ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หากถามว่า “การรัฐประหาร” เพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” ประสบความสำเร็จและมีอุปสรรคขวากหนามที่ชวนให้ปวดหัวอะไรหรือไม่
คำตอบก็คือ ประสบความสำเร็จ
เพียงแต่ว่ายังไม่สะเด็ดน้ำ ดังจะเห็นได้จาก “ประกาศ” และ “คำสั่ง” ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้คนในระบอบทักษิณยังคงมีให้เห็นเป็นระยะๆ รวมถึงมีปฏิกิริยาต่อต้านจากบรรดา “แดงแปลงร่าง-นักวิชาการสีขาวและประชาชนโลกแคบ” ผู้ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สนใจการโกงบ้านกินเมืองให้เห็นอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจจากประชาชนชาวโลก โดยมีจุดศูนย์รวมอยู่ที่ “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” และ “ร้านแมคโดนัลด์” ตามยุทธศาสตร์ที่ชื่อ “กินแมคต้านรัฐประหาร”
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์นับตั้งแต่วันแรกของการทำรัฐประหาร จะเห็นว่า คณะ คสช.วางแผนมาอย่างดีจนแทบไม่มีช่องโหว่ให้เห็น กระทั่งสามารถสะกด “แดงฮาร์ดคอร์” ไม่ให้สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองได้อยู่หมัด ด้วยการควบคุมตัวเอาไว้ในค่ายทหาร รวมทั้งตัดท่อน้ำเลี้ยงเพื่อไม่ให้นำมาใช้ในการเคลื่อนไหวและมีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งนั่นทำให้ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” ที่ปรากฏภาพลั้นลาควงสาวชอปปิ้งอยู่ที่ชินจูกุ ณ ประเทศญี่ปุ่น ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างถนัดใจนัก
หลังจากนั้น คสช.ก็เปิดเกมรุกด้วย “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” เพื่อเรียกคะแนนเสียงก่อนที่จะเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศ” ซึ่งก็ประสบความสำเร็จท่วมท้น ทั้งการประกาศจ่ายเงินให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว หรือการล้างบางตำรวจมะเขือเทศและข้าราชการในระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
ขณะที่ในภาพกว้าง คสช.ได้มีความเคลื่อนไหวที่สำคัญ 2 ความเคลื่อนไหวด้วยกันคือ หนึ่ง-การเร่งขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในทุกๆ ด้าน และสอง-จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อสลายสีและนำไปสู่แนวทางปฏิรูปในอนาคต
“หัวหน้า คสช.ได้มอบหมายให้กองทัพภาคต่างๆ จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ประชาชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเป็นศูนย์ให้ข้อมูลความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายต่างๆ นำข้อมูลไปบิดเบือนให้เกิดความไม่เข้าใจ โดยได้สั่งการให้เร่งตั้งศูนย์และแนวทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบกแจกแจง
สิ่งที่สังคมกำลังเฝ้าจับตามองคือ ศูนย์ดังกล่าวจะปรองดองสมานฉันท์อย่างไรและจะสลายสีเสื้อด้วยวิธีใด
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งโครงสร้างการทำงานของ “คณะ 5 เสือ คสช.” เพื่อให้ขับเคลื่อนงานในทางปฏิบัติโดยประสานงานกับกระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะรองหัวหน้า คสช.กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองหัวหน้า คสช.กำกับดูแลงานด้านสังคมและจิตวิทยา พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรองหัวหน้า คสช.กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง และพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองหัวหน้า คสช.กำกับดูแลงานด้านกิจการพิเศษ
ทั้งนี้ ผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของ คณะ 5 เสือ คสช.นั้นต้องบอกว่าได้รับคำชมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ที่กำกับดูแลงานทางด้านเศรษฐกิจนั้น ดูเหมือนจะโดดเด่นและได้รับคำชมเป็นพิเศษ ซึ่งผลงานที่เข้าตากรรมการของ “บิ๊กจิน” ก็เห็นจะได้แก่ การจ่ายหนี้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว การเร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 อันเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนประเทศ การเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เพื่อทำให้การลงทุนจากภาคเอกชนเกิดขึ้น และการเตรียมลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน หรือ “รง.4” ให้กระชับลง โดยโครงการที่มีการประกอบกิจการไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ จากปัจจุบัน 90 วันให้เหลือไม่เกิน 30วัน และโครงการลงทุนทั่วไป จากเดิมจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 90 วัน เหลือไม่เกิน 45 วัน ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเอกชนต่างดีอกดีใจกันยกใหญ่
โดดเด่นกระทั่ง “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” รองประธานคณะที่ปรึกษา คสช.ถึงกับเอ่ยปากชมทีเดียว
แต่ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการประกาศแต่งตั้ง “คณะที่ปรึกษา” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำนวน 10 คน เนื่องเพราะทำให้เห็นทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน หรือ “โรดแมป” ภายใต้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างดีว่าจะเป็นอย่างไร
เพราะทั้ง 10 คน ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจาก “ซูเปอร์บอร์ด” ที่จะกลั่นกรอง ตรวจสอบและเป็นที่ปรึกษาสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ คสช.
ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาดังกล่าวมี บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี และ “พี่ใหญ่” ของ “กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” เป็นประธาน
ขณะที่อีก 9 คนประกอบด้วย 1.บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก พี่คนรองแห่งบูรพาพยัคฆ์ 3.ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล 4.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 5.นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 6.นายวิษณุ เครืองาม 7.นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ 8.พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ 9.พล.อ.นพดล อินทปัญญา 10.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ
นี่คือขุมกำลังชุดแรกของ คสช.ที่ปรากฏตัวให้เห็นต่อสาธารณชน ซึ่งเป็นขุมกำลังที่ต้องบอกว่า “ใกล้ชิด” กับ พล.อ.ประยุทธ์ และสามารถกล่าวได้ว่า เป็นคณะที่ปรึกษาที่ถือกำเนิดมาเพราะ “บิ๊กป้อมคอนเนกชัน”
กล่าวคือ ทางด้านความมั่นคงนั้นมี “พี่น้อง 2 ป.” คือ ป.ป้อมและป.ป็อก เป็นหัวขบวนใหญ่ นั่งเป็นประธานและรองประธานตามลำดับ พ่วงด้วยนายพลผู้พี่อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศต่อจาก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อย่าง “บิ๊ก เฟื่อง”-พล.อ.อ.อิทธพร แถมด้วย 1 เพื่อนรักนายพลคู่ใจแห่งวงศ์เทวัญอย่าง “บิ๊กหนุ่ย”-พล.อ.ดาว์พงษ์ ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสุขและทุกข์มากับ พล.อ.ประยุทธ์มายาวนานที่เป็นที่ปรึกษาและเลขานุการ
ขณะที่ทางด้าน “บิ๊กกี่” -พล.อ.นพดล เพื่อนรักเตรียมทหารรุ่น 6 ของ พล.อ.ประวิตรนั้นต้องบอกว่า เห็นชื่อชั้นแล้วบอกได้คำเดียวว่า “ไม่ธรรมดา” เอาเพียงแค่พะยี่ห้อ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยุคที่ พล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีก็พอจะเห็นแล้วว่า ทำไมบิ๊กกี่ถึงมีชื่อเป็นคณะที่ปรึกษา “ด้านประชาสัมพันธ์” ในเที่ยวนี้ด้วย
นี่ไม่นับรวมถึงคุณสมบัติพิเศษจากที่ปรึกษาส่วนตัวของบิ๊กกี่ที่เชี่ยวชาญงานทางด้านสื่อเป็นกรณีพิเศษอย่าง “พรรทิภา สกุลชัย” เจ้าของอาณาจักรโน้ต พับลิชชิ่ง ผู้ผลิตนิตยสารและรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ หรือที่คนในวงการบันเทิงรู้จักกันดีในชื่อ “ติ๋ม ทีวีพูล” ผู้เป็นภรรยา
ทางด้านเศรษฐกิจที่มี 2 ทหารเสืออย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และนายณรงค์ชัยเป็นตัวขับเคลื่อน โดย “หม่อมอุ๋ย” นั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับบิ๊กป้อมเนื่องด้วยอยู่ในเครือข่าย “เซ็นต์คาเบรียลคอนเนกชัน” รับหน้าที่เป็นรองประธานดูแลภาคเศรษฐกิจระดับจุลภาค และมี ดร.ณรงค์ชัยร่วมทีมเป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจมหภาค ขณะที่นายสมคิดอดีตรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหลายสมัย รับผิดชอบงานทางด้านต่างประเทศ ส่วนทางด้านกฎหมายก็มีนายวิษณุ เครืองาม ที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครดูแลงานด้านนี้ แถมยังเป็นผู้ที่มี “คอนเนกชัน” ระดับซูเปอร์วีไอพีจนเป็นที่ยอมรับของทุกขั้วอำนาจอีกด้วย
และด้านสังคมทั่วไปมี ศ.ดร.ยงยุทธเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเมื่อย้อนหลังดูเส้นทางชีวิตแล้วก็ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะถ้ายังจำกันได้ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์นั้นเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยรัฐบาลขิงแก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์มาแล้ว
ที่สำคัญที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ศ.ดร.ยงยุทธนั้นเป็นหลานชายของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ให้การสนับสนุนในด้านการศึกษามาโดยตลอดหลังจากที่ พ.อ.สรรค์ ยุทธวงศ์ผู้เป็นบิดาถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก
เรียกว่าแน่นทุกขุมพลังเลยทีเดียว
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เชิญคณะที่ปรึกษา คสช.ทั้ง 10 คนประชุมจัดส่วนงาน กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ เพื่อให้การบริหารงานของ คสช.เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะที่ปรึกษา คสช.เอาไว้ชัดเจนว่า เป็นผู้เสนอแนะ แสดงความคิดเห็น เรื่องที่อยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายจากคณะ คสช. พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะบุคคลทำหน้าที่คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน เจ้าหน้าที่ โดยต้องเสนอผ่าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการ คสช.
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.ได้กำกับดูแลส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อหัวหน้า คสช. ประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สนข.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแห่งราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงบประมาณและสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดชเป็นประธานการประชุมส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อหัวหน้า คสช. เพื่อชี้แจงแนวทางการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบายของหัวหน้า คสช. โดยในภาพรวมยังคงยึดถือแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินที่มีอยู่
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีการหารือถึงการปรับโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งลดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ส่วนสำนักงานข่าวกรองให้พิจารณาบรรจุกำลังพลเพิ่มเติมเพื่อรองรับงานด้านการข่าว พร้อมทั้งแก้ไขกฎหมายบางฉบับของ กอ.รมน. รองรับการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการกำลังพล
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของศูนย์อำนวยการบริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ให้ยึดกลไกศูนย์ปฏิบัติการอำเภอในการบูรณาการเพื่อเชื่อมโยงกับงานด้านการพัฒนาและความมั่นคงตามระดับของพื้นที่ จากการประเมินการทำงานที่ผ่านมาจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ เช่น การเพิ่มปลัดอำเภอและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) รวมทั้งการเพิ่มบทบาทกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ส่วนสำนักงบประมาณ ให้จัดทำร่างงบประมาณประจำปี 2558 เสนอคณะ คสช. รวมทั้งจะหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2557 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าร้อยละ 95 ในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายวิธีการงบประมาณ ให้มีความชัดเจนและครอบคลุมสามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ในส่วนสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะรวบรวมแผนงาน หรือโรดแมป ของหัวหน้า คสช.จัดทำยุทธศาสตร์ หากมีเกิดความซ้ำซ้อนให้เสนอให้ หัวหน้า คสช.พิจารณาอีกครั้ง นอกจากนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะพิจารณาและนำเสนอความเป็นไปได้และความเร่งด่วนในการจัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตามนโยบายหัวหน้า คสช. รวมทั้งจะติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อเสนอแนวทางสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณ 2557
หมากแรกในการบริหารราชการแผ่นดินของ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ก็ได้ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหมากต่อไปที่ต้องจับตาคือผู้ที่จะมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” และคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะคนสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน และคณะที่ปรึกษาทั้ง 10 คนซึ่งถือเป็นขุมพลังอันใกล้ชิด
ถึงตรงนี้ ก็ได้แต่หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะนำพาประเทศไทยและปฏิรูปประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จ โดยไม่ลุ่มหลงในอำนาจ ดังที่เขาประกาศไว้ในวันได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่า “เพื่อให้เกิดความถูกต้องชอบธรรม การใช้อำนาจต้องระมัดระวัง ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลง อย่าคิดว่ามีอำนาจแล้วทำได้ทุกอย่าง ผมไม่คิดอย่างนั้น”