รายงานการเมือง
ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครฮอตไปกว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่เพิ่งผันตัวมารับบทหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังยึดอำนาจจาก “ระบอบแม้ว” แล้ว ก็ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง โชว์กึ๋นความเป็นนักบริหาร จัดแจงซื้อใจ “ชาวนา-ชาวสวน-ชาวไร่-ประชาชน” ได้เกือบทั้งประเทศ
ทั้งการเร่งจ่ายเงินให้กับ “ชาวนา” ที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ติดหนี้ไว้เหยียบแสนล้าน หรือการสั่งให้ทบทวนนโยบายด้านราคาพลังงานโดยด่วน เบื้องต้นให้ตรึงราคาแก๊สหุ้งต้ม ไม่ให้พุ่งสูงขึ้นจน “ประชาชน” ต้องเดือดร้อนไปก่อน
นาทีนี้ต้องบอกว่าเส้นทางการขับเคลื่อนประเทศของ คสช. ดูจะราบรื่นเป็นพิเศษ
คงเหลือแค่เพียงพวกเหลือบไรการเมือง ที่ยังคอยกัดกิน “ประเทศไทย” อยู่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ยังออกมาก่อหวอดอยู่เนืองๆ โดยอ้างว่า ต่อต้านรัฐประหาร
ทว่า “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ที่ก่อตัวขึ้นมานั้น ก็ถูกมองว่าเป็นเศษซากของระบอบทักษิณ ที่แปลงกายมาจากมวลชน “ค่ายสีแดง”
คนเหล่านี้ถูกขนานนามว่าเป็น “แดงชุบแป้งทอด” คล้ายกับบรรดาคนเสื้อสีขาวที่ชอบออกมาจุดเทียนต้านความรุนแรงก่อนหน้านี้
รวมกับบางส่วนที่ “โลกสวย” รับไม่ได้กับการรัฐประหาร กลัวว่านานาชาติ หรือฝรั่งมั่งค่ามันจะไม่คุยด้วย
ไม่ว่าจิตใจจะ “แดงจริง” หรือ “แดงเทียม” แต่เป็นการก่อตัวที่ไร้ “แกนนำ” บรรดา “แกนตาม” จริงมีน้อย
การนัดหมาย-จัดกิจกรรม-การชุมนุม ของ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” จึงไร้หลักแหล่ง ไร้จุดยึดเหนี่ยว ไร้ประสิทธิภาพ ส่วนมากอาศัยสถานการณ์พาไป
เข้าขั้นทุลักทุเลกันเลยทีเดียว
แม้จะพยายามนัดหมายชุมนุมในจุดยุทธศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ เช่น แยกราชประสงค์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่กลับถูก คสช.เล่นบทเฮี้ยบตั้งกำลังดักทางสกัดกั้นได้หมด
มาตรการจับจริง-ขังจริง ของ คสช.ทำให้ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” อ่อนแรงลง ไม่กล้าที่จะออกมาส่งเสียงเรียกร้องมากนัก
บทเรียนจาก “จาตุรนต์ ฉายแสง” ที่ขนาดเป็นระดับเซเลบ มีเส้นสาย-บารมี ออกมาเล่นผิดบทท้าทายอำนาจของ คสช. ก็โดนหิ้วกลางวงแถลงข่าวที่หวังใช้ “สื่อต่างประเทศ” เป็นเกราะกำบังแท้ๆ
ทำเอาบรรดา “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” จึงขาสั่นหายหน้าหายตากันไปเยอะ
แถมไม้เด็ดของ คสช. ที่หยิบเอา “ศาลทหาร” ซึ่งเป็นศาลเดียวตัดสินครั้งเดียว ไม่มีฎีกา ไม่มีอุทธรณ์ มาดำเนินคดี ถือเป็นเงื่อนไขหลักที่ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเป็นทางการ
และทำให้บรรดาแกนนำแดงที่ถูกปล่อยตัวออกมาเชื่องกว่าที่คิด แต่ละรายสงบเสงี่ยมไม่แตกแถวสักคนเดียว
ตอนนี้จะมีก็แต่ “แกนนอน” ตัวเอ้อย่าง “หนูหริ่ง” สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่ยังดื้อด้านไม่ยอมจำนนในอำนาจท็อปบูต แต่ก็ใช่ว่าจะใจกล้าอย่างปากพูด อาศัยลวดลาย “นักการตลาด” ตีกิน หลอกมวลชนไปเรื่อยๆ
ทำได้เต็มที่ก็แค่อาศัยพื้นที่โซเชียลเน็ตเวิร์กแอบนัดหมาย “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมแทนตัวเองเท่านั้น
ส่วนตัวเองก็เลือกกบดานเอาตัวรอด ใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง จิตใต้สำนึกไม่ต่างจาก “นายใหญ่” ที่อยู่เมืองนอกเลย
อีกส่วนก็พวก “แดงวิชาการ” ที่ใช้วิธีดื้อแพ่ง ไม่เข้ารายงานตัวกับ คสช. เช่นกัน เลือกที่จะซุ่มเก็บตัวอยู่ในที่เงียบ คอยเผยแพร่แนวคิด “แดง” อยู่ในที่มืด
ทำเอาหลายคนแปลกใจว่าเหตุใด คสช. จึงปล่อยให้ “หนูหริ่ง - สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล - วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ลอยนวล ทั้งที่มีหมายเรียกให้มารายงานตัว แต่ทั้ง 3 คนไม่มารายงานตัวตามหมายเรียก
ทั้งที่นาทีนี้ คสช. มีศักยภาพในการจับกุมคนกลุ่มนี้ได้ เพราะมีรายงานขึ้นส่งถึงโต๊ะ “บิ๊กตู่” ตลอดว่า “หนูหริ่ง-สมศักดิ์-วรเจตน์” ยังคงอยู่ในประเทศไทย
มองได้ว่า “ฝ่าย เสธ.” ของ คสช.อ่านว่า หากปล่อยให้ “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” เคลื่อนไหวโดยการขีดเส้นให้เดินจะเป็นประโยชน์ต่อ คสช. มากกว่าที่จะกวาดจับกุมให้เรียบ
โดยเจตนาให้ “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” เคลื่อนไหวต่อไป เพราะรู้ว่าศักยภาพจำกัดไม่สามารถเรียกคน-เรียกแขก มาชุมนุมในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อ คสช. ได้
ดังนั้น การปล่อยให้เคลื่อนไหวจึงเป็นประโยชน์มากกว่า เพื่อได้รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของม็อบต้านดีกว่าปล่อยให้พวก “โนเนม” เคลื่อนไหวกันเอง เพราะจะสุ่มเสี่ยงต่อการควบคุมทิศทาง
ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้จับสัญญาณ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ว่ามีมากน้อยแค่ไหน เช็กยอดไปในตัวว่า “คนเสื้อแดง” อ่อนกำลังไปมากน้อยเพียงใด
ที่สำคัญ คสช. ได้เช็กด้วยว่า “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” มีเส้นทางเชื่อมโยงกับ “มือมืด” คนไหนบ้าง เมื่อได้ข้อมูลเบ็ดเสร็จ ก็ค่อยต้อนมาเข้าค่ายเช็กบิลเป็นรายตัว
น่าสังเกตว่าระยะหลัง คสช. จึงเรียกหลากหลายบุคคลที่ชื่อไม่คุ้นหู แต่ในวงการรู้กันดีว่า พวกนี้เป็นขุมข่าย “ธุรกิจมืด” ที่เป็นเครือข่ายของ “นายใหญ่ดูไบ-นายใหญ่บางบอน” มารายงานตัวเป็นว่าเล่น
จับทางได้ไม่ผิดว่า คสช. จะเลี้ยง “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” ไว้อีกระยะ เพราะหากรีบจับจะเสียของ ไม่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของ “แดงมือมืด” ได้อีกต่อไป
เลี้ยงเชื้อเอาไว้หมดประโยชน์แล้วค่อย “เช็กบิล” ทีเดียว เอาให้เข็ดหลาบ เพราะการกวาดล้าง “คนเสื้อแดง” ครั้งนี้ต้องทำแบบถอนรากถอนโคน
ประวัติศาสตร์การ “รัฐประหาร” ปี 2549 สอน คสช. รู้ว่าหากยังใจดีปล่อยให้ “ระบอบแม้ว” มีโอกาสกลับมาปลุกกระแส “แดง” ได้เมื่อไร ความพ่ายแพ้จะมาเยือนแน่นอน
ถอนรากถอนโคนครั้งนี้จึงต้องจัดหนักทั้ง “ธุรกิจมืด” และ “นายทุน” ใช้วิธีปล่อย “แดง” ไว้ฆ่า “แดง” ให้สิ้นซาก