ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้จะมีการปล่อยข่าวผ่านหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ว่าเนื่องจากเพิ่งรู้ข่าวว่ากำลังจะได้ “หลานตา” เพราะนางพิณทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ “น้องเอม” บุตรสาวคนที่ 2 ซึ่งแต่งงานกับสามีนักธุรกิจหนุ่ม “พงศ์-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” กำลังตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน ทำให้ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชั่น ซึ่งหนีไปกบดานถึงดูไบ อิ่มเอมใจจนรู้สึกสงบนิ่ง ไม่คิดจะเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ให้เป็นที่ลำบากใจแก่ คสช. แต่ในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เหตุที่อดีตนายกฯผู้มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างทักษิณจำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ลุกมาป่าวร้องปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาเคลื่อนไหวใช้ความรุนแรงเพื่อทวงคืนอำนาจให้แก่ระบอบทักษิณเหมือนที่ผ่านมา ก็เพราะว่าขณะนี้เครือข่ายระบอบทักษิณถูกกองทัพ 'ไล่บี้' ตัดแข้งตัดขา อยู่ในขั้นอัมพาตกระดุกกระดิกอะไรไม่ได้
และดูเหมือนขณะนี้ลมหายใจของ “ระบอบทักษิณ” จะรวยรินใกล้ดับลงเต็มที เนื่องเพราะตั้งแต่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่นำโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะ คสช.ประกาศรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทย ก็ปฏิบัติการรุกไล่กวาดล้างระบอบทักษิณจนเกือบสิ้นซาก ตั้งแต่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมกวาดล้างขบวนการใต้ดินที่ซ่องสุมอาวุธสงครามและเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ สยบมวลชนแดงฮาร์ดคอร์ด้วยการใช้ตัวบทกฎหมายจัดการอย่างจริงจัง กระทั่งคนพวกนี้ไม่กล้าออกมาอาระวาดสร้างความวุ่นวายหรือจุดไฟเผาบ้านเผาเมืองเหมือนปี 2553 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน คสช.ก็ปฏิบัติการบล็อกตัวบรรดาแกนนำในระบอบทักษิณ ทั้งที่เป็นนักการเมือง นักวิชาการ และแกนนำฮาร์ดคอร์ โดยเรียกมาพูดคุยทำความเข้าใจ และส่งสัญญาณให้ 'หยุด' !! นอกจากนั้นยังมีการสกัด 'ท่อน้ำเลี้ยง' ที่ส่งส่วยหล่อเลี้ยงระบอบทักษิณเสียจนเหือดแห้งเกือบหมด ติดอยู่เพียงบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่ 'คนดูไบ' ถือหุ้นผ่านนอมินีและมีอิทธิพบครอบงำอยู่เท่านั้น
ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในชาติตะวันตก แค่ปั้นข่าวสร้างราคา
เมื่อถูกตัดแขนตัดขาจนง่อยเปลี้ยเสียขนาดนี้ สิ่งเดียวที่คนดูไบ ซึ่งมีคติประจำใจว่า 'แพ้ไม่เป็น' จะทำได้ก็คือการส่งล็อบบี้ยิสต์ไปเจรจาเพื่อยืมมือประเทศมหาอำนาจเข้ามาจัดการกับ คสช.ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นชาติตะวันตก อย่างสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รวมทั้งกลุ่มสหภาพยุโรป ปฏิบัติการเล่นงานประเทศไทยในสารพัดรูปแบบ อาทิ นายฮัก เซเกล รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ออกมาส่งสัญญาณโจมตีการทำงานของคณะรัฐประหาร ด้วยการเรียกร้องให้ คสช.รีบจัดการเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนคนไทยโดยเร็วที่สุด การที่สหรัฐฯและออสเตรเลียลดความสัมพันธ์กับไทยโดยการยกเลิกการส่งหน่วยทหารมาร่วมซ้อมรบกับกองทัพไทย ขณะที่สหภาพยุโรปก็มีท่าทีไปในทิศทางเดียวกัน (อ่านรายละเอียดได้ใน “ เมื่อมูดีส์-ยูเอสเอทูเดย์ กระแทกหน้าไอ้กัน รัฐประหารไทยไม่เลวร้าย”)
นอกจากนั้น “คนดูไบ” ยังสั่งการให้ลิ่วล้อคู่ใจอย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อปี 2552 และปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่กัมพูชา ลุกขึ้นมาตีปี๊บสร้างข่าวปั่นราคาด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อในกัมพูชาว่า พลพรรคในระบอบทักษิณจะใช้แผ่นดินชาติตะวันตกจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์กัมพูชาเดลีได้ลงบทความของ จักรภพ อดีตโฆษกรัฐบาลของ นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังทำหน้าที่แกนนำของกลุ่มเสื้อแดงในการเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อกัมพูชาที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในกรุงพนมเปญ ว่า
“ ในเร็วๆ นี้จะมีการประกาศเรื่องการจัดตั้งองค์กรพลัดถิ่นที่มีเป้าหมายต่อต้านรัฐบาลทหารของไทย ภายหลังการก่อรัฐประหารโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ที่ถูกรัฐประหารเช่นกันเมื่อปี 2549 เป้าหมายหลักของการจัดตั้งองค์กรนี้คือเพื่อพิสูจน์ว่ารัฐบาลทหารชุดใหม่ของไทยไม่ชอบด้วยกฎหมาย, ไม่เป็นประชาธิปไตย และทำลายประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศอย่างยิ่งยวด กิจกรรมขององค์กรจะมีตั้งแต่การประสานงานระดับการเมืองและการทูต ไปจนถึงระดับกลุ่มท้องถิ่น โดยองค์กรนี้จะตั้งขึ้นในประเทศตะวันตกประเทศหนึ่ง ด้วยเหตุผลทางการทูต และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นต่อไปด้วย สำหรับพวกเรา รัฐบาลพลัดถิ่นถือเป็นกระบวนการปกติ หากองค์กรได้รับการตอบรับจากนานาประเทศด้วยดี การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแบบนี้แทบจะเป็นเรื่องอัตโนมัติ
ขณะนี้ได้มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่หลายคนจากประเทศตะวันตกจำนวนหนึ่งแล้ว เราติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายชาติ แต่ด้วยความเคารพต่อพวกเขา เราไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ การตอบรับโดยทั่วไปถือว่าดีมาก ดูเหมือนว่าประเทศหรือรัฐบาลประชาธิปไตยเกือบทั้งหมดสลดใจกับการยึดอำนาจของกองทัพ โดยผมเองจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการขององค์กรที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อนี้ และอดีตนายกฯ ทักษิณจะไม่มีบทบาทโดยตรงหรือรับตำแหน่งใดๆ อย่างเป็นทางการในองค์กรพลัดถิ่น ซึ่งนับได้ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณคือพันธมิตรผู้หนึ่งในการดำเนินตามระบอบประชาธิปไตยในไทย ” นายจักภพ กล่าวกับผู้สื่อข่าวกัมพูชา
อย่างไรก็ดี งานนี้ผู้สันทัดกรณีชี้ว่าเป็นแค่การสร้างข่าวขายฝันแต่ไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนายจักรภพนั้นมีขึ้นภายหลังจากที่ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อนรักเก่าแก่ของ นช.ทักษิณ ประกาศชัดเจนว่าเขาจะไม่ยอมให้อดีตนายกฯ ไทยหรือผู้สนับสนุนใช้กัมพูชาเป็นฐานในการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น รายงานข่าวระบุว่า นายกฯ ฮุน เซน ได้แนะนำให้เพื่อนรักทักษิณรอไปอีก 2 ปี หรือรอให้ถึงเวลาที่รัฐบาลทหารไทยจะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งท่าทีที่ชัดเจนของสมเด็จฮุน เซน อาจทำให้ นช.ทักษิณเสียหน้าว่าแม้แต่มหามิตรอย่างกัมพูชายังตัดไมตรีอย่างไม่มีเยื่อใย ทักษิณจึงต้องหาทางกู้ชื่อสร้างเครดิตว่าตนเองยังมีฐานอำนาจที่สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ตามที่เคยโม้เอาไว้ด้วยการให้นายจักรภพออกมาปั้นเรื่องสร้างข่าว
นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทย มากความสามารถ เคยเป็นทูตประจำประเทศต่างๆมาถึง5 ประเทศ ได้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ แนวคิดในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของเครือข่ายระบอบทักษิณนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการที่ชาติตะวันตกซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ อเมริกา หรือประเทศในสหภาพยุโรป จะอนุญาตให้คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมาใช้ประเทศของตนเองในการจัดตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นนั้นมันต้องมีคำอธิบายและมีเหตุผลเพียงพอที่เขาจะสามารถชี้แจงทั้งต่อประชาชนของเขาและต่อนานาประเทศได้ ถ้าเขาอนุญาตให้คนของระบอบทักษิณไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นในประเทศของเขาก็แสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับคุณทักษิณซึ่งเป็นบุคคลเพียงคนเดียวมากกว่าให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีกับไทย ซึ่งแต่ละประเทศก็มีความสัมพันธ์กับไทยมานานนับร้อยปี ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเอาประเทศเขามาเสี่ยง”
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า
“ การที่คุณทักษิณจะจัดตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นในประเทศแถบตะวันตกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสังคมโลกอาจจะไม่ยอมรับ แม้เราจะเห็นท่าทีของสหรัฐฯและออสเตรเลียที่รุมประณาม คสช.ที่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการเพื่อไทย แต่ก็ไม่ได้ความว่าเขาจะให้เครือข่ายทักษิณเข้าไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น ประเทศเหล่านี้เขาแค่ออกมาโจมตี คสช. เพราะเขาสูญเสียประโยชน์ที่เคยได้รับจากรัฐบาลในเครือข่ายระบอบทักษิณ โดยเฉพาะในกิจการพลังงาน สหรัฐฯเขาอยากได้น้ำมันที่อยู่ระหว่างอ่าวไทยกับกัมพูชา ถ้าเครือข่ายทักษิณเป็นรัฐบาลมันคุยกันง่าย พวกนี้ยกให้หมด”
เสื้อแดงใช้ “แฟลชม็อบ” แก้เกมทหาร
ส่วนปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวของบรรดามวลชนคนเสื้อแดงก็อ่อนแรงลงไปมาก ไม่กล้าออกมา “รับจ็อบ” เคลื่อนไหวในลักษณะถ่อยเถื่อนเพื่อยั่วยุทหารและจุดกระแสสร้างประเด็นให้เป็นข่าวเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากทางกองทัพเลือกที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการอย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้จากการดำเนินการจับกุมผู้ชุมนุมที่ทำร้ายทหาร และทำลายทรัพย์สินของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะยาง หรือการพ่นสีรถถัง โดยนำตัวขึ้นศาลทหารแบบไม่อ่อนข้อให้มีการอุทธรณ์-ฎีกา ทำให้พวกนี้หายซ่าไปเยอะ นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารยังหลีกเลี่ยงการปะทะ ไม่เข้าชาร์ตจับกุมท่ามกลางฝูงชน เพราะรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นจะเข้าทางคนเสื้อแดงที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดภาพความรุนแรงว่าทหารทำร้ายประชาชน จะได้ให้สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศมาทำข่าวให้กองทัพไทยเสียหายและอับอายไปทั่วโลก แต่เจ้าหน้าที่ทหารเลือกที่จะใช้วิธี “ตามประกบ” ผู้ก่อเหตุ กระทั่งคนเหล่านี้ผละออกจากกลุ่มมวลชนจึงจะดำเนินการจับกุม ชนิดที่เรียกว่าถ้าจำเป็นต้องตามไปถึงบ้าน ทหารก็ตามไปจับกันถึงหัวบันไดเลยทีเดียว เมื่อเจอไม้นี้เข้าบรรดาแดงรับจ็อบจึงถึงกับขยับไม่ได้ไปไม่เป็น ต้องมานั่งสุมหัววางกลยุทธ์กันใหม่แทบไม่ทัน
ล่าสุดเหล่าเสื้อแดงผู้เจนจัดในเวทีอีเวนท์ก็ผุดไอเดียในการแก้ “เกมแมวจับหนู” ของพี่ๆทหาร ด้วยปฏิบัติการ 'แฟลชม็อบ' โดยใช้วิถีส่งคนออกไปเคลื่อนไหวแสดงสัญลักษณ์ในแต่ละจุดเพียงไม่กี่คน ที่สำคัญต้องเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว แบบที่เรียกว่าแสดงสัญลักษณ์เสร็จปุ๊บ ก็เผ่นปั๊บ ไม่รอให้พี่ทหารประกบจับเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งสัญลักษณ์ที่ว่าก็มีทั้ง ชูป้ายข้อความโจมตี คสช. , พ่นข้อความต่อต้านทหาร , ชู 3 นิ้ว ต้านรัฐประหาร , มอบดอกไม้ให้กำลังใจแก่กลุ่มที่เจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศที่บอยคอตคณะทำงาน คสช. ของไทย ดังเช่นปฏิบัติการของคนเสื้อแดงที่สถานทูตออสเตรเลีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือการเคลื่อนไหนของกลุ่มประชาชนต่อต้านรัฐประหาร ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งอ้างว่าเป็นพลังเงียบ โดยออกมาชูป้ายข้อความการต่อต้านทหารตามจุดต่างๆ แล้วรีบหลบหนีก่อนที่ทหารจะพบเห็น มีการพ่นสเปรย์ข้อความบนท้องถนนว่า No Coup , ปล้นประชาธิปไตย และแฟลชม็อบ เพื่อแสดงความไม่พอใจ คสช. โดยไม่ทราบตัวผู้กระทำ สำหรับจุดที่นัดหมายเพื่อใช้ปฏิบัติการแสดงสัญลักษณ์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นจุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น หน้าห้างสรรพสินค้า หน้าหอศิลป์
บก.ลายจุด ได้โอกาสโชว์พาวฯ
นอกจากนั้นในส่วนของบรรดา 'แกนนำตัวจี๊ด' ที่รอดตัวเพราะหนีไปกบดานในต่างประเทศได้ทัน ก็พากันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงผลงาน ไม่ว่าจะเป็น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีต รมว.มหาดไทย ซึ่งรายงานข่าวฝ่ายความมั่นคงระบุว่าได้หลบหนีการเข้ารายงานตัวต่อ คสช. ตามประกาศคำสั่ง ไปกบดานอยู่กับเพื่อนนักธุรกิจในประเทศลาว ซึ่งได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโจมตีการทำงานของ คสช. โดยเขาโพสต์ภาพกระดาษซึ่งเขียนข้อความด้วยลายมือ ลงวันที่ 2 มิ.ย.ว่า “ เรียนสมาชิกพรรคเพื่อไทย ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. จากการที่ คสช.ได้ทำรัฐประหารนำประเทศเข้าสู่ยุคมืด เป็นรัฐทหารจนถูกประณามและต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและสังคมโลก ผมขอยืนยันไม่ยอมรับอำนาจที่มิได้มาจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย และยังถือว่าพรรคเพื่อไทยดำรงอยู่โดยชอบธรรม”
ขณะที่ นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายผู้รับใช้ระบอบทักษิณ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ นั้นนอกจากจะโพสต์เฟซบุ๊กโจมตีคัดค้านการรัฐประหารของ คสช.อยู่เป็นระยะแล้ว เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา เขายังแสดงศักยภาพจัดอีเวนท์สร้างกระแสโจมตีการรัฐประหารของ คสช. โดยจัดเสวนาในหัวข้อ"รัฐประหารและจากนี้ไป : วิกฤติการเมืองไทย" ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในลอนดอน และเชิญคนไทย รวมทั้งผู้ที่สนใจไปร่วมรับฟัง
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าแกนนำที่ฮอตฮิตติดอันดับขวัญใจมวลชนคนเสื้อแดงที่สุดในตอนนี้คงเป็นใครไม่ได้นอกจาก นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ที่มีลีลากวนโอ้ยแบบสุดติ่ง เพราะตอนนี้ดูจะเหลือเขาเพียงคนเดียวที่สามารถเคลื่อนไหวระดมพลในเครือข่ายเสื้อแดงเน็ตเวิร์กได้ โดย บก.ลายจุดใช้เฟซบุ๊กเป็นสื่อกลาง ซึ่งฝ่ายกองทัพเชื่อว่าที่เขากล้าเคลื่อนไหวในขณะที่ คสช. มีมาตรการด้านความมั่นคงที่เข้มงวด ก็เพราะตัวนายสมบัติไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างที่เขากล่าวอ้างกับคนเสื้อแดง ทั้งนี้แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงระบุว่าขณะนี้นายสมบัติได้หนีไปกบดานที่ประเทศมาเลเซีย โดยไปอาศัยอยู่กับนักธุรกิจด้านพลังงานที่มีความสัมพันธ์กับ ทักษิณ ชินวัตร
และเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสมบัติ ก็ได้ปฏิบัติการระดมพลเคลื่อนไหว โดยโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว สมบัติ บุญงามอนงค์ ให้เครือข่ายเสื้อแดงเข้าร่วมกิจกรรม “3นิ้ว 3เวลา” โดยในแต่ละวันให้ออกมา “ชู 3 นิ้ว ต้านรัฐประหาร” 3 เวลา คือ 09.00 น. 13.00 น. 17.00 น. เพื่อจุดกระแสให้การชูนิ้วทั้งสามกลายเป็นสัญลักษณ์การเรียกร้องสิทธิพื้นฐานทางการเมืองในประเทศ ที่ปกครองโดยคนเพียงคนเดียวที่มีอำนาจสูงสุดเป็นดั่ง รัฏฐาธิปัตย์ นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทั้งระบุว่า กิจกรรม “3นิ้ว 3เวลา” จะเป็นกิจกรรมต่อต้านแบบจรยุทธ์ คือ เล็กและเคลื่อนไหวเร็ว , ไม่ต้องมีอุปกรณ์ เพียงยืนชูนิ้วทั้ง 3 ด้วยมือขวา นิ่งไว้ 30 วินาที , ทำพร้อมกันทั่วประเทศ โดยเลือกสถานที่ๆน่าสนใจ เช่น สถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ป้ายรถเมล์ สี่แยกไฟแดง วินมอเตอร์ไซต์รับจ้างใกล้บ้าน แต่ต้องมั่นใจว่าปลอดภัย ไม่มีตำรวจ หรือทหารอยู่แถวนั้น
นอกจากนั้นในวันเดียวกัน นายสมบัติยังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ให้ผู้ชุมนุมไปพบกันที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล21” เพื่อร่วมกันจัดปาร์ตี้หน้ากากต้านรัฐประหาร แต่เมื่อถึงเวลาเจ้าตัวกลับไม่มา แต่ได้โพสต์เฟสบุ้คส่วนตัวอ้างถึงความไม่ปลอดภัย โดยเขาได้โพสต์คลิปวิดีโอที่อ้างว่าได้บันทึกเหตุการณ์ที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ จำนวน 2 นาย จับตัว น.ส.ไพริน พ่วงศิริ หนึ่งในคนเสื้อแดงขณะที่กำลังชู 3 นิ้วเพื่อต้านรัฐประหาร ขึ้นรถแท็กซี่ไป และขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กในลักษณะดังกล่าวนั้นกลับกลายเป็นประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้แกนนำแดงฮาร์ดคอร์บางคน ซึ่งมองว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของแกนนำเหล่านี้ที่ส่งสัญญาณให้มวลชนเสื้อแดงออกมาเสี่ยงในขณะที่ตัวเองหลบอยู่ในเงามืด โดย 'นายพฤกษ์ พฤกษ์สุนันท์' หรือลุงยิ้ม ตาสว่าง แกนนำคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ ซึ่งถูกคำสั่ง คสช.ให้เข้ารายงานตัวเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ “ลุงยิ้ม ตาสว่าง” โจมตีกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกัน โดยระบุว่า มีแกนนำบางคนเอาแต่หลบซ่อนตัว แต่ประกาศเชิญชวนมวลชนเสื้อแดงออกมาชุมนุมจนถูกจับ ถือเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ
กล่าวได้ว่า ณ วันนี้ เครือข่ายระบอบทักษิณได้เดินมาถึงทางตัน แม้บางส่วนจะสามารถขยับเคลื่อนไหวได้แต่ก็เป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้น้ำหนัก ไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือแรงกระเพื่อมใดๆได้ ดังนั้นหนทางเดียวที่ชายชื่อ 'ทักษิณ ชินวัตร' ควรเลือกเดินมากที่สุดก็คือ เดินเข้าไปยืนนิ่งๆอยู่ในมุมที่ยังพอมีที่ว่าง พร้อมทั้ง “ยกธงขาว” ยอมแพ้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป