ปัญญาชนต่างยอมรับว่า “เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม” เราได้แนะนำ ติติงตักเตือนคณะผู้ปกครองมาหลายคณะแล้วว่า “อย่าได้สร้างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นอันขาด” เพราะนี่คือแนวทางมิจฉาทิฐิ ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้ายเป็นบาปใหญ่ เท่าที่ผู้ปกครองไทยหลายชุด หลายคณะหลงผิด คิดผิดเข้าใจผิดต่อแนวทาง ความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวงนัก มันทำลายประเทศชาติ และครอบงำประชาชนตกเป็นทาสทางการเมืองให้ติดอยู่ใต้ขบวนการโกหกอันยาวนานที่สุด
การยกร่างรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม เป็นครั้งที่ 19-29 เพราะมาจากแนวคิดของพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ โดยมีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้จะร่างสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ ก็จะไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยอะไรเลย มีแต่ความล้มเหลว ระบอบเผด็จการยังคงครอบงำประชาชนต่อไป
แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานร่วม 82 ปี มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้วใช่ไหมปัญญาชนคนดีของแผ่นดิน
บัดนี้เราต่างก็เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็นภัยใหญ่อันร้ายแรงนี้
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลคณะใดก็ตาม จะเป็นใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, ทุกรัฐบาล แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, “เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ” เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลมีแต่สร้างหนี้พอกพูนหนี้ให้กับประชาชน
ทุกรัฐบาล ระยะแรกกระแสประชาชนชื่นชม พอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 1-2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วทุกรัฐบาลนั้นตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ นั่นเอง
ในอดีต ปู ยิ่งลักษณ์ กลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่า “ฉันเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนและคิดผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง “เขาเห็นถนนลูกรัง เป็นถนนคอนกรีต” ในท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร อันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ “มีระบอบเผด็จการที่ไหน ต้องมีรัฐประหารที่นั่น”
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนทุกรัฐบาล ทุกๆ ผู้ปกครอง ด้วยความเมตตาหลายครั้งหลายคราให้ระมัดระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรมอันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ คือระบอบเผด็จการมารร้ายอันใหญ่หลวงของชาติและประชาชน
เพียงเสนอ ประกาศนโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และทำตามนโยบายเป็นขั้นเป็นตอนเพียงเท่านี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ก็จะไม่หวนกลับมาอีกเลย และเมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี การหมิ่นสถาบันฯ ก็จะหมดไป
ถ้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ เช่น ยกร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง เราก็มองเห็นทันทีว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและเข้าสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำรอยเดิม ประชาชนจะต้องขมขื่นต่อไป รอจนกว่ารัฐประหารครั้งใหม่ต่อไป
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามปัจจัยเหตุ และปัจจัยผลไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือผู้ปกครองเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาสัมพันธภาพทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา
เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือ คสช.ต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม เพียงเท่านี้เอง ก็เป็นชัยชนะของปวงชนแล้วง่ายๆ
ดังเช่น วัดพระแก้วถูกสร้างขึ้นมาก่อน ส่วนวิธีการไปวัดพระแก้วเกิดภายหลังอันหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง รถจักรยาน รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่าง “สภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์”
เราขอเชิญชวน คสช.มาร่วมกันพิสูจน์กฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราก็ต้องมีนิโรธของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการแล้วก็คือ
หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง
รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล) ที่ถูกต้อง
รัฐบาลที่ถูกต้องย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อจังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล
นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ต้องเกิดจากเหตุดี คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
แต่ปรากฏว่า 82 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่า มันเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรมอย่างร้ายมันเป็นระบอบเลวที่ครอบงำประเทศชาติและประชาชนมาอย่างยาวนาน ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำรอยเดิม 18 ครั้งแล้ว ดร.ป. จึงจำเป็นต้องแนะนำ และ คสช.ซ้ำๆๆๆๆ เช่นกัน
อดีต ผู้ปกครอง คณะแล้วคณะเล่าเอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่า นี่คือระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก มันโกหกกันมายาวนานที่สุด แม้แต่สหรัฐอเมริกา ยังเชื่อตามเห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นั่นเพราะเขามองแค่การเลือกตั้งเท่านั้นเอง
ย้ำว่า รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว นัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครองเพียงอย่างเดียว
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ผิด ผิด ความอุบาทว์จัญไรแผ่กระจายครอบงำท่วมทับไปทั่วทั้งประเทศ
อีกนัยหนึ่ง เมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด ทุกอย่างจึงล้มเหลวหมด แล้วผู้ปกครองก็มานั่งแก้แต่ปัญหาปลายเหตุ
ขอย้ำว่า เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ ยิ่งแก้ปัญหาใดๆ ยิ่งแก้ ก็ยิ่งล้มเหลว
บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยกลับหนักขึ้นๆ หนักขึ้นทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย
“ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงสุดดุจสวรรค์ แต่ภาพของการเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรกสุดๆ” นักการเมืองหลายคนดุจดังสัตว์นรกในอบายภูมิ ก็เพราะพวกเขาอยู่ใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภานั่นเอง แต่พวกเขาบิดเบือนไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มันก็หลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย พวกเขาเป็นพรรคการเมืองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่นและยาวนาน
ขอย้ำด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ หวังใจอย่างยิ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “จุดหมายเกิดก่อนวิธีการไป ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเกิดก่อน มาก่อนของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น” “ขอให้คำแนะนำอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้ผ่านตาท่านพลเอกประยุทธ์ ด้วยเถิด”
ในทางการทหาร “ยุทธศาสตร์ต้องถูกกำหนดขึ้นก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเกิดก่อนและเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“วัดพระแก้ว ย่อมเกิดก่อนวิธีการไปวัดพระแก้ว ฉันใด หลักการปกครองย่อมเกิดก่อน มาก่อน เป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ดังนี้แล้ว คสช.อย่าทำผิดซ้ำรอย อดีตคณะรัฐประหารอื่นๆ ก็แล้วกัน คสช.ไม่มีทางอื่นใดเลย แนวทางที่จะทำถูกต้องยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ นโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
การยกร่างรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม เป็นครั้งที่ 19-29 เพราะมาจากแนวคิดของพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ โดยมีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้จะร่างสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ ก็จะไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยอะไรเลย มีแต่ความล้มเหลว ระบอบเผด็จการยังคงครอบงำประชาชนต่อไป
แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานร่วม 82 ปี มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้วใช่ไหมปัญญาชนคนดีของแผ่นดิน
บัดนี้เราต่างก็เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็นภัยใหญ่อันร้ายแรงนี้
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลคณะใดก็ตาม จะเป็นใครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, ทุกรัฐบาล แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, “เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ” เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลมีแต่สร้างหนี้พอกพูนหนี้ให้กับประชาชน
ทุกรัฐบาล ระยะแรกกระแสประชาชนชื่นชม พอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 1-2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วทุกรัฐบาลนั้นตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ นั่นเอง
ในอดีต ปู ยิ่งลักษณ์ กลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่า “ฉันเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนและคิดผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง “เขาเห็นถนนลูกรัง เป็นถนนคอนกรีต” ในท้ายที่สุดก็ถูกรัฐประหาร อันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ “มีระบอบเผด็จการที่ไหน ต้องมีรัฐประหารที่นั่น”
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนทุกรัฐบาล ทุกๆ ผู้ปกครอง ด้วยความเมตตาหลายครั้งหลายคราให้ระมัดระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรมอันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ คือระบอบเผด็จการมารร้ายอันใหญ่หลวงของชาติและประชาชน
เพียงเสนอ ประกาศนโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และทำตามนโยบายเป็นขั้นเป็นตอนเพียงเท่านี้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ก็จะไม่หวนกลับมาอีกเลย และเมื่อเวลาผ่านไป 5-10 ปี การหมิ่นสถาบันฯ ก็จะหมดไป
ถ้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ เช่น ยกร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง เราก็มองเห็นทันทีว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและเข้าสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำรอยเดิม ประชาชนจะต้องขมขื่นต่อไป รอจนกว่ารัฐประหารครั้งใหม่ต่อไป
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามปัจจัยเหตุ และปัจจัยผลไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือผู้ปกครองเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาสัมพันธภาพทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา
เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือ คสช.ต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม เพียงเท่านี้เอง ก็เป็นชัยชนะของปวงชนแล้วง่ายๆ
ดังเช่น วัดพระแก้วถูกสร้างขึ้นมาก่อน ส่วนวิธีการไปวัดพระแก้วเกิดภายหลังอันหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง รถจักรยาน รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่าง “สภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์”
เราขอเชิญชวน คสช.มาร่วมกันพิสูจน์กฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราก็ต้องมีนิโรธของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการแล้วก็คือ
หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง
รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล) ที่ถูกต้อง
รัฐบาลที่ถูกต้องย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อจังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล
นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ต้องเกิดจากเหตุดี คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
แต่ปรากฏว่า 82 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่า มันเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรมอย่างร้ายมันเป็นระบอบเลวที่ครอบงำประเทศชาติและประชาชนมาอย่างยาวนาน ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำรอยเดิม 18 ครั้งแล้ว ดร.ป. จึงจำเป็นต้องแนะนำ และ คสช.ซ้ำๆๆๆๆ เช่นกัน
อดีต ผู้ปกครอง คณะแล้วคณะเล่าเอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่า นี่คือระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก มันโกหกกันมายาวนานที่สุด แม้แต่สหรัฐอเมริกา ยังเชื่อตามเห็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นั่นเพราะเขามองแค่การเลือกตั้งเท่านั้นเอง
ย้ำว่า รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว นัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครองเพียงอย่างเดียว
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ผิด ผิด ความอุบาทว์จัญไรแผ่กระจายครอบงำท่วมทับไปทั่วทั้งประเทศ
อีกนัยหนึ่ง เมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด ทุกอย่างจึงล้มเหลวหมด แล้วผู้ปกครองก็มานั่งแก้แต่ปัญหาปลายเหตุ
ขอย้ำว่า เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ ยิ่งแก้ปัญหาใดๆ ยิ่งแก้ ก็ยิ่งล้มเหลว
บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยกลับหนักขึ้นๆ หนักขึ้นทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย
“ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงสุดดุจสวรรค์ แต่ภาพของการเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรกสุดๆ” นักการเมืองหลายคนดุจดังสัตว์นรกในอบายภูมิ ก็เพราะพวกเขาอยู่ใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภานั่นเอง แต่พวกเขาบิดเบือนไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มันก็หลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย พวกเขาเป็นพรรคการเมืองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่นและยาวนาน
ขอย้ำด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ หวังใจอย่างยิ่งว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “จุดหมายเกิดก่อนวิธีการไป ฉันใด หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเกิดก่อน มาก่อนของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น” “ขอให้คำแนะนำอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้ผ่านตาท่านพลเอกประยุทธ์ ด้วยเถิด”
ในทางการทหาร “ยุทธศาสตร์ต้องถูกกำหนดขึ้นก่อนยุทธวิธี ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ย่อมเกิดก่อนและเป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
“วัดพระแก้ว ย่อมเกิดก่อนวิธีการไปวัดพระแก้ว ฉันใด หลักการปกครองย่อมเกิดก่อน มาก่อน เป็นเหตุของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
ดังนี้แล้ว คสช.อย่าทำผิดซ้ำรอย อดีตคณะรัฐประหารอื่นๆ ก็แล้วกัน คสช.ไม่มีทางอื่นใดเลย แนวทางที่จะทำถูกต้องยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ นโยบายสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9