**การบริหารประเทศภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเป็นผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไว้ในมือ เป็นเรื่องที่น่าจับตายิ่ง
แม้ว่ากระแสสังคมโดยรวมจะสนับสนุนการทำงานของ คสช. โดยหวังว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยาวนานมากว่าสิบปีได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด รวมถึงกวาดล้างคนชั่วออกจากอำนาจได้อย่างหมดจด
**เมื่อดูท่วงทำนองการขับเคลื่อนประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.แล้ว จะพบว่ามีหลายอย่างที่ยังต้องตั้งคำถาม
แม้ว่าจะมีภาพที่โดดเด่นเกี่ยวกับการปราบปรามอาวุธสงคราม ตบหัวพวกฮาร์ดคอร์ให้สาธารณชนเห็น ผ่านการออกคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวต่อ คสช. ไปจนถึงการดำเนินคดีอย่างจริงจังกับคนที่ขัดคำสั่งอย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง ที่วันนี้อับแสงอยู่ในเรือนจำ
ภายใต้ภาพที่ดูเหมือนเอาจริงเอาจังกับคนที่ก่อความไม่สงบอย่างเด็ดขาด ยังมีภาพซ้อนที่ปรากฏให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอยู่ เช่น คสช.สามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในการปิดเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงเว็บไซต์การเมือง ที่ไม่ใช่ของคนเสื้อแดง แต่เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความเห็นของกลุ่มคนที่มีความเข้าใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง รังเกียจระบอบทักษิณ แต่ คสช. กลับไม่มีปัญญาปิดเพจ "สมบัติ บุญงามอนงค์" หรือ บก.ลายจุด ที่ใช้โซเชียลมีเดีย นัดแนะให้กลุ่มต้านรัฐประหารออกมาชุมนุมชูสามนิ้ว ต่อต้านคสช.ได้
ทั้งที่วงในรับทราบกันดีว่า ตอนนี้ คสช.ได้ติดตั้งเครื่องมือที่เกทเวย์ สามารถปิดเพจที่ไม่พึงประสงค์ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น แล้วทำไมจึงไม่จัดการกับเพจที่จงใจสร้างความวุ่นวายในสังคม แต่กลับปล่อยให้โพสต์ข้อความสร้างกระแสได้อย่างเสรี แม้ว่าจะไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดแรงต้านหลักพัน มีเต็มที่ก็แค่หลักร้อย แต่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าดูแลแบบ “ขี้ช้างจับตั๊กแตน” จนยิ่งกลายเป็นภาพลบต่อประเทศไทย ว่าปกครองโดยทหาร จนประชาชนถูกจำกัดเสรีภาพ ซึ่งมิได้เป็นผลดีใดๆ ต่อทั้งคสช. และประเทศชาติ และยังกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ต่างชาติหยิบยกไปขยายผล กดดันประเทศไทยด้วย
จึงมีคำถามว่า คสช. ปล่อยให้ บก.ลายจุด ลอยนวลทั้งบนเฟซบุ๊ก และในชีวิตจริงได้อย่างไร ทั้งที่อย่างน้อยสิ่งแรกที่ต้องทำทันที คือจัดการกับ บก.ลายจุด ในโลกออนไลน์ ซึ่งจะทำให้คนๆ นี้หมดความหมาย ไม่สามารถก่อกระแสปั่นป่วนสร้างความวุ่นวายได้อีก
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีความเคลื่อนไหวปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง กลับไม่ได้รับความสนใจใดๆ จาก คสช. อย่างน่าประหลาดใจ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คสช. ตั้งใจที่จะปราบปรามคนในระบอบทักษิณให้สิ้นซาก จริงหรือไม่
**คสช.ไม่เคยพูดถึงสถานะของนักโทษหนีดคีทักษิณ ว่ามีนโยบายจะดำเนินการอย่างไร
**คสช.ไม่เคยพูดถึงความเลวระยำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าได้สร้างความฉิบหายให้กับบ้านเมืองอย่างไร
คสช. อาจจะทำดีในเรื่องการชำระหนี้จำนำข้าวให้ชาวนา แต่กลับไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่สาธารณะควรทราบเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากโครงการนี้ ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ทันที ด้วยการสั่งให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวออกมาเปิดเผยผลสรุปอย่างเป็นทางการ แทนที่จะเป็นรายงานข่าวอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เพียงวันเดียว แล้วเงียบหายไป ว่าขาดทุนกว่าห้าแสนล้าน ข้าวสารหายเกือบสามล้านตัน
**ในขณะที่ คสช.ไม่เคยพูดถึงความเสียหายจากโครงการนี้ แต่มุ่งที่จะเอาภาพความสุขของชาวนา ที่ได้รับเงินจาก คสช. มาเผยแพร่เรียกคะแนนนิยมให้ตัวเองแทน
หรือแม้แต่เรื่องที่คนจำนวนมากกำลังลุ้นคือ การโละบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นเรื่องแรกๆ ที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าคณะเศรษฐกิจ ออกมาประกาศเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็มิใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เนื่องจากการรัฐประหารทุกครั้ง ก็จะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ด้วยกันทั้งสิ้น
หากต้องการปฏิรูปเพื่อให้บอร์ดรัฐวิสาหกิจไม่ถูกรุมทึ้งจริง การแก้ปัญหาต้องไม่มุ่งเพียงแค่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องการวางระบบที่จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน จนข้าราชการไม่คิดที่จะรักษาประโยชน์ให้ชาติ คิดแต่จะปกป้องผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจที่ตัวเองดูดท่อน้ำเลี้ยงอยู่เท่านั้น
สิ่งที่ พล.อ.อ.ประจิน ควรจะพิจารณา คือ อัยการซึ่งเป็นทนายแผ่นดินสมควรที่จะไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือไม่ เพราะมีบทพิสูจน์มาแล้วว่า เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจนกระทบต่อคดีทุจริต เพราะอัยการที่ไปมีผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่ยอมสั่งฟ้อง เนื่องจากตัวเองเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ด้วย ทำให้กระบวนการยุติธรรมตั้งต้นมีปัญหา
จะทำอย่างไรไม่ให้ข้าราชการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจ จนไม่คิดปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ควรจะเลิกให้ข้าราชการไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือไม่ หรือถ้ามีหน่วยงานใดจำเป็นต้องไป ควรที่จะมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า จะไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จากรัฐวิสาหกิจดังกล่าว เพราะถือเป็นหน้าที่ในงานราชการ จะลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่ เพราะบรรดาข้าราชการมีเงินเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะได้รับประโยชน์อื่นใดเพิ่มเติมอีก
**หากทำได้เช่นนี้ ฝ่ายการเมืองก็ไม่สามารถเอาตำแหน่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ มาล่อใจให้ข้าราชการแปรสภาพมาเป็นขี้ข้ารับใช้การเมืองชั่วได้อีก
ที่สำคัญคือ การให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่บอร์ดนั้น ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะรัฐวิสาหกิจมีความแตกต่างจากบริษัทที่ผู้บริหาร คือเจ้าของบริษัท แต่รัฐวิสาหกิจเป็นของประชาชน กำไรจากรัฐวิสาหกิจจึงไม่ควรถูกแบ่งไปจัดสรรเป็นโบนัสให้กับผู้บริหาร แต่ควรจะคืนกลับมาเป็นของแผ่นดิน ดังนั้นกรรมการรัฐวิสาหกิจจึงไม่ควรได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงเป็นของรัฐ
หากมีการจัดระบบเรื่องผลตอบแทนในรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม ก็จะทำให้รัฐวิสาหกิจไม่กลายเป็นบ่อเงิน บ่อทอง ให้การเมืองชั่วเข้ามาสูบเลือดได้อีก ซึ่งจะทำให้ผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจกลับคืนสู่ประเทศชาติและประชาชนมากขึ้น แทนที่จะตกหล่นไปเข้ากระเป๋าพวกจับเสือมือเปล่า ที่ใช้ทุนชาติมาเพิ่มเงินในกระเป๋าตัวเอง
อีกประเด็นหนี่งที่จะลืมไม่ได้คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะต้องห้ามของคนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ โดยให้คนที่เคยต้องโทษจำคุกเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นข้อห้ามในการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยระบุไว้ว่า จะต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกจริง หรือไม่ เว้นแต่จะเป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท...
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับกำหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอาจใช้ดุลพินิจในการรับผู้มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกมาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องโทษ หรือกลุ่มที่อาจมีคดีร่ำรวยผิดปกติ เข้ามาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ และทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากที่ติดคดี เข้าไปชูคอเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ จำนวนมาก
รัฐวิสาหกิจเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากภายในปีหนึ่งมีการลงทุนสูงกว่างบประมาณของหน่วยราชการ ซึ่งมีงบการลงทุนปีละ 5 แสนล้านบาท หากดำเนินการได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล จะสามารถป้องกันปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อประเทศชาติ ทำให้ความเสียหายจากการทุจริต คอร์รัปชัน ลดลง
**สิ่งที่ คสช.พึงระวังคือ การให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีนั้น อย่าลืมว่าคนเหล่านี้เกือบทั้งหมด คือ “ทายาทอสูรของรัฐบาลยิ่งลักษณ์” หาก คสช.ไม่รู้เท่าทัน ก็จะกลายเป็นการเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อต่อยอดให้ระบอบทักษิณโดยไม่รู้ตัว
**ปล่อยให้ระบอบทักษิณ ลอกคราบหากินบนหลัง คสช.
แม้ว่ากระแสสังคมโดยรวมจะสนับสนุนการทำงานของ คสช. โดยหวังว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยาวนานมากว่าสิบปีได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด รวมถึงกวาดล้างคนชั่วออกจากอำนาจได้อย่างหมดจด
**เมื่อดูท่วงทำนองการขับเคลื่อนประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.แล้ว จะพบว่ามีหลายอย่างที่ยังต้องตั้งคำถาม
แม้ว่าจะมีภาพที่โดดเด่นเกี่ยวกับการปราบปรามอาวุธสงคราม ตบหัวพวกฮาร์ดคอร์ให้สาธารณชนเห็น ผ่านการออกคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวต่อ คสช. ไปจนถึงการดำเนินคดีอย่างจริงจังกับคนที่ขัดคำสั่งอย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง ที่วันนี้อับแสงอยู่ในเรือนจำ
ภายใต้ภาพที่ดูเหมือนเอาจริงเอาจังกับคนที่ก่อความไม่สงบอย่างเด็ดขาด ยังมีภาพซ้อนที่ปรากฏให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองอยู่ เช่น คสช.สามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในการปิดเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงเว็บไซต์การเมือง ที่ไม่ใช่ของคนเสื้อแดง แต่เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความเห็นของกลุ่มคนที่มีความเข้าใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง รังเกียจระบอบทักษิณ แต่ คสช. กลับไม่มีปัญญาปิดเพจ "สมบัติ บุญงามอนงค์" หรือ บก.ลายจุด ที่ใช้โซเชียลมีเดีย นัดแนะให้กลุ่มต้านรัฐประหารออกมาชุมนุมชูสามนิ้ว ต่อต้านคสช.ได้
ทั้งที่วงในรับทราบกันดีว่า ตอนนี้ คสช.ได้ติดตั้งเครื่องมือที่เกทเวย์ สามารถปิดเพจที่ไม่พึงประสงค์ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น แล้วทำไมจึงไม่จัดการกับเพจที่จงใจสร้างความวุ่นวายในสังคม แต่กลับปล่อยให้โพสต์ข้อความสร้างกระแสได้อย่างเสรี แม้ว่าจะไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดแรงต้านหลักพัน มีเต็มที่ก็แค่หลักร้อย แต่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าดูแลแบบ “ขี้ช้างจับตั๊กแตน” จนยิ่งกลายเป็นภาพลบต่อประเทศไทย ว่าปกครองโดยทหาร จนประชาชนถูกจำกัดเสรีภาพ ซึ่งมิได้เป็นผลดีใดๆ ต่อทั้งคสช. และประเทศชาติ และยังกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ต่างชาติหยิบยกไปขยายผล กดดันประเทศไทยด้วย
จึงมีคำถามว่า คสช. ปล่อยให้ บก.ลายจุด ลอยนวลทั้งบนเฟซบุ๊ก และในชีวิตจริงได้อย่างไร ทั้งที่อย่างน้อยสิ่งแรกที่ต้องทำทันที คือจัดการกับ บก.ลายจุด ในโลกออนไลน์ ซึ่งจะทำให้คนๆ นี้หมดความหมาย ไม่สามารถก่อกระแสปั่นป่วนสร้างความวุ่นวายได้อีก
นอกจากนี้ เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีความเคลื่อนไหวปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง กลับไม่ได้รับความสนใจใดๆ จาก คสช. อย่างน่าประหลาดใจ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คสช. ตั้งใจที่จะปราบปรามคนในระบอบทักษิณให้สิ้นซาก จริงหรือไม่
**คสช.ไม่เคยพูดถึงสถานะของนักโทษหนีดคีทักษิณ ว่ามีนโยบายจะดำเนินการอย่างไร
**คสช.ไม่เคยพูดถึงความเลวระยำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าได้สร้างความฉิบหายให้กับบ้านเมืองอย่างไร
คสช. อาจจะทำดีในเรื่องการชำระหนี้จำนำข้าวให้ชาวนา แต่กลับไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่สาธารณะควรทราบเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดจากโครงการนี้ ทั้งที่อยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ทันที ด้วยการสั่งให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวออกมาเปิดเผยผลสรุปอย่างเป็นทางการ แทนที่จะเป็นรายงานข่าวอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เพียงวันเดียว แล้วเงียบหายไป ว่าขาดทุนกว่าห้าแสนล้าน ข้าวสารหายเกือบสามล้านตัน
**ในขณะที่ คสช.ไม่เคยพูดถึงความเสียหายจากโครงการนี้ แต่มุ่งที่จะเอาภาพความสุขของชาวนา ที่ได้รับเงินจาก คสช. มาเผยแพร่เรียกคะแนนนิยมให้ตัวเองแทน
หรือแม้แต่เรื่องที่คนจำนวนมากกำลังลุ้นคือ การโละบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นเรื่องแรกๆ ที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าคณะเศรษฐกิจ ออกมาประกาศเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็มิใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เนื่องจากการรัฐประหารทุกครั้ง ก็จะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ด้วยกันทั้งสิ้น
หากต้องการปฏิรูปเพื่อให้บอร์ดรัฐวิสาหกิจไม่ถูกรุมทึ้งจริง การแก้ปัญหาต้องไม่มุ่งเพียงแค่เรื่องของตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องการวางระบบที่จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน จนข้าราชการไม่คิดที่จะรักษาประโยชน์ให้ชาติ คิดแต่จะปกป้องผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจที่ตัวเองดูดท่อน้ำเลี้ยงอยู่เท่านั้น
สิ่งที่ พล.อ.อ.ประจิน ควรจะพิจารณา คือ อัยการซึ่งเป็นทนายแผ่นดินสมควรที่จะไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือไม่ เพราะมีบทพิสูจน์มาแล้วว่า เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจนกระทบต่อคดีทุจริต เพราะอัยการที่ไปมีผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่ยอมสั่งฟ้อง เนื่องจากตัวเองเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ด้วย ทำให้กระบวนการยุติธรรมตั้งต้นมีปัญหา
จะทำอย่างไรไม่ให้ข้าราชการเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจ จนไม่คิดปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ควรจะเลิกให้ข้าราชการไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือไม่ หรือถ้ามีหน่วยงานใดจำเป็นต้องไป ควรที่จะมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า จะไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จากรัฐวิสาหกิจดังกล่าว เพราะถือเป็นหน้าที่ในงานราชการ จะลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่ เพราะบรรดาข้าราชการมีเงินเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะได้รับประโยชน์อื่นใดเพิ่มเติมอีก
**หากทำได้เช่นนี้ ฝ่ายการเมืองก็ไม่สามารถเอาตำแหน่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ มาล่อใจให้ข้าราชการแปรสภาพมาเป็นขี้ข้ารับใช้การเมืองชั่วได้อีก
ที่สำคัญคือ การให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่บอร์ดนั้น ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะรัฐวิสาหกิจมีความแตกต่างจากบริษัทที่ผู้บริหาร คือเจ้าของบริษัท แต่รัฐวิสาหกิจเป็นของประชาชน กำไรจากรัฐวิสาหกิจจึงไม่ควรถูกแบ่งไปจัดสรรเป็นโบนัสให้กับผู้บริหาร แต่ควรจะคืนกลับมาเป็นของแผ่นดิน ดังนั้นกรรมการรัฐวิสาหกิจจึงไม่ควรได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงเป็นของรัฐ
หากมีการจัดระบบเรื่องผลตอบแทนในรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม ก็จะทำให้รัฐวิสาหกิจไม่กลายเป็นบ่อเงิน บ่อทอง ให้การเมืองชั่วเข้ามาสูบเลือดได้อีก ซึ่งจะทำให้ผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจกลับคืนสู่ประเทศชาติและประชาชนมากขึ้น แทนที่จะตกหล่นไปเข้ากระเป๋าพวกจับเสือมือเปล่า ที่ใช้ทุนชาติมาเพิ่มเงินในกระเป๋าตัวเอง
อีกประเด็นหนี่งที่จะลืมไม่ได้คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงลักษณะต้องห้ามของคนที่จะเข้ามาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ โดยให้คนที่เคยต้องโทษจำคุกเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นข้อห้ามในการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยระบุไว้ว่า จะต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกจริง หรือไม่ เว้นแต่จะเป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท...
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับกำหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอาจใช้ดุลพินิจในการรับผู้มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกมาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องโทษ หรือกลุ่มที่อาจมีคดีร่ำรวยผิดปกติ เข้ามาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ และทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากที่ติดคดี เข้าไปชูคอเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ จำนวนมาก
รัฐวิสาหกิจเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากภายในปีหนึ่งมีการลงทุนสูงกว่างบประมาณของหน่วยราชการ ซึ่งมีงบการลงทุนปีละ 5 แสนล้านบาท หากดำเนินการได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล จะสามารถป้องกันปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลดีต่อประเทศชาติ ทำให้ความเสียหายจากการทุจริต คอร์รัปชัน ลดลง
**สิ่งที่ คสช.พึงระวังคือ การให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีนั้น อย่าลืมว่าคนเหล่านี้เกือบทั้งหมด คือ “ทายาทอสูรของรัฐบาลยิ่งลักษณ์” หาก คสช.ไม่รู้เท่าทัน ก็จะกลายเป็นการเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อต่อยอดให้ระบอบทักษิณโดยไม่รู้ตัว
**ปล่อยให้ระบอบทักษิณ ลอกคราบหากินบนหลัง คสช.