนอกหน้า ยอมเจ็บยอมโดนด่า แต่กลับยังไม่ได้อะไรตอบแทน หรืออย่าง กลุ่ม ส.ว.ที่ตกงาน เพราะโดนโละทิ้งจากคำสั่งของ คสช. ก็ขยับเคลื่อนไหวไม่แพ้กัน
**ความคาดหวังต่อเก้าอี้ สนช.-สภาปฏิรูป จึงค่อนข้างสูง และอาจจะชุลมุนไม่ต่างกับการแย่งที่นั่งดูหนังฟรี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งยังมีการปล่อยข่าว-บลั๊ฟข่าว ดิสเครดิต “นักวิชาการ”ที่ คสช.เลือกใช้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน หนักวันเข้า ก็ด่าทั้งที่ลับ-ที่แจ้ง หาว่า “พวกอีแอบ”มักได้ดี
ฉะนั้นจึงต้องวัดใจ “บิ๊กตู่”ว่าจะเสี่ยงเลือกใครมาใช้บริการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการบริหารประเทศ
เพราะหากสุดท้ายกางชื่อออกมา มีแต่คนหน้าช้ำ หรือพวกพ้องตัวเอง ก็เตรียมรับเสียงโห่ฮาได้เลย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีเสียงเป่าปากไม่เห็นด้วยกับการตั้ง 10 ที่ปรึกษา เมื่อไม่นานมานี้
พอมี สนช.-สภาปฏิรูปแล้ว สิ่งที่จะตามมาในเดือนตุลาคม “บิ๊กตู่”ให้คำมั่นสัญญาอีกว่า จะต้องมีรัฐบาลชุดใหม่ มี คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เข้ามาบริหารประเทศ
**โจทย์ใหญ่คือ“บิ๊กตู่”จะเลือกใครมาอยู่ใน“ดรีมทีม”ในภาวะที่ต้องเร่งบูรณะฟื้นฟูประเทศ เพราะหากพูดถึงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็มีทั้งพวกที่มีฝีมือ แต่ไม่อยากเข้ามานั่งในตำแหน่ง เพราะเกรงว่าจะเสียคนตอนแก่ และมีทั้งพวกไร้ฝีมือ แต่ "กระสัน" เสนอหน้าอยากเข้ามาเป็นจนตัวสั่นก็เยอะ
รวมไปถึงควมมคาดหวังว่า ครม.ชุดใหม่ จะไม่ซ้ำรอย“ครม.ขิงแก่”ที่ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” เลือกสรรเข้ามา แต่ไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าไปได้ แถมยังล้าหลังเข้าไปอีก
ยังมีพวกเหลือบไรแอบทุจริต กินงบประมาณของรัฐเสียเอง
ทว่าการคัดเลือกครม.ชุดใหม่ ของ “บิ๊กตู่”อาจจะมีจุดต่างกับสมัย คมช. ของ “บิ๊กบัง - พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อยู่บ้าง ตรงที่ “พล.อ.สนธิ”แทบที่จะไม่มีอำนาจในการเลือก ครม.ด้วยตัวเองเลย
เพราะบรรดา “อำมาตย์”หลากหน้าหลายตา เข้ามาเสนอชื่อคนที่ตัวเองคิดว่าเป็น “คนดี”เข้ามาชิงตำแหน่งกันมากมาย หน้าตาของ “ครม.ขิงแก่”จึงดูอ่อนแอที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา
แต่ครั้งนี้ "บิ๊กตู่" ทุบโต๊ะขึงขังว่า จะจิ้มคัดสรรด้วยตัวเอง โดยไม่ให้มีผู้ใดเข้ามาครอบงำ เพราะถือว่า ไอ้ตัดสินใจเด็ดเดี่บวในการยึดอำนาจด้วยตัวเอง พวกที่กระดิกเท้ารอจึงหมดสิทธิ์มาขอแบ่งเค้กทีหลัง อำนาจเต็มในการจัดตั้ง "ครม.ชุดใหม่"จึงอยู่ที่ “บิ๊กตู่” คนเดียว หากรักใคร-ชอบใคร-ผลงานใครดี มีหวังเข้าตา“บิ๊กตู่”ลุ้นนั่งต่อในครม.ได้ทันที
ส่วนตำแหน่ง“นายกฯ”ยังคลุมเครือ สปอตไลต์ ส่องไปที่ตัว “บิ๊กตู่”ว่าจะนั่งบริหารประเทศต่อ ด้วยตัวเอง บางกระแสบอกว่า “บิ๊กตู่”จะหลีกทางให้ “คนนอก”เข้ามาบริหารประเทศแทน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
แต่ไทม์มิ่งของประเทศไทยในเดือนตุลาคม นอกจากจะได้ “ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ”แล้ว บรรดาแผงอำนาจในกองทัพ ยังต้องเปลี่ยนมืออีกครา โดยเฉพาะตำแหน่งหัวแถว ทั้งเก้าอี้ปลัดกลาโหม -ผบ.สส. -ผบ.ทบ. ที่เจ้าของเดิมถึงเกณฑ์ต้องรีไทร์ ตามกติกา
อย่างเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็ต้องวัดใจว่า "บิ๊กตู่" ที่จะเกษียณอายุราชการ จะลุกให้รุ่นน้องมารับไม้ต่อหรือไม่ เพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า อาจมีการต่ออายุราชการ คุมกองทัพบกต่อไปอีกปี
**แต่หากเลือกที่จะลุกจากตำแหน่ง เต็งหนึ่งที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ก็น่าจะเป็น "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รอง ผบ.ทบ. ซึ่งเบียดมากับ "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยเสนาธิการ ทบ. ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นมือทำงานคนสำคัญของ "บิ๊กตู่"
ทว่าการที่ “บิ๊กตู่”ใช้ “น้องรัก”หลายคนเข้ามาบริหารประเทศในยามนี้ การจัดสรรตำแหน่ง ให้ทุกคนพอใจยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากใจยิ่งกว่าเดิม การเกลี่ยตำแหน่งให้ทุกคน วิน-วิน จึงสำคัญยิ่ง
มาวันนี้มีกระแสข่าวหลุดลอดออกมาว่า “บิ๊กตู่” อาจจะนั่งควบทั้งตำแหน่งนายกฯ และตำแหน่ง ผบ.ทบ.
ทางหนึ่งเพื่อไม่ให้ "น้องรัก" ต้องหักหาญกันเอง อีกทางหนึ่ง เพื่อรวบอำนาจในการบริหารประเทศไว้เพียงคนเดียวไปพลางก่อน
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน ที่ตัดสินชี้เป็นชี้ตายอนาคตของ “บิ๊กตู่”ที่จะสานฝัน พาประเทศไทยกลับมาดีกว่าเดิมได้หรือไม่ หรือจะกลับไปมีขั้วการเมืองสองขั้วเหมือนเดิม หรือจะกลับไปแย่กว่าเดิม
**คำตอบอยู่ที่ “บิ๊กตู่”คนเดียว ที่ต้องโชว์ฝีมือบริหารอำนาจให้ลงตัว