xs
xsm
sm
md
lg

ความคาดหวังหลังการรัฐประหาร

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

การรัฐประหารโดยกองทัพบกผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ แม้โดยเนื้อหาของการรัฐประหารจะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่กลับมีแรงเชียร์ของประชาชนกลุ่มหนึ่งพากันเชื่อว่าการรัฐประหารครั้งนี้เพื่อจัดการกับระบอบทักษิณ ด้านหนึ่งมาจากมวลมหาประชาชนที่ลุกขึ้นสู้กับระบอบทักษิณมากกว่า 6 เดือน ด้านหนึ่งมาจากประชาชนคนกลางๆ ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข

ขณะที่แถลงการณ์ของการรัฐประหารครั้งนี้ระบุตอนหนึ่งว่า

ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆ ของประเทศหลายๆ พื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัว จนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวมนั้น

เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี เช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกันทั่วทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป

โดยสรุปเหตุผลของการรัฐประหารในครั้งนี้ก็คือ ความแตกแยกของคนในชาติ

แต่สิ่งที่มวลมหาประชาชนซึ่งชุมนุมมากกว่า 6 เดือนจะได้รับจากการรัฐประหารครั้งนี้ก็คือ การปฏิรูปด้านต่างๆ ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศชัดแล้วว่าจะจัดให้มีสภาปฏิรูปเพื่อมาทำหน้าที่ปฏิรูปบ้านเมือง นอกจากนั้นก็คงเป็นรัฐบาลที่ คสช.จะจัดตั้งขึ้นมาบริหารประเทศชั่วคราวก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในภายหลัง

โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดเผยว่าแนวทางการบริหารราชการจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1. บังคับใช้กฎหมาย 2. สร้างสภาพแวดล้อม มีธรรมนูญปกครองชั่วคราว มีสภาปฏิรูป และสภานิติบัญญัติ 3. มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ คือจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด

สำหรับผมแล้วในฐานะปุถุชนคนธรรมดาที่รักอิสระเสรีผมย่อมโหยหาสิทธิเสรีภาพ และผมคิดว่าทุกคนในโลกนี้ก็มีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน

ไม่มีใครชมชอบอำนาจเผด็จการ โดยเฉพาะการกดทับเสรีภาพของเราด้วยปลายกระบอกปืน

แต่ในภาวะที่คำว่า “ประชาธิปไตย” กลายเป็นเครื่องมือของนายทุนที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจ และใช้อำนาจที่ซื้อหามาจากการเลือกตั้งเยี่ยงเผด็จการ กระทั่งเกิดการลุกฮือต่อต้านจนเกิดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายในชาติ บ้านเมืองตีบตันไร้หนทางออก ผมคิดว่า การหันกลับมาตั้งหลักเพื่อจัดระเบียบกันใหม่อาจจะเป็นสิ่งจำเป็น

แม้การรัฐประหารจะเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาในระบอบประชาธิปไตย แต่ดูเหมือนว่าทางออกที่จะแก้ปัญหาบ้านเมืองในวิถีประชาธิปไตยก็แทบจะไม่มี

อย่างไรก็ตาม หวังว่าระยะเวลาในการจัดระเบียบเพื่อปฏิรูปประเทศของ คสช.คงจะไม่สั้นจนเกินไป และไม่ยาวจนเกินไป ไม่สั้นจนไม่สามารถจัดการกับปัญหาบ้านเมืองได้อย่างรัฐประหารปี 2549 ที่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก และเรียนรู้บทเรียนจากรัฐบาลขิงแก่ ไม่ยาวจนเกินไปจนประชาชนรู้สึกอึดอัดกับเสรีภาพที่สูญหาย

เอาคนที่รู้ปัญหาที่แท้จริงมาใช้งาน ไม่ใช่สมบัติผลัดกันชม ไม่หลงในอำนาจ

และผมหวังว่า การลงทุนด้วยการเสียสละสิทธิเสรีภาพของประชาชนในห้วงเวลาหนึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่านำมาซึ่งประชาธิปไตยที่มั่นคงแข็งแรง และรัฐบาลประชาธิปไตยที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในอนาคต

แม้สาเหตุของการรัฐประหารครั้งนี้จะมองได้ว่า ทัศนคติของ คสช.มุ่งไปที่ความสงบสุขของบ้านเมืองมากกว่า โดยมองว่า ทุกฝ่ายคือ ปัญหาของบ้านเมือง หลังจากทางทหารได้เรียกคู่ขัดแย้งสองฝ่ายมาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ ณ วันนี้จากการติดตามข่าวสารและการทำงานของ คสช.ในห้วงหนึ่งสัปดาห์ ก็เห็นชัดเจนว่า กองทัพมุ่งเป้าไปที่การจัดการกวาดล้างระบอบทักษิณที่ฝังรากลึกในระบบราชการ ทหาร ตำรวจ และมุ่งขุดรากถอนโคนมวลชนที่ระบอบทักษิณจัดตั้งขึ้นผ่านเครือข่ายคนเสื้อแดง รวมถึงกลุ่มคนที่ใช้อาวุธสงครามปฏิบัติการใต้ดิน

การจัดการอย่างเป็นระบบนี่เองที่ทำให้เห็นว่า ทหารได้จับตาความเคลื่อนไหวขบวนการของระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงมาอย่างยาวนาน คำสั่งเรียกไปรายงานตัวของ คสช.พุ่งตรงไปที่ตัวคีย์แมนหลักในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นให้เข้ามารายงานตัวต่อทหาร เหมือนการบอกให้รู้ว่า ทหารจับตาความเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้มาตลอด

และแม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของมวลชนออกมาต่อต้านรัฐประหารอยู่บ้าง แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับยุคที่บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหารซึ่งในเวลาต่อมาพิสูจน์แล้วว่า การรัฐประหารของบิ๊กบังนั้นเพื่อช่วยทักษิณให้หลุดพ้นจาการลุกฮือขับไล่ของประชาชน และวันนี้บิ๊กบังก็แสดงตัวชัดเจนว่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับทักษิณ

และดูเหมือนแกนนำคนเสื้อแดงก็รู้ว่าเที่ยวนี้ทหารเอาจริง ที่สำคัญงานนี้ทักษิณคงรู้ว่าถอยดีกว่าแล้วรอโอกาสใหม่เมื่อการเลือกตั้งมาถึง

สิ่งที่น่ากังวลอยู่บ้างสำหรับคำสั่งของ คสช.ครั้งนี้ก็คือ การแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาที่บางคนยังมีข้อตำหนิในสายตาของประชาชน การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นสายในกลุ่มของพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นน้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาของ คสช.

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวันนี้พล.อ.ประยุทธ์และคณะ คสช.จะเป็นผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในแผ่นดิน จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในระดับหนึ่ง ผมก็ยังหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงฟังเสียงของประชาชนที่ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง

รัฐประหาร 2534 จบลงด้วยเหตุการณ์การลุกฮือของประชาชนเพื่อต่อต้านการสืบทอดอำนาจ รัฐประหาร 2549 ได้ชื่อว่าเป็นการรัฐประหารที่ล้มเหลวที่สุดทำให้ระบอบทักษิณเข้มแข็งขึ้น

ตอนนี้คนไทยส่วนหนึ่งกำลังปลื้มทหารที่เข้ามายึดอำนาจ เพราะเชื่อว่าจะจัดการกับระบอบทักษิณ และเชื่อว่าทหารจะนำความสงบสุขกลับมาสู่บ้านเมือง ผมก็เชื่อเช่นนั้น แต่ถ้าผิดจากนี้ ประวัติศาสตร์คงบอกเล่าอยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ผมได้แต่หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์และทหารจะเรียนรู้บทเรียนในอดีตและเป็นที่รักของประชาชนตลอดไป
กำลังโหลดความคิดเห็น