xs
xsm
sm
md
lg

81 ปี ใต้ความอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไรของชาติคือ…

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

หัวเรื่องบทความวันนี้ ดูจะแรง แต่เป็นเรื่องจริงเพราะผู้ปกครองไทย นักการเมือง นักวิชาการไทยบางส่วน ไม่รู้เรื่องระบอบประชาธิปไตย แล้วจะยังดันทุรังโกหกหลอกลวงประชาชนให้ยาวนานออกไปอีกนานเท่าใด

ผู้เขียนขอรับรองว่า ให้ปัญญา ความรู้จริงๆ ไม่มีอคติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีแต่พวกเราทั้งนั้น เขียน พูด แนะนำให้ทุกฝ่ายทำถูกต้องเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ


ดังคำสอนที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ทันสมัยเสมอตลอดกาล

การเมืองเป็นนาย การปกครองเป็นบ่าว

ไม่มีใครเอาบ่าว มาก่อนนายหรอกนะ

ไม่มีใครเอาวิธีการมาก่อนจุดหมาย มีแต่คนมิจฉาทิฐิ อย่างร้ายแรงเท่านั้น

ไม่มีใครเอาการปกครอง มาก่อนระบอบการเมืองหรอกนะ เว้นแต่พวกมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง

แต่ก็มีผู้ปกครองไทย นักวิชาการ คนร่างรัฐธรรมนูญ นักการเมืองเท่านั้น กว่า 81 ปี ต่างก็นำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) มาก่อนระบอบฯ
หรือหลักการปกครองโดยธรรม

การเมืองไทยจึงเป็นระบอบเผด็จการ ซึ่งมีแต่รูปแบบการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ, การเลือกตั้ง) จึงดุจดังศพ วางอยู่ตรงหน้าประชาชน ดุจดังปูเสฉวน คือพรรครัฐบาล เป็นปูเสฉวน ที่เข้าไปอาศัยเปลือกหอยที่ตายแล้ว

นี่คือลักษณะระบอบเผด็จการ เป็นกระบวนการความคิด ความเห็นของคนที่เห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติที่สร้างระบอบเผด็จการแล้วหลอกลวงอย่างอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไรว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเริ่มต้นด้วย

1) ธรรมนูญการปกครอง หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ นี่คือเหตุแห่งความเห็นผิดของคณะราษฎร ที่อยู่ๆ ก็เอาธรรมนูญการปกครองมาปกครอง นี่คือจุดเริ่มต้นของความอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร ผู้เขียนถือว่า คณะราษฎร เจตนาดี แต่พาประเทศชาติลงนรก เพราะความไม่รู้เรื่องระบอบประชาธิปไตยแต่ทั้งฝ่ายพรรคเพื่อไทย เสื้อแดง และพรรคประชาธิปัตย์ กปปส.ต่างก็เข้าใจว่า รัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญเป็นวิธีการปกครองชนิดหนึ่ง ระบอบอะไรๆ ก็เอาไปใช้ได้ คนละเรื่อง คนละส่วนกับระบอบประชาธิปไตย

2) มีรูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) แต่บางช่วงบางสมัยเป็นระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) บ้าง เช่น สมัยรัฐบาลพลเอกถนอม กิตติขจร และสมัยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 มีระบบสองสภาบ้าง สภาเดียวบ้าง ระบบรัฐสภาเป็นระบบรวมอำนาจ แยกกันทำหน้าที่ แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นสามส่วนคือฝ่ายนิติบัญญัติหรือออกกฎหมาย (สภา) ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) และฝ่ายตุลาการ (ศาล) ซึ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบ แต่ทั้งฝ่ายปรีดี พนมยงค์ พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง จตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ และฝ่ายนายควง อภัยวงศ์ พรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กปปส. สุเทพ เทือกสุบรรณ, ถาวร เสนเนียม ฯลฯ ต่างก็เข้าใจว่า ระบบรัฐสภาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง ระบอบอะไรๆ ก็เอาไปใช้ได้ คนละเรื่องกับระบอบประชาธิปไตยนี่จึงเรียกว่า แนวคิดอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร เพราะเมื่อนักการเมืองเห็นผิด เขาจึงพูดผิด เมื่อเขาพูดผิด-ก็ทำผิด เมื่อพวกเขาทำผิดประชาชนทั้งแผ่นดินได้รับความเดือนร้อนอย่างแสนสาหัส

1) มีวุฒิสภา (สภาสูง) มีสภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง)

2) มีการเลือกตั้ง เมื่อระบอบเป็นเผด็จการ การเลือกตั้งก็ต้องเป็นเผด็จการ

3) องค์กรตรวจสอบ เมื่อต้นสายผิด ปลายมันก็ต้องผิด มันจึงเกิดโกลาหล สับสนวุ่นวาย ในทางการเมืองมายาวนานเหลือเกินแล้ว

เราจะเห็นแนวทางแห่งความเห็นผิดและกระบวนการสืบทอดคณะราษฎร คือลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เพราะพวกนี้เชื่ออย่างฝังใจ ไม่ฟังใครว่า “รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย” สร้าง“อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ” ก็กลับเรียกว่า “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” มันดันทุรังกันจริงๆ

พวกนี้ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญคิดได้เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ 1) ร่างรัฐธรรมนูญใหญ่ 2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านทั้งหลายต่างก็เห็นชัดว่า

รัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่

พวกเลือกตั้ง เลือกตั้งชนะเป็นรัฐบาล หากไม่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็แก้รัฐรัฐธรรมนูญ
เขาคิดอย่างอื่นไม่เป็น กระทั่งเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก

อีกนัยหนึ่ง เรียกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ อีกอย่างว่า พวกลัทธิรูปแบบการปกครอง เพราะมีแต่รูปแบบการปกครองเพียงอย่างเดียวจริงๆ

แล้วการเมืองของปวงชน หรือระบอบ หรือหลักการปกครองของปวงชนอยู่ที่ไหน ตอบว่าไม่มี มีแต่การเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว (เรียกว่าเผด็จการ) ประชาชนจึงตกเป็นทาสทางการเมืองของพรรคการเมือง เชื่อลมปากเลวๆ ของนักการเมือง แล้วทำให้คนไทยกันเองขัดแย้งกัน อาฆาตแค้นใส่กัน จะฆ่ากันเป็นสงครามกลางเมือง ทั้งๆ ที่ ทักษิณ หรือนักการเมืองทั้งหลายต่างก็อยู่กันอย่างสุขสบาย นักการเมืองจัญไรฝ่ายหนึ่ง เช่น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “ฉันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย” แท้จริง “นายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์กำลังรักษาระบอบเผด็จการ รักษาประโยชน์ตนอย่างสุดแรงเกิด” จตุพร พรหมพันธุ์ บอกว่า “ต่อสู้เพื่อป้องกันการทำลายระบอบประชาธิปไตย” ไม่มีใคร เทวดาไหนๆ จะทำระบอบประชาธิปไตยได้เพราะไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย

มีแต่เพียงรูปการปกครองและวิธีการปกครองเท่านั้น แต่พวกมันปลุกระดมโกหก หน้าตาเฉย โกหกอย่างอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร โดยเอาการเลือกตั้ง ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย มันก็เป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ

อีกฝ่ายหนึ่ง จะปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ก็แสดงว่า ประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่มันไม่สมบูรณ์ จึงปฏิรูปให้สมบูรณ์ แต่ แท้จริง ประเทศไทย ยังเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา 1,000%

แนะนำอย่างจริงใจ ติกันตรงๆ การปฏิรูปการเมืองในระบอบเผด็จการ จึงเป็นความเห็นผิด หลงทาง เป็นข้อเสนอที่ไม่ตรงจุด ไม่สามารถแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้ และโค่นรัฐบาลไม่ลง เพราะเสนอผิด ไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่สามารถทำให้มวลมหาประชาชนมีชัยชนะได้ อย่างดีก็แค่ทำลายศัตรูคู่แข่งและจะนำภัยร้ายมาสู่ประเทศ เกิดความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ

สิ่งที่ กปปส. เสนอการปฏิรูป ล้วนเป็นปัญหาปลายเหตุทั้งสิ้น ด้วยปัญญาที่ว่า อันเป็นผลที่เกิดจากระบอบเผด็จการ เหตุเลว ผลเลว

ระบอบเลว
รัฐบาลเลว การปกครองเลว กระทรวงเลว กรมเลว จังหวัดเลว การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็นปัญหาปลายเหตุ

ระบอบเลว รัฐบาลเลว กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติเลว ฯลฯ

ระบอบเลว กระทรวงพลังงานเลว พลังงานของชาติตกเป็นของทักษิณ นายทุน เพียงหยิบมือเดียว นี่ก็เป็นปัญหาปลายเหตุ ทำให้คนเห็นผิดเหตุวิกฤตชาติ ไปยึดเอาปัญหาปลายเหตุ จึงแก้ไขอื่นๆ ไม่สำเร็จ เสี่ยงภัย เสียเวลา เสียทรัพย์ เสียกำลังกายและใจ และจะถูกรัฐบาลเผด็จการปราบปรามอย่างง่ายดาย และจะเพิ่มความเกลียดชังต่อกัน

ต้องมีชัยชนะทางการเมืองก่อน ดังนั้น ถนนทุกสาย ทุกแกนนำ ทุกความเดือดร้อนต้องพุ่งเป้าไปที่โค่นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ โค่นระบอบนักการเมืองปล้นชาติ ซึ่งเป็นเหตุของระบอบทักษิณ และระบอบเผด็จการรัฐสภา

ภายใต้ระบอบเผด็จการ (นักการเมือง) รัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) ระบบรัฐ (รูปการปกครอง)


ภารกิจและชัยชนะของปวงชนมีเรื่องเดียวเท่านั้น คือ โค่นระบอบเผด็จการ (ไม่ทำลายใคร) โดยร่วมใจกันเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เสนอ แชร์ ผลักดัน สู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นชัยชนะของชาติ เป็นชัยชนะของปวงชนไทยทุกคน และช่วยให้พวกเขาพ้นความเห็นผิดอย่างอุบาทว์-อัปรีย์-จัญไร ทำลายชาติ

หลักคิด “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” “จุดหมาย ต้องมาก่อนวิธีการอันแตกต่างหลากหลายไปสู่จุดหมาย” “หลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) ต้องมาก่อนวิธีการปกครองโดยธรรม (กฎหมายรัฐธรรมนูญ)

หากใครรับรอง เห็นด้วย ก็ร่วมมือกันแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้สำเร็จ ชนะทุกวัน เพราะเป็นการชนะทางใจ ชนะอย่างมีปัญญา และเมตตา เมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติอย่างแท้จริง


หากใครไม่เห็นด้วย ก็ค่อยๆ ศึกษาไป แต่ขอบอกความจริงว่า ทั้งสองแนวทางทั้งกำนันสุเทพ และทักษิณ ปู จตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ใช่แนวทางที่จะแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้ ต่างก็มุ่งที่จะรักษาประโยชน์ของฝ่ายตนเท่านั้น

เราให้ปัญญา เมตตา ขอร้องเป็นครั้งที่ 101 ขอให้กำนัน สุเทพ รีบเร่งเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี่คือชัยชนะของปวงชนอย่างแท้จริง มีเพียงวิธีการเดียวนี้เท่านั้น จึงจะโค่นระบอบเผด็จการลงได้ โค่นระบอบทักษิณ โค่นระบอบเผด็จการรัฐสภา ลงได้อย่างง่ายดาย ประกาศทันที กำนันสุเทพ นำมวลมหาประชาชนชนะใสๆ ทันที สุเทพ ยิ่งใหญ่ทันที

“เมื่อประกาศออกไปแล้ว กองทัพ 99% จะเห็นด้วย ตำรวจ 85% จะเห็นด้วยข้าราชการ 95% จะเห็นด้วย กลุ่มคนที่เคยต่อต้านจะหยุดนิ่ง กลุ่มคนที่เคยวางเฉยจะเข้าร่วม กลุ่มคนที่เข้าร่วมอยู่แล้วจะต่อสู้อย่างฮึกเหิม ประมุขแห่งชาติจักยิ่งใหญ่ นี่คือชัยชนะทางการเมืองของพสกนิกรมวลมหาประชาชน


ประกาศคืนนี้ ท่านกำนันสุเทพ และคณะกรรมการ กปปส. เว้นแต่ท่านไม่มีปัญญาและบุญบารมีเพียงพอ ก็จบเพียงเท่านั้น จักมีผู้อื่นๆ ช่วยกันนำต่อไป จนกว่าโค่นระบอบเผด็จการลงได้

ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เริ่มต้นด้วย หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์เป็นการใส่กระดุมเม็ดแรกที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ชั่วกัลปาวสาน โดยแสดงสัมพันธภาพของการปกครองโดยธรรม ดังนี้

กำลังโหลดความคิดเห็น