ASTV ผู้จัดการรายวัน – ค่ายรถ “เอ็มจี” เชื่อมั่นและเข้าใจสถานการณ์ในไทย เปิดไลน์ผลิตรถรุ่นแรก “เอ็มจี6” ส่งบุกตลาดเป็นทางการ 19 มิ.ย.นี้ เผยเล็งขยายลงทุนเฟส2 ตั้งโรงงานใหม่บนพื้นที่ 500 ไร่ ภายใน 5 ปี เพิ่มกำลังผลิตสูงสุดอีก 2 แสนคัน และรองรับโครงการใหม่อีโคคาร์-ปิกอัพ ตลอดจนดันไทยฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวา รวมมูลค่าลงทุนใหม่ 3-4 หมื่นล้านบาท
นายหวู่ ฮวน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด (SAIC-CP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซียงไฮ้ ออโตโมบิล อินดัสเทรียล คอร์ปอเรชัน ประเทศจีน (SIAC) กับเครือเจริญโภคภัณฑ์(CP) เพื่อผลิตและจำหน่ายรถนต์เอ็มจี (MG) ในประเทศไทย เปิดเผยว่า โรงงานเอ็มจีในไทยขณะนี้มีความพร้อมผลิตรถสู่ตลาดแล้ว หลังจากได้มีการลงทุนไปกว่า 9,000 ล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา โดยได้ผลิตรถยนต์รุ่นแรก “เอ็มจี6” ออกจากสายหรือไลน์การผลิตโรงงานในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว
“โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตทั้งหมด 50,000 คัน โดยสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งเราค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ของไทย และเห็นเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศจะมีทั้งช่วงเดินหน้าและชะลอ แต่บริษัทมองการลงทุนครั้งนี้ในระยะยาว และเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทย ดังนั้นจึงวางแผนที่ขยายการลงทุนเฟส 2 ในไทยต่อไปอีก บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อเพิ่มการผลิต 150,000 – 200,000 คันต่อปี ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า”
ทั้งนี้ประเทศไทยนับเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาที่สำคัญของเอ็มจี จากปัจจุบันที่มีผลิตในประเทศอังกฤษและจีนบางส่วน แต่หากไทยมีความพร้อมในการผลิตเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานการผลิตและคุณภาพ ซึ่งเอสเอไอซีพร้อมที่จะโยกการผลิตรถพวงมาลัยขวาของเอ็มจี จากจีนมายังประเทศไทยเป็นแห่งแรก
นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมเครือซีพี เปิดเผยว่า การเปิดสายการผลิตรถยนต์เอ็มจี 6 รุ่นแรกในไทย ถือเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น เพราะมีการผลิตรถยนต์อื่นๆ ตามมาต่อเนื่อง เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกในภูมิภาคนี้ รวมถึงการขยายการผลิตในระยะต่อไปด้วย
“ตามแผนงานเฟส2 เพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่กว่า 500 ไร่ และจะมีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 -200,000 แสนคันต่อปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,0000 -40,000 ล้านบาท แต่จะเป็นการทยอยลงทุนต่อเนื่อง เพื่อทำการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยจะมีโครงการผลิตอีโคคาร์ที่เพิ่งยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนไป และยังมีการผลิตปิกอัพเพิ่มมาอีกโครงการ เพราะทางเอสเอไอซีมองว่าปิกอัพในไทยเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แม้ในจีนเอสเอไอซีจะไม่มีการผลิตปิกอัพก็ตาม”
นายฮวนเปิดเผยว่า สำหรับการผลิตรถยนต์เอ็มจี6 ในไทย เบื้องต้นจนถึงสิ้นปีนี้จะผลิตประมาณ 2,000 คัน เพื่อรองรับตลาดในประเทศ และในปีหน้าจะมีการเพิ่มการผลิตเป็น 14,000 คัน ซึ่งรวมถึงการผลิตรถยนต์เอ็มจี3 และเอ็มจี5 พร้อมกับเริ่มส่งออกรถยนต์จากไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ โดยน่าจะเริ่มที่มาเลเซียก่อน และจากนั้นจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงในภูมิภาคอื่นที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของเอ็มจี
ในส่วนของรถยนต์เอ็มจี6 เป็นรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต์ทั้งแบบซีดานและแฮทช์แบ็ก ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 161 แรงม้า การควบคุมรถอย่างแม่นยำ ระบบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับยี่ และการออกแบบอันโดดเด่นสไตล์รถสปอร์ตแบบอังกฤษ ซึ่งเอ็มจีเป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มีมายาวนานถึง 90 ปี หรือตั้งแต่ปี 1924 โดยปัจจุบันยังคงออกแบบและพัฒนาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แม้เอสเอไอซีจะซื้อแบรนด์มาแล้วก็ตาม ดังนั้นเอ็มจี6 จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะตอบสนองความต้องการและหวังว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทย หลังจากแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ วันที่ 19 มิถุนายนนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ 15 แห่งในปัจจุบัน และจะเพิ่มเป็น 30 แห่งในสิ้นปีนี้
นายหวู่ ฮวน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด (SAIC-CP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท เซียงไฮ้ ออโตโมบิล อินดัสเทรียล คอร์ปอเรชัน ประเทศจีน (SIAC) กับเครือเจริญโภคภัณฑ์(CP) เพื่อผลิตและจำหน่ายรถนต์เอ็มจี (MG) ในประเทศไทย เปิดเผยว่า โรงงานเอ็มจีในไทยขณะนี้มีความพร้อมผลิตรถสู่ตลาดแล้ว หลังจากได้มีการลงทุนไปกว่า 9,000 ล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา โดยได้ผลิตรถยนต์รุ่นแรก “เอ็มจี6” ออกจากสายหรือไลน์การผลิตโรงงานในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว
“โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตทั้งหมด 50,000 คัน โดยสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งเราค่อนข้างเข้าใจสถานการณ์ของไทย และเห็นเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศจะมีทั้งช่วงเดินหน้าและชะลอ แต่บริษัทมองการลงทุนครั้งนี้ในระยะยาว และเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทย ดังนั้นจึงวางแผนที่ขยายการลงทุนเฟส 2 ในไทยต่อไปอีก บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อเพิ่มการผลิต 150,000 – 200,000 คันต่อปี ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า”
ทั้งนี้ประเทศไทยนับเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาที่สำคัญของเอ็มจี จากปัจจุบันที่มีผลิตในประเทศอังกฤษและจีนบางส่วน แต่หากไทยมีความพร้อมในการผลิตเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานการผลิตและคุณภาพ ซึ่งเอสเอไอซีพร้อมที่จะโยกการผลิตรถพวงมาลัยขวาของเอ็มจี จากจีนมายังประเทศไทยเป็นแห่งแรก
นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมเครือซีพี เปิดเผยว่า การเปิดสายการผลิตรถยนต์เอ็มจี 6 รุ่นแรกในไทย ถือเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น เพราะมีการผลิตรถยนต์อื่นๆ ตามมาต่อเนื่อง เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกในภูมิภาคนี้ รวมถึงการขยายการผลิตในระยะต่อไปด้วย
“ตามแผนงานเฟส2 เพื่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่กว่า 500 ไร่ และจะมีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 -200,000 แสนคันต่อปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,0000 -40,000 ล้านบาท แต่จะเป็นการทยอยลงทุนต่อเนื่อง เพื่อทำการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยจะมีโครงการผลิตอีโคคาร์ที่เพิ่งยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนไป และยังมีการผลิตปิกอัพเพิ่มมาอีกโครงการ เพราะทางเอสเอไอซีมองว่าปิกอัพในไทยเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แม้ในจีนเอสเอไอซีจะไม่มีการผลิตปิกอัพก็ตาม”
นายฮวนเปิดเผยว่า สำหรับการผลิตรถยนต์เอ็มจี6 ในไทย เบื้องต้นจนถึงสิ้นปีนี้จะผลิตประมาณ 2,000 คัน เพื่อรองรับตลาดในประเทศ และในปีหน้าจะมีการเพิ่มการผลิตเป็น 14,000 คัน ซึ่งรวมถึงการผลิตรถยนต์เอ็มจี3 และเอ็มจี5 พร้อมกับเริ่มส่งออกรถยนต์จากไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ โดยน่าจะเริ่มที่มาเลเซียก่อน และจากนั้นจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงในภูมิภาคอื่นที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของเอ็มจี
ในส่วนของรถยนต์เอ็มจี6 เป็นรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต์ทั้งแบบซีดานและแฮทช์แบ็ก ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 161 แรงม้า การควบคุมรถอย่างแม่นยำ ระบบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับยี่ และการออกแบบอันโดดเด่นสไตล์รถสปอร์ตแบบอังกฤษ ซึ่งเอ็มจีเป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มีมายาวนานถึง 90 ปี หรือตั้งแต่ปี 1924 โดยปัจจุบันยังคงออกแบบและพัฒนาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แม้เอสเอไอซีจะซื้อแบรนด์มาแล้วก็ตาม ดังนั้นเอ็มจี6 จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะตอบสนองความต้องการและหวังว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทย หลังจากแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ วันที่ 19 มิถุนายนนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ 15 แห่งในปัจจุบัน และจะเพิ่มเป็น 30 แห่งในสิ้นปีนี้
