xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาชาติในมุมมองประยุทธ์

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ศุกร์ที่ผ่านมาได้ฟังสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร พูดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแล้วรู้สึกฟินจริงๆ ครับ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า

“สิ่งที่เราทำในวันนี้นั้น เราทำเพื่อให้ทุกอย่างกลับไปสู่ภาวะปกติ ทุกคนมีความสุข คืนความสุขให้กับคนในชาติ คนไทยทุกคนดูแลชาวต่างประเทศ ขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เตรียมการไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน แล้วก็ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะมาถึงในเร็ววันนี้

วันนี้เราอาจจะมีทั้งคำชม และมีคำตำหนิ ในส่วนคำชมนั้นผมถือว่าเป็นธรรมดา ก็ต้องมีคนทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งชอบ ไม่ชอบ แต่สิ่งที่ผมจะเอามาเป็นส่วนในการพิจารณาในการดำเนินการขับเคลื่อนสั่งการทั้งหมด ผมจะรับคำตำหนิมาเป็นหลัก แล้วนำมาสู่กระบวนการในการคัดกรองว่าเป็นไปด้วยความเห็นที่เจตนาดีหรือไม่ ถ้าเจตนาดี ผมก็จะนำไปสู่การปฏิบัติ เพราะฉะนั้นธรรมดาต้องมีคำตำหนิ คงจะไม่มีใครชมในขณะที่เราทำงานแบบนี้ แต่เราก็ให้รู้ว่าเราพยายามจะทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยนั้นเข้มแข็งและสมบูรณ์ ทุกพวก ทุกฝ่ายพอใจ”

แต่แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์พร้อมจะรับฟังคำตำหนิ ผมก็ไม่หาญกล้าที่จะตำหนิพล.อ.ประยุทธ์หรอกครับ เพียงแต่ผมติดใจคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ชอบพูดว่า ปัญหาบ้านเมืองสะสมมาแล้ว 9 ปี เราไม่มีความสุขมาแล้ว 9 ปี ผมว่าตรงนี้มีนัยมาก เพราะ 9 ปี ก็คือ 9 ปีที่เริ่มมีขบวนการออกมาไล่ทักษิณที่ปรากฏตัวในนามของ “ปรากฏการณ์สนธิ” จนมาเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กระทั่งทักษิณปลุกมวลชนคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้จนกลายเป็นศึกยืดเยื้อมาจนก่อเกิดมวลมหาประชาชน

ดังนั้น ปัญหาของชาติที่พล.อ.ประยุทธ์มองแค่ย้อนหลังไป 9 ปีจึงมองแค่เรื่องความขัดแย้งของคนในชาติจากที่ประชาชนลุกฮือขับไล่ระบอบทักษิณ แต่ไม่ได้มองไปที่ต้นตอของปัญหา

ในขณะที่ถ้ามองว่าทักษิณคือตัวปัญหาก็ต้องมองย้อนไป 13 ปี ตั้งแต่ที่ทักษิณเข้าสู่การเมืองในปี 2544 แล้วเกิดระบอบทักษิณ สร้างประชานิยม สร้างความระส่ำระสายต่อระบบราชการเมื่อตั้งคนของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจต่อระบบคุณธรรม แสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากนโยบายเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้บริษัทตัวเองและวงศ์วาน ประกาศแบ่งแยกแล้วปกครองว่าจะดูแลจังหวัดที่เลือกตัวเองก่อน ฯลฯ

และผมยิ่งประหลาดใจเมื่อพ.อ.วินธัย สุวารี ทีมโฆษก คสช. แถลงว่า คสช.เตรียมที่จะมีการตรวจสอบ IP Address ของบุคคลที่ใช้นามปากกาว่า เสธ.น้ำเงิน ที่มีการโพสต์ข้อความโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ คสช.เป็นห่วงว่า จะเป็นการสร้างสถานการณ์ทำลายบรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งการทำงานของ คสช.ครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการให้เกิดความเท่าเทียมกัน

สารภาพว่าผมไม่เคยอ่านเสธ.น้ำเงินอะไรนี่หรอกครับ แต่ผมอยากรู้นะครับว่า ความหมายที่โฆษก คสช.แถลงคืออะไร เพื่อจะได้ปรับจูนทัศนคติของตัวเองให้เข้าใจเสียใหม่ว่า คสช.มองปัญหาบ้านเมืองนี้อยู่ตรงจุดไหน การเขียนข้อความโจมตีทักษิณเป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในชาติเช่นนั้นหรือ

ถ้าเป็นอย่างนั้นปัญหาที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมายึดอำนาจไม่ใช่เกิดจากระบอบทักษิณใช่หรือไม่ แต่ท่านมองว่า คนที่ลุกขึ้นมาขัดแย้งต่อสู้กันนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นปัญหา ท่านเลยมองแค่ว่า 9 ปีที่ผ่านมา เป็น 9 ปีที่คนไทยไม่มีความสุข

แสดงว่าท่านมองต่างจากพวกผมที่มองว่ารากเหง้าของปัญหาเกิดจากระบอบทักษิณที่เข้ามาใช้อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอย่างบิดเบือนและยิ่งกว่าเผด็จการ

แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ท่านพร้อมรับฟังคำตำหนิที่มีเจตนาดี ผมก็คงจะต้องพูดถึงทักษิณ แม้โฆษกจะมีคำเตือนไปถึงเสธ.น้ำเงินว่า การวิจารณ์ทักษิณจะเป็นการทำลายบรรยากาศการปรองดองก็ตาม

ล่าสุดนิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์ (Forbes Thailand) ฉบับเดือน มิ.ย. 2557 จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีเมืองไทยประจำปี 2557 ปรากฏว่า ทักษิณมีมูลค่าทรัพย์สิน 53,781 ล้านบาท แม้จะถูกยึดคืนรัฐไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ทักษิณเข้ามาเล่นการเมืองเมื่อปี 2544 เราย้อนไปดูไหมว่า หลังเข้ามาเล่นการเมืองไม่กี่ปีเขาร่ำรวยเพิ่มขึ้นอย่างไร

เมื่อปี 2547 หรือสิบปีมาแล้ว มีการจัดอันดับ 500 เศรษฐีหุ้นไทยของวารสารการเงินธนาคารซึ่งร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในรอบปีนั้นมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ ความร่ำรวยขึ้นของตระกูลชินวัตร โดยตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นถึง 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70 % และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147% โดยในปี 2544 ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท ตัวเลขมูลค่าหุ้นจากปีแรกของรัฐบาลทักษิณ 2544 ถึงปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก พูดกันตามภาษาชาวบ้านก็คือ ตระกูลชินวัตรรวยขึ้นกว่าเดิมเกือบ 3 เท่านั่นเอง

แต่เราจะมองมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นของตระกูลชินวัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปที่ตระกูลดามาพงศ์ด้วย เพราะเป็นกลุ่มที่ตระกูลถือหุ้นโยงกันไปมา ตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน มีมูลค่าหุ้นในปี 2544 จำนวน 6,470 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน

เมื่อรวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143%

ตัวเลขจำนวน 46,810.99 ล้านบาท เป็นมูลค่าหุ้นของตระกูลชินวัตรกับเครือญาติเท่านั้น ยังไม่ได้รวมทรัพย์สินอื่นๆ รวมถึงเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคาร นี่ต่างหากเป็นที่เริ่มกันตั้งคำถามเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อนและทุจริตเชิงนโยบายในช่วงนั้น จนประชาชนพร้อมใจกันออกมาขับไล่ แล้วทหารรุ่นพี่ของพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาทำการรัฐประหารในปี 2549 แต่รัฐประหารของรุ่นพี่ท่านก็ล้มเหลว และปรากฏต่อมาว่า กลายเป็นการเกี๊ยะเซี๊ยะกับระบอบทักษิณตัดตอนไม่ให้ระบอบทักษิณถูกโค่นล้มด้วยพลังของประชาชน ตั้งคนที่ทำงานไม่เป็นเข้ามาทำงานจนเกิดความเสียหายยิ่งกว่า

ตอนนี้ประชาชนจำนวนมากรวมถึงผมก็ยังคงฝากความหวังไว้กับพล.อ.ประยุทธ์ว่าจะนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตได้ไม่ซ้ำรอยคณะรัฐประหารรุ่นพี่ แต่ก็เริ่มหวั่นใจกับโจทย์ของพล.อ.ประยุทธ์ที่มองเพียงว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นปัญหาแทนที่จะมองว่าระบอบทักษิณต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหาที่นำพาสังคมไทยมาถึงวันนี้

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์พยายามกระทำต่อมวลชนฝ่ายต่างๆ ด้วยความนิ่มนวล และให้ดูเหมือนไม่ได้เลือกปฏิบัติ แต่ท่านต้องเข้าใจสิครับว่า ปัญหาของบ้านเมืองนั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาเพียง 9 ปีที่เริ่มมีมวลชนออกมาลุกฮือขับไล่ระบอบทักษิณ แต่มันเกิดขึ้นตั้งแต่ทักษิณเข้าสู่อำนาจแล้ว

นี่ไม่ใช่คำตำหนินะครับ เว้นแต่ท่านจะมองว่า ระบอบทักษิณและทักษิณไม่ใช่ปัญหาของชาติบ้านเมือง แต่มองว่าประชาชนทั้งสองฝ่ายต่างเป็นปัญหาพอๆ กัน
กำลังโหลดความคิดเห็น