การรัฐประหารโดยกองทัพ ซึ่งแปรสภาพมาเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติครั้งนี้ประเทศไทยได้วัดใจจุดยืนหลายประเทศว่าเป็นเช่นใด มีความคิดต่อต้าน เข้าใจ เป็นห่วง หรือวางเฉย ซึ่งเป็นความเหมาะสมที่คนไทยจะปรับมุมมองแยกแยะว่าใครมีความจริงใจ หรือใส่หน้ากากป้อนคำหวานเพื่อหวังประโยชน์
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้สร้างความผิดหวัง ออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหารอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับรัฐบาลฝรั่งเศส คนไทยก็รออยู่แล้ว ว่าการคัดค้านต้องมาแน่ ถ้าไม่มีพูดอะไรสักคำ จะเป็นเรื่องแปลกมาก
เปิดหน้ามาให้เห็นเลยว่า “มหามิตรยาวนาน” ในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ นั้นได้เป็นเป้าหมายของการโจมตีจนแทบจะเป็นรายวัน นับตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม แม่ทัพเรือ
ทยอยกันเรียงหน้ามาโจมตีประณามประเทศไทย ทั้งขู่ สั่ง ตั้งเงื่อนไข ว่าต้องเร่งจัดการเลือกตั้ง ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยเร็ว! พวกลูกไล่สหรัฐฯ เช่นอังกฤษ ออสเตรเลีย ก็เดินตามก้นสหรัฐฯ ตัดความสัมพันธ์ด้านทหารเช่นกัน
กลุ่มประชาคมยุโรป หรืออียู ก็ออกมาประณามการรัฐประหาร สร้างข่าวใหญ่โต ทำให้คนไทยรักชาติเลือดขึ้นหน้า ตะโกนย้อนถามว่า “ประเทศไทยเป็นลูกไล่ หรือขี้ข้าพวกเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงมาชี้นิ้วสั่ง ตั้งเงื่อนไขสารพัด”
นี่เป็นพวกฝรั่งผิวขาว คงเคยตัวตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมล่าเมืองขึ้นโดยกองกำลังแสนยานุภาพจนถึงยุคจักรวรรดินิยมซึ่งล่าเมืองขึ้นโดยอำนาจเศรษฐกิจ กุมธุรกิจ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ
ไทยเราโดนมาหนักๆ เพียงเป็นลูกหนี้ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ เสียทรัพย์สินไปโดยราคาแพงช่วงลดค่าเงินบาท เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น แต่ต้องเสียแผ่นดินไปกว้างใหญ่มากกว่าที่เรายังเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้
แต่การทำรัฐประหารครั้งนี้ ไอ้กันทำกับเรามากเกินความพอดี! ลำพังจะประณามแต่พอสมควร ตามหลักการของรัฐบาลสหรัฐฯ เราพอเข้าใจ ทำใจได้ เพราะได้รับรู้ตั้งแต่ยุค คมช.ที่รัฐบาลตะวันตกคว่ำบาตรรกองทัพ ไม่ขายอาวุธ
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไอ้กันได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการเมืองระบอบทักษิณ ทูตไอ้กันคนก่อน อีริค จอห์น ก็ทำตัวเป็นพวกมวลชนเสื้อแดงอย่างออกนอกหน้าในช่วงเสื้อแดงชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ในปี 2553
หลังจากอีริค จอห์นไปแล้ว นางคริสตี้ เคนนีย์ มาแทน กลับทำวางก้ามหนักข้อกว่าเดิม กระชับความสัมพันธ์กับมวลชนเสื้อแดง ส่งทีมไปเยือนหมู่บ้านเสื้อแดง แทรกแซงกิจการภายใน เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112
ความสนิทสนมกับขบวนการเสื้อแดงแน่นแฟ้น จนแทบเป็นผู้พิทักษ์เสื้อแดง เพราะเสื้อแดงกับทักษิณเป็นพวกเดียวกัน ส่งผลประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทอเมริกัน และหน่วยงานของสหรัฐฯ ในการใช้ประโยชน์จากฐานทัพในไทย
คำประณามการรัฐประหารโดยสหรัฐฯ ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นความกระเหี้ยนกระหือรือ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ ผิดวิสัยความเป็นมิตรประเทศตามคำอ้าง คำหวานที่ป้อนให้คนไทยได้ฟังมาโดยตลอดจนเรารู้สึกเอียน
ช่วงจอร์จ ดับเบิลยู บุช อ้อนให้ไทยไปช่วยรุมยำอิรัก ก็บอกว่าไทยเป็นมิตรที่สำคัญที่สุดในกลุ่มประเทศนอกนาโต้ หว่านล้อมให้ส่งทหารไปรบ แต่เราก็ระวัง ส่งไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หน่วยแพทย์ แต่ก็มีทหารเสียชีวิตด้วย
กองทัพและกระทรวงต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลต่างชาติเห็นใจ เห็นความแตกต่างว่าการเมืองไทยไม่เหมือนที่อื่น อย่าใจเร็วในการปรับลดความสัมพันธ์ การทำเช่นนี้นอกจากพวกฝรั่งขาวไม่สนใจ ยังจะรุกไล่อีก
พวกฝรั่งขาวรู้ดีว่าการรัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายในการผ่าทางตันเมื่อการเมืองสามานย์ทำให้บ้านเมืองติดกับดัก นักการเมืองไทยหน้าด้าน ไร้จิตสำนึก รูปแบบการรัฐประหารไม่มีผลกระทบ ไม่ฆ่าฟันเสียเลือดเนื้อยืดเยื้อ
ต่างจากรัฐประหารในละตินอเมริกา แอฟริกา ฆ่ากันตายเป็นเบือ เป็นสงครามกลางเมือง จนประเทศตะวันตกไม่อยากส่งทหารตัวเองไปตายเหมือนในโซมาเลีย ดาร์ฟู หรือการแทรกแซงการเมืองในอิรัก อียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย ฯลฯ
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดง 2 มาตรฐาน เทียบกับการรัฐประหารในอียิปต์ ความไม่สงบในยูเครน นั่นเพราะสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกมีผลประโยชน์โดยตรงด้านดุลอำนาจการเมืองในตะวันออกกลาง แหล่งทรัพยากรน้ำมัน
การรัฐประหารในไทยครั้งล่าสุด ไม่มีใครเสียชีวิต แทบไม่มีเสียงปืน และไม่มีรถถัง รถรบขนาดใหญ่ ปืนใหญ่ในพื้นที่สำคัญในเมือง ต่างจากครั้งก่อนๆ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไทยยังรักษามารยาทเกินไป เมื่อไม่ฟังเหตุผล คำอธิบาย คสช. และรัฐไทยต้องหามาตรการตอบโต้เช่นกัน ด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจอื่น เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย นอกจากกลุ่มประเทศอาเซียน
ถ้าไม่ฟังกัน ก็แยกกันอยู่ เช่นเรียกทูตไทยกลับจากประเทศที่ทำตัวไม่เป็นมิตร ให้ทูตประเทศนั้นกลับไป ลดระดับความสัมพันธ์ ทบทวนเงื่อนไขสัมปทานทรัพยากรถือครองโดยต่างชาติอย่างเร่งด่วน ให้รู้ว่าเราไม่ก้มหัวให้
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้สร้างความผิดหวัง ออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหารอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับรัฐบาลฝรั่งเศส คนไทยก็รออยู่แล้ว ว่าการคัดค้านต้องมาแน่ ถ้าไม่มีพูดอะไรสักคำ จะเป็นเรื่องแปลกมาก
เปิดหน้ามาให้เห็นเลยว่า “มหามิตรยาวนาน” ในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ นั้นได้เป็นเป้าหมายของการโจมตีจนแทบจะเป็นรายวัน นับตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม แม่ทัพเรือ
ทยอยกันเรียงหน้ามาโจมตีประณามประเทศไทย ทั้งขู่ สั่ง ตั้งเงื่อนไข ว่าต้องเร่งจัดการเลือกตั้ง ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยเร็ว! พวกลูกไล่สหรัฐฯ เช่นอังกฤษ ออสเตรเลีย ก็เดินตามก้นสหรัฐฯ ตัดความสัมพันธ์ด้านทหารเช่นกัน
กลุ่มประชาคมยุโรป หรืออียู ก็ออกมาประณามการรัฐประหาร สร้างข่าวใหญ่โต ทำให้คนไทยรักชาติเลือดขึ้นหน้า ตะโกนย้อนถามว่า “ประเทศไทยเป็นลูกไล่ หรือขี้ข้าพวกเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงมาชี้นิ้วสั่ง ตั้งเงื่อนไขสารพัด”
นี่เป็นพวกฝรั่งผิวขาว คงเคยตัวตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมล่าเมืองขึ้นโดยกองกำลังแสนยานุภาพจนถึงยุคจักรวรรดินิยมซึ่งล่าเมืองขึ้นโดยอำนาจเศรษฐกิจ กุมธุรกิจ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ
ไทยเราโดนมาหนักๆ เพียงเป็นลูกหนี้ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ เสียทรัพย์สินไปโดยราคาแพงช่วงลดค่าเงินบาท เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น แต่ต้องเสียแผ่นดินไปกว้างใหญ่มากกว่าที่เรายังเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้
แต่การทำรัฐประหารครั้งนี้ ไอ้กันทำกับเรามากเกินความพอดี! ลำพังจะประณามแต่พอสมควร ตามหลักการของรัฐบาลสหรัฐฯ เราพอเข้าใจ ทำใจได้ เพราะได้รับรู้ตั้งแต่ยุค คมช.ที่รัฐบาลตะวันตกคว่ำบาตรรกองทัพ ไม่ขายอาวุธ
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไอ้กันได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการเมืองระบอบทักษิณ ทูตไอ้กันคนก่อน อีริค จอห์น ก็ทำตัวเป็นพวกมวลชนเสื้อแดงอย่างออกนอกหน้าในช่วงเสื้อแดงชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ในปี 2553
หลังจากอีริค จอห์นไปแล้ว นางคริสตี้ เคนนีย์ มาแทน กลับทำวางก้ามหนักข้อกว่าเดิม กระชับความสัมพันธ์กับมวลชนเสื้อแดง ส่งทีมไปเยือนหมู่บ้านเสื้อแดง แทรกแซงกิจการภายใน เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112
ความสนิทสนมกับขบวนการเสื้อแดงแน่นแฟ้น จนแทบเป็นผู้พิทักษ์เสื้อแดง เพราะเสื้อแดงกับทักษิณเป็นพวกเดียวกัน ส่งผลประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทอเมริกัน และหน่วยงานของสหรัฐฯ ในการใช้ประโยชน์จากฐานทัพในไทย
คำประณามการรัฐประหารโดยสหรัฐฯ ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นความกระเหี้ยนกระหือรือ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ ผิดวิสัยความเป็นมิตรประเทศตามคำอ้าง คำหวานที่ป้อนให้คนไทยได้ฟังมาโดยตลอดจนเรารู้สึกเอียน
ช่วงจอร์จ ดับเบิลยู บุช อ้อนให้ไทยไปช่วยรุมยำอิรัก ก็บอกว่าไทยเป็นมิตรที่สำคัญที่สุดในกลุ่มประเทศนอกนาโต้ หว่านล้อมให้ส่งทหารไปรบ แต่เราก็ระวัง ส่งไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หน่วยแพทย์ แต่ก็มีทหารเสียชีวิตด้วย
กองทัพและกระทรวงต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลต่างชาติเห็นใจ เห็นความแตกต่างว่าการเมืองไทยไม่เหมือนที่อื่น อย่าใจเร็วในการปรับลดความสัมพันธ์ การทำเช่นนี้นอกจากพวกฝรั่งขาวไม่สนใจ ยังจะรุกไล่อีก
พวกฝรั่งขาวรู้ดีว่าการรัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายในการผ่าทางตันเมื่อการเมืองสามานย์ทำให้บ้านเมืองติดกับดัก นักการเมืองไทยหน้าด้าน ไร้จิตสำนึก รูปแบบการรัฐประหารไม่มีผลกระทบ ไม่ฆ่าฟันเสียเลือดเนื้อยืดเยื้อ
ต่างจากรัฐประหารในละตินอเมริกา แอฟริกา ฆ่ากันตายเป็นเบือ เป็นสงครามกลางเมือง จนประเทศตะวันตกไม่อยากส่งทหารตัวเองไปตายเหมือนในโซมาเลีย ดาร์ฟู หรือการแทรกแซงการเมืองในอิรัก อียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย ฯลฯ
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดง 2 มาตรฐาน เทียบกับการรัฐประหารในอียิปต์ ความไม่สงบในยูเครน นั่นเพราะสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกมีผลประโยชน์โดยตรงด้านดุลอำนาจการเมืองในตะวันออกกลาง แหล่งทรัพยากรน้ำมัน
การรัฐประหารในไทยครั้งล่าสุด ไม่มีใครเสียชีวิต แทบไม่มีเสียงปืน และไม่มีรถถัง รถรบขนาดใหญ่ ปืนใหญ่ในพื้นที่สำคัญในเมือง ต่างจากครั้งก่อนๆ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไทยยังรักษามารยาทเกินไป เมื่อไม่ฟังเหตุผล คำอธิบาย คสช. และรัฐไทยต้องหามาตรการตอบโต้เช่นกัน ด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจอื่น เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย นอกจากกลุ่มประเทศอาเซียน
ถ้าไม่ฟังกัน ก็แยกกันอยู่ เช่นเรียกทูตไทยกลับจากประเทศที่ทำตัวไม่เป็นมิตร ให้ทูตประเทศนั้นกลับไป ลดระดับความสัมพันธ์ ทบทวนเงื่อนไขสัมปทานทรัพยากรถือครองโดยต่างชาติอย่างเร่งด่วน ให้รู้ว่าเราไม่ก้มหัวให้