นอกจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่น่าเป็นห่วงมากในช่วงสัปดาห์นี้แล้ว ในเดือนพฤษภาคมนี้ คนไทยเรากำลังเผชิญกับอีกสองเหตุการณ์เป็นอย่างน้อยคือ (1) สภาพอากาศร้อนและแสงแดดจ้าอย่างรุนแรง และ (2) ค่าไฟฟ้าจะขึ้นราคาอีกสิบสตางค์ต่อหน่วยและจะขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่ค่อยมีเหตุผล
“เสียดายแดด” คือเหตุผลของเจ้าของบ้านรายหนึ่งที่ตอบคำถามกับบริษัททำธุรกิจรับติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์หรือแสงแดดเพื่อผลิตไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทมีความจำเป็นต้องทราบความต้องการของลูกค้าเพื่อจะได้ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการ แต่แทนที่เจ้าของบ้านรายนี้ซึ่งเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งหนึ่งจะตอบว่าเพื่อนำไฟฟ้ามาใช้ในบ้าน เพื่อขายไฟฟ้า หรือเพื่อลดค่าไฟฟ้า แต่เขากลับตอบอย่างสั้นๆ สะท้อนถึงจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งกินใจว่า เสียดายแดด
ผมจะลำดับบทความนี้ในรูปของการถาม-ตอบเป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ถาม ถ้าไม่ได้รับการส่งเสริมจากทางราชการ (คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน - กกพ.) หรือทางการไฟฟ้าไม่รับซื้อไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งจะคุ้มทุนหรือไม่
ตอบ ทาง กกพ.มีโครงการส่งเสริมตามโครงการ “พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา” จำนวน 200 เมกะวัตต์ โดยเป็นที่อยู่อาศัย 100 เมกะวัตต์ (ประมาณ 2 หมื่นถึง 1 แสนหลัง จากบ้านเรือนทั้งหมด 22 ล้านหลังทั่วประเทศ) โดยรับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 6.96 บาท (ปกติเราจ่ายค่าไฟฟ้าหน่วยละประมาณ 4 บาท) แต่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อน แต่ทาง กกพ.บอกว่าไม่จำเป็น เพราะไม่ถือว่าเป็นโรงงาน ขณะนี้กำลังรอการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็ยังมีความคุ้มทุน (เหตุผลจะกล่าวในข้อต่อไป)
อนึ่ง ขออธิบายถึงระบบไฟฟ้าในบ้านนิดหนึ่งครับ ถ้าเราซื้อไฟฟ้าอย่างเดียว เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์หรือหม้อไฟ ถ้าหม้อเป็นระบบจานหมุน จานก็จะหมุนไปเรื่อย ตัวเลขก็จะขึ้นจากหนึ่งหน่วยเป็นหนึ่งจุดหนึ่ง หนึ่งจุดสองหน่วยไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราติดแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อแดดออกแผงโซลาร์บนหลังคาก็จะผลิตไฟฟ้าไหลกลับไปสู่ระบบสายของการไฟฟ้า ทำให้จานหมุนถอยหลัง ตัวเลขก็ถอยหลัง พอตอนค่ำเราใช้ไฟฟ้าจานก็จะหมุนเดินหน้าเพิ่มตัวเลขในมิเตอร์ เมื่อครบสิ้นเดือนก็จ่ายค่าไฟฟ้ากันตามตัวเลขที่เหลือ
ผู้สันทัดกรณีเตือนว่า ระวังอย่าให้ตัวเลขในวันที่ถูกบันทึกน้อยกว่าตัวเลขในวันบันทึกครั้งก่อน มิฉะนั้นการไฟฟ้าอาจจะหาเรื่องเอาได้ นอกจากนี้คุณภาพของอุปกรณ์ก็ต้องได้มาตรฐาน ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ หากเกิดความเสียหายหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเราก็อาจจะมีปัญหาได้
ข้อสอง ถาม ต้องลงทุนเท่าใด ใช้พื้นที่เท่าใด และได้ผลตอบแทนเท่าใด
ตอบ ต้นทุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ (1) แผงโซลาร์ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงแดดเป็นกระแสไฟฟ้า (กระแสตรง) (2) ตัวเปลี่ยนกระแสตรงเป็นกระแสสลับ (3) อุปกรณ์อื่นๆ และค่าแรงติดตั้ง ต้นทุนของส่วนที่ (1) ประมาณ 60 ถึง 80% ของต้นทุนทั้งหมด โดยราคาแผงจะลดลงปีละประมาณ 10% ส่วนรายการ (2) ราคาลดลงเล็กน้อยและที่สำคัญขึ้นอยู่กับการได้รับรองมาตรฐานหรือไม่
ผมค้นข้อมูลจากหลายบริษัทและหลายแหล่งพบว่า ถ้าติดตั้ง 1 กิโลวัตต์ (ใช้พื้นที่ 7 ตารางเมตร) บริษัทหนึ่งบอกว่าราคา 79,000 บาท (สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 7,800 บาท หรือผลตอบแทน 9.9% ต่อปี) อีกบริษัทหนึ่งบอกว่า ขนาด 3.36 กิโลวัตต์ ราคา 270,000 บาท
ในกลางปี 2556 กกพ.ระบุว่าราคากิโลวัตต์ละประมาณ 6 หมื่นบาท (ผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 1,300 หน่วย) แต่ในเดือนเมษายน 2557 กระทรวงพลังงานบอกว่ามีโครงการจะติดตั้งบนหลังคาวิทยาลัยอาชีวะ 40 แห่งๆ ละ 40 กิโลวัตต์ราคาแห่งละ 2 ล้านบาท เฉลี่ยราคา 5 หมื่นบาทต่อกิโลวัตต์
ถ้าแต่ละกิโลวัตต์ผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 1,300 หน่วยจริง ราคาหน่วยละ 4.00 บาท (คิดเผื่อราคาใหม่ เพราะราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 57 จำนวน 141 หน่วย ราคาหน่วยละ 3.88 บาท) ถ้าต้นทุน 6 หมื่นบาท จะได้ผลตอบแทนร้อยละ 10.80 ต่อปี
การจะตัดสินใจว่าจะติดเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ไฟฟ้าเดือนละเท่าใด และต้องระวังไม่ให้ติดลบด้วย นอกจากนี้จำนวนวัตต์ที่ได้ต้องสอดคล้องกับตัวเปลี่ยนกระแส (inverter) ด้วย ซึ่งมีหลายขนาดและราคากระโดดไปตามช่วงของขนาดด้วย
ข้อสาม ถาม หลังคาจะรับน้ำหนักไหวไหม
ตอบ เมื่อติดตั้งเสร็จน้ำหนักของระบบประมาณ 17 กิโลกรัมต่อหนึ่งตารางเมตร จึงไม่น่าจะมีปัญหา
ข้อสี่ ถาม การดูแลรักษาแพงไหม และประสิทธิภาพรวมทั้งอายุการใช้งาน
ตอบ เท่าที่ถามจากผู้มีประสบการณ์บอกว่า ถ้าติดบนหลังคาไม่ต้องดูแลอะไรมาก น้ำฝนจะช่วยชะล้างฝุ่นละอองออกไปเอง ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานอาจจะลดลงเล็กน้อยเมื่อนานไป สำหรับอายุการใช้งาน 25 ปี ดังนั้นจากข้อสอง จะคุ้มทุนประมาณ 10 ปี (ถ้าลงทุนด้วยเงินสด) ที่เหลืออีก 15 ปีก็ถือว่าได้ฟรี แต่อย่าลืมว่าค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นตลอด ดังนั้นระยะเวลาคุ้มทุนจึงต้องลดลงมาอีก นี่คิดบนฐานที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเลยนะ
ข้อห้า ถาม งั้นภาครัฐไม่ต้องสนับสนุนก็เป็นไปได้แล้วนี่ จะสนับสนุนไปทำไมอีก
ตอบ ไม่ต้องสนับสนุนก็เป็นได้แล้วดังหลักฐานตัวเลขที่ปรากฏ แต่ปัญหาการจัดการไฟฟ้าไม่ได้คิดกันแค่กำไร ขาดทุนเพียงอย่างเดียว ต้องคิดให้เป็นระบบ เช่น ผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งทำลายทั้งสุขภาพและแหล่งทำมาหากินของประชาชนรอบๆโรงไฟฟ้า รวมทั้งผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโลกที่เรียกว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย จากการศึกษาพบว่าภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงแดดจะช่วยลดภาวะดังกล่าวได้ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นไปเอง ไม่มีการสนับสนุนหรือแรงจูงใจไม่มากพอ ปัญหาวิกฤตโลกร้อนก็จะไม่ลดลง ไม่ทันกับวิกฤตที่มากขึ้นซึ่งเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ถี่ขึ้นทุกขณะ
แต่การสนับสนุนที่มากเกินไปหรือสนับสนุนเฉพาะกลุ่มของตนเองหรือกลุ่มที่จ่ายเงินใต้โต๊ะก็ต้องถือว่าเป็นการคอร์รัปชันอีกรูปแบบหนึ่ง
ข้อหก ถาม ช่วยยกตัวอย่างประเทศที่มีการส่งเสริมกันแบบดีๆ ตรงไปตรงมา จนประสบผลสำเร็จให้ดูหน่อย
ตอบ เอาประเทศเยอรมนีก่อนนะ ทั้งๆ ที่มีแดดเข้มน้อยกว่าประเทศไทยมาก ในปี 2546 เยอรมนีผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ 313 ล้านหน่วย แต่ภายใต้การส่งเสริมใน 10 ปีต่อมาคือ 2556 เขาสามารถผลิตได้ 29,300 ล้านหน่วย (เพิ่มขึ้น 94 เท่าตัว) ถ้าเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนของคนไทยในปี 2555 ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 36,447 ล้านหน่วย นั่นหมายความว่าไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์จากเยอรมนีสามารถป้อนครัวเรือนในประเทศไทยได้ถึง 80%
ในตอนแรกๆ เขาอุดหนุนในราคาหน่วยละเกือบ 25 บาท แต่ปัจจุบันราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ลดลงมาเหลือไม่กี่บาท เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น คือราคาต่ำกว่าที่การไฟฟ้าขายปลีกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเสียอีก การไฟฟ้าไม่ได้นำมาขายในราคาขาดทุนนะ เพราะเขาจะคิดค่าสายส่งเข้าไปด้วย สรุปว่าในปัจจุบันปี 2557 ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์หน่วยละ 6.50 บาท โดยที่ราคาไฟฟ้าขายปลีกสำหรับบ้านอยู่อาศัยหน่วยละ 13 บาท คือแม้รับซื้อแพงก็ยังมีกำไรเพราะขายแพงกว่า
ข้อเจ็ด ถาม อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการสนับสนุนของไทยกับเยอรมนี
ตอบ ที่ตรงกันข้ามเลยก็คือ ประเทศเยอรมนีไม่มีการจำกัดโควตาหรือจำนวน ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ให้ป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งได้ก่อนโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ประเทศไทยเรามีการจำกัดจำนวนที่ 100 เมกะวัตต์สำหรับบ้านอยู่อาศัย ทั้งๆ ที่มีคนอยากจะติดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีเงินก้อนอยู่บ้าง แต่นำไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 4-5% อาจไม่คุ้มค่าเงินเฟ้อด้วยซ้ำ ถ้ามีโครงการนี้เกิดขึ้นก็ถือเป็นการกระจายรายได้
จากสถิติพบว่าร้อยละ 51 ของเจ้าของโซลาร์เซลล์ในเยอรมนีคือเจ้าของบ้านและชาวนา
ข้อแปด ถาม ประเทศอื่นเป็นอย่างไร
ตอบ ในสหรัฐอเมริกา จากสถิติพบว่าปัจจุบันทุกๆ 4 นาทีจะการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นหนึ่งหลัง โดยแนวโน้มจะมากขึ้นกว่านี้อีก คืออีก 2 ปีจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 80 วินาที แม้แต่ในทำเนียบก็เพิ่งติดเมื่อต้นเดือนนี้เอง ระบบที่ส่งเสริมเรียกว่าระบบ Net Metering โดยไม่มีการชดเชย เขาเพิ่งมีระบบใหม่ที่เข้ามาแทนที่ระบบเดิมเมื่อต้นปีนี้ คือ “ระบบคุณค่าของโซลาร์ (Value of Solar)” และเพิ่งใช้เป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ในรัฐมินเนโซต้า (Minnesota) ซึ่งอยู่ทางส่วนกลางตอนเหนือสุดของสหรัฐอเมริกาและมีความเข้มของแสงแดดน้อยกว่าประเทศไทยเล็กน้อย
แนวคิดของระบบคุณค่าขึ้นอยู่กับ 4 หลักการสำคัญคือ (1) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อเพลิงสกปรก (2) เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยเฉพาะในช่วงพีคหรือช่วงความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (ซึ่งประเทศไทยเกิดขึ้นตอนบ่ายสองโมง) (3) ทำให้ราคาไฟฟ้าคงที่นับ 25 ปี และ (4) ลดการสูญเสียไฟฟ้าในสายส่ง (เพราะผลิตที่ไหนก็ใช้ในบริเวณนั้น) รวมถึงในกระบวนการผลิตในโรงไฟฟ้าซึ่งรวมกันประมาณ 25% ของไฟฟ้าที่ได้ใช้จริง ซึ่งต้นทุนทั้ง 4 ประการเหล่านี้รวมกันประมาณ 14.5 เซนต์
ในการคิดค่าไฟฟ้าในระบบ Net Metering เขาจะหักลบกันระหว่างจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้กับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ในบ้าน แล้วคิดราคากันตามอัตราคือ 0.115 ดอลลาร์ต่อหน่วย แต่ในระบบ Value of Solar เขาจะคิดราคาอัตราไฟฟ้าที่เจ้าของบ้านผลิตได้ในราคาที่สูงกว่า เช่น 0.145 ดอลาร์ต่อหน่วย แล้วไปคิดมูลค่าของแต่ละส่วนแล้วนำมาหักลบกัน ดังตัวอย่างในรูป (10 เซนต์เท่ากับ 3.20 บาท)
ผมขอสรุปว่า บ้านหลังดังกล่าวนี้ ถ้าไม่ติดแผงโซลาร์เซลล์เลยจะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 230 ดอลลาร์ (7,360 บาท หน่วยละ 3.68 บาท-ถูกกว่าเมืองไทย! ) แต่ถ้าติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แต่ใช้ระบบ Net Metering จะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 168 ดอลลาร์ แต่ถ้าใช้ระบบคุณค่าของโซลาร์จะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 151 ดอลลาร์ ถ้าอยากจะเสียน้อยกว่านี้ก็ติดสัก 6-7 กิโลวัตต์
ข้อเก้า ถาม ถ้ามันดีอย่างนี้แล้ว ทำไมประเทศไทยจึงไม่ส่งเสริมละ!
ตอบ ต้องถามกลับว่าใครเป็นผู้กำหนดนโยบายไฟฟ้า ไฟฟ้าในประเทศไทย 67% ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ และ 20% จากถ่านหินและลิกไนต์ แล้วใครผูกขาดก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน รวม 2 อย่างก็ปาเข้าไปเกือบ 90% แล้ว ที่นำเข้าส่วนใหญ่ก็ผลิตจากถ่านหินโดยนักลงทุนไทย
ข้อสิบ ถาม ทางราชการอ้างว่าราคาไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีราคาแพง กลางคืนจะเอาไฟฟ้าที่ไหนใช้ ถ้าฝนตกนานๆ แล้วทำอย่างไร
ตอบ เรื่องราคาแพง ก็ไม่ได้แพงมากดังที่ถูกเขาหลอกให้เข้าใจผิด เรื่องกลางคืนก็ยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นอยู่ เรื่องฝนตกมันไม่ได้ตกพร้อมกันทั้งประเทศหรอก และเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าอะไรน่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เราก็เตรียมการได้ ตอนนี้เขาใช้แสงอาทิตย์ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่สารบางตัวทำให้น้ำร้อนถึง 550 องศา และร้อนอยู่นานถึง 7 วัน สามารถนำมาใช้เป็นไฟฟ้าฐาน (Base Load) ได้สบายๆ ไม่ต้องใช้ถ่านหิน
ดังนั้นอย่ามาอ้างหรือมโนกันไปอย่างข้างๆ คูๆ โลกเขาก้าวหน้ากันไปถึงไหนกันแล้ว
สิบเอ็ด ถาม ถ้าอย่างนั้นคนที่เข้าใจแล้ว รวมทั้งคนที่เสียดายแดดควรจะทำอย่างไร
ตอบ ผมคิดว่าควรทำสองอย่าง คือ หนึ่ง ประชาชนจะต้องรวมตัวกันเป็นองค์กรเครือข่ายร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ตามคำขวัญ “สร้างองค์ความรู้เพื่อประชาชน สร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนา” สอง คนที่มีความพร้อมทางการเงินควรจะติดตั้งเลย และเพื่อทำเป็นตัวอย่างให้เกิดการแลกเปลี่ยนพูดคุยและเผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังมีความรู้ไม่รอบด้านพอ ท่านที่มีความรู้และประสบการณ์โปรดช่วยกันครับ ขณะนี้คนที่ผมเล่าให้ฟังและรู้สึกยินดีจะติดตั้งกับผมแล้ว 3 คนและหนึ่งองค์กร บริษัทที่รับติดตั้งก็ควรจะร่วมมือกันลดราคาลงมาให้สมเหตุสมผลครับ
เพราะเรามีความรู้สึกร่วมกันคือ เสียดายแดด
หมายเหตุ : ภาพสุดท้าย เพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น ผมได้แนบใบโฆษณาโดยตัดชื่อบริษัทออกไปครับ
“เสียดายแดด” คือเหตุผลของเจ้าของบ้านรายหนึ่งที่ตอบคำถามกับบริษัททำธุรกิจรับติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์หรือแสงแดดเพื่อผลิตไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทมีความจำเป็นต้องทราบความต้องการของลูกค้าเพื่อจะได้ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการ แต่แทนที่เจ้าของบ้านรายนี้ซึ่งเป็นอาจารย์ในสถาบันแห่งหนึ่งจะตอบว่าเพื่อนำไฟฟ้ามาใช้ในบ้าน เพื่อขายไฟฟ้า หรือเพื่อลดค่าไฟฟ้า แต่เขากลับตอบอย่างสั้นๆ สะท้อนถึงจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งกินใจว่า เสียดายแดด
ผมจะลำดับบทความนี้ในรูปของการถาม-ตอบเป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ถาม ถ้าไม่ได้รับการส่งเสริมจากทางราชการ (คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน - กกพ.) หรือทางการไฟฟ้าไม่รับซื้อไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งจะคุ้มทุนหรือไม่
ตอบ ทาง กกพ.มีโครงการส่งเสริมตามโครงการ “พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา” จำนวน 200 เมกะวัตต์ โดยเป็นที่อยู่อาศัย 100 เมกะวัตต์ (ประมาณ 2 หมื่นถึง 1 แสนหลัง จากบ้านเรือนทั้งหมด 22 ล้านหลังทั่วประเทศ) โดยรับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 6.96 บาท (ปกติเราจ่ายค่าไฟฟ้าหน่วยละประมาณ 4 บาท) แต่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อน แต่ทาง กกพ.บอกว่าไม่จำเป็น เพราะไม่ถือว่าเป็นโรงงาน ขณะนี้กำลังรอการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็ยังมีความคุ้มทุน (เหตุผลจะกล่าวในข้อต่อไป)
อนึ่ง ขออธิบายถึงระบบไฟฟ้าในบ้านนิดหนึ่งครับ ถ้าเราซื้อไฟฟ้าอย่างเดียว เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านมิเตอร์หรือหม้อไฟ ถ้าหม้อเป็นระบบจานหมุน จานก็จะหมุนไปเรื่อย ตัวเลขก็จะขึ้นจากหนึ่งหน่วยเป็นหนึ่งจุดหนึ่ง หนึ่งจุดสองหน่วยไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราติดแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อแดดออกแผงโซลาร์บนหลังคาก็จะผลิตไฟฟ้าไหลกลับไปสู่ระบบสายของการไฟฟ้า ทำให้จานหมุนถอยหลัง ตัวเลขก็ถอยหลัง พอตอนค่ำเราใช้ไฟฟ้าจานก็จะหมุนเดินหน้าเพิ่มตัวเลขในมิเตอร์ เมื่อครบสิ้นเดือนก็จ่ายค่าไฟฟ้ากันตามตัวเลขที่เหลือ
ผู้สันทัดกรณีเตือนว่า ระวังอย่าให้ตัวเลขในวันที่ถูกบันทึกน้อยกว่าตัวเลขในวันบันทึกครั้งก่อน มิฉะนั้นการไฟฟ้าอาจจะหาเรื่องเอาได้ นอกจากนี้คุณภาพของอุปกรณ์ก็ต้องได้มาตรฐาน ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ หากเกิดความเสียหายหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเราก็อาจจะมีปัญหาได้
ข้อสอง ถาม ต้องลงทุนเท่าใด ใช้พื้นที่เท่าใด และได้ผลตอบแทนเท่าใด
ตอบ ต้นทุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ (1) แผงโซลาร์ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงแดดเป็นกระแสไฟฟ้า (กระแสตรง) (2) ตัวเปลี่ยนกระแสตรงเป็นกระแสสลับ (3) อุปกรณ์อื่นๆ และค่าแรงติดตั้ง ต้นทุนของส่วนที่ (1) ประมาณ 60 ถึง 80% ของต้นทุนทั้งหมด โดยราคาแผงจะลดลงปีละประมาณ 10% ส่วนรายการ (2) ราคาลดลงเล็กน้อยและที่สำคัญขึ้นอยู่กับการได้รับรองมาตรฐานหรือไม่
ผมค้นข้อมูลจากหลายบริษัทและหลายแหล่งพบว่า ถ้าติดตั้ง 1 กิโลวัตต์ (ใช้พื้นที่ 7 ตารางเมตร) บริษัทหนึ่งบอกว่าราคา 79,000 บาท (สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 7,800 บาท หรือผลตอบแทน 9.9% ต่อปี) อีกบริษัทหนึ่งบอกว่า ขนาด 3.36 กิโลวัตต์ ราคา 270,000 บาท
ในกลางปี 2556 กกพ.ระบุว่าราคากิโลวัตต์ละประมาณ 6 หมื่นบาท (ผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 1,300 หน่วย) แต่ในเดือนเมษายน 2557 กระทรวงพลังงานบอกว่ามีโครงการจะติดตั้งบนหลังคาวิทยาลัยอาชีวะ 40 แห่งๆ ละ 40 กิโลวัตต์ราคาแห่งละ 2 ล้านบาท เฉลี่ยราคา 5 หมื่นบาทต่อกิโลวัตต์
ถ้าแต่ละกิโลวัตต์ผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 1,300 หน่วยจริง ราคาหน่วยละ 4.00 บาท (คิดเผื่อราคาใหม่ เพราะราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 57 จำนวน 141 หน่วย ราคาหน่วยละ 3.88 บาท) ถ้าต้นทุน 6 หมื่นบาท จะได้ผลตอบแทนร้อยละ 10.80 ต่อปี
การจะตัดสินใจว่าจะติดเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ไฟฟ้าเดือนละเท่าใด และต้องระวังไม่ให้ติดลบด้วย นอกจากนี้จำนวนวัตต์ที่ได้ต้องสอดคล้องกับตัวเปลี่ยนกระแส (inverter) ด้วย ซึ่งมีหลายขนาดและราคากระโดดไปตามช่วงของขนาดด้วย
ข้อสาม ถาม หลังคาจะรับน้ำหนักไหวไหม
ตอบ เมื่อติดตั้งเสร็จน้ำหนักของระบบประมาณ 17 กิโลกรัมต่อหนึ่งตารางเมตร จึงไม่น่าจะมีปัญหา
ข้อสี่ ถาม การดูแลรักษาแพงไหม และประสิทธิภาพรวมทั้งอายุการใช้งาน
ตอบ เท่าที่ถามจากผู้มีประสบการณ์บอกว่า ถ้าติดบนหลังคาไม่ต้องดูแลอะไรมาก น้ำฝนจะช่วยชะล้างฝุ่นละอองออกไปเอง ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานอาจจะลดลงเล็กน้อยเมื่อนานไป สำหรับอายุการใช้งาน 25 ปี ดังนั้นจากข้อสอง จะคุ้มทุนประมาณ 10 ปี (ถ้าลงทุนด้วยเงินสด) ที่เหลืออีก 15 ปีก็ถือว่าได้ฟรี แต่อย่าลืมว่าค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นตลอด ดังนั้นระยะเวลาคุ้มทุนจึงต้องลดลงมาอีก นี่คิดบนฐานที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเลยนะ
ข้อห้า ถาม งั้นภาครัฐไม่ต้องสนับสนุนก็เป็นไปได้แล้วนี่ จะสนับสนุนไปทำไมอีก
ตอบ ไม่ต้องสนับสนุนก็เป็นได้แล้วดังหลักฐานตัวเลขที่ปรากฏ แต่ปัญหาการจัดการไฟฟ้าไม่ได้คิดกันแค่กำไร ขาดทุนเพียงอย่างเดียว ต้องคิดให้เป็นระบบ เช่น ผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งทำลายทั้งสุขภาพและแหล่งทำมาหากินของประชาชนรอบๆโรงไฟฟ้า รวมทั้งผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโลกที่เรียกว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย จากการศึกษาพบว่าภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงแดดจะช่วยลดภาวะดังกล่าวได้ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นไปเอง ไม่มีการสนับสนุนหรือแรงจูงใจไม่มากพอ ปัญหาวิกฤตโลกร้อนก็จะไม่ลดลง ไม่ทันกับวิกฤตที่มากขึ้นซึ่งเห็นได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ถี่ขึ้นทุกขณะ
แต่การสนับสนุนที่มากเกินไปหรือสนับสนุนเฉพาะกลุ่มของตนเองหรือกลุ่มที่จ่ายเงินใต้โต๊ะก็ต้องถือว่าเป็นการคอร์รัปชันอีกรูปแบบหนึ่ง
ข้อหก ถาม ช่วยยกตัวอย่างประเทศที่มีการส่งเสริมกันแบบดีๆ ตรงไปตรงมา จนประสบผลสำเร็จให้ดูหน่อย
ตอบ เอาประเทศเยอรมนีก่อนนะ ทั้งๆ ที่มีแดดเข้มน้อยกว่าประเทศไทยมาก ในปี 2546 เยอรมนีผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ 313 ล้านหน่วย แต่ภายใต้การส่งเสริมใน 10 ปีต่อมาคือ 2556 เขาสามารถผลิตได้ 29,300 ล้านหน่วย (เพิ่มขึ้น 94 เท่าตัว) ถ้าเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนของคนไทยในปี 2555 ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 36,447 ล้านหน่วย นั่นหมายความว่าไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์จากเยอรมนีสามารถป้อนครัวเรือนในประเทศไทยได้ถึง 80%
ในตอนแรกๆ เขาอุดหนุนในราคาหน่วยละเกือบ 25 บาท แต่ปัจจุบันราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ลดลงมาเหลือไม่กี่บาท เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น คือราคาต่ำกว่าที่การไฟฟ้าขายปลีกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเสียอีก การไฟฟ้าไม่ได้นำมาขายในราคาขาดทุนนะ เพราะเขาจะคิดค่าสายส่งเข้าไปด้วย สรุปว่าในปัจจุบันปี 2557 ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์หน่วยละ 6.50 บาท โดยที่ราคาไฟฟ้าขายปลีกสำหรับบ้านอยู่อาศัยหน่วยละ 13 บาท คือแม้รับซื้อแพงก็ยังมีกำไรเพราะขายแพงกว่า
ข้อเจ็ด ถาม อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการสนับสนุนของไทยกับเยอรมนี
ตอบ ที่ตรงกันข้ามเลยก็คือ ประเทศเยอรมนีไม่มีการจำกัดโควตาหรือจำนวน ใครก็ตามที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ให้ป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งได้ก่อนโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ประเทศไทยเรามีการจำกัดจำนวนที่ 100 เมกะวัตต์สำหรับบ้านอยู่อาศัย ทั้งๆ ที่มีคนอยากจะติดจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีเงินก้อนอยู่บ้าง แต่นำไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 4-5% อาจไม่คุ้มค่าเงินเฟ้อด้วยซ้ำ ถ้ามีโครงการนี้เกิดขึ้นก็ถือเป็นการกระจายรายได้
จากสถิติพบว่าร้อยละ 51 ของเจ้าของโซลาร์เซลล์ในเยอรมนีคือเจ้าของบ้านและชาวนา
ข้อแปด ถาม ประเทศอื่นเป็นอย่างไร
ตอบ ในสหรัฐอเมริกา จากสถิติพบว่าปัจจุบันทุกๆ 4 นาทีจะการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นหนึ่งหลัง โดยแนวโน้มจะมากขึ้นกว่านี้อีก คืออีก 2 ปีจะเพิ่มขึ้นทุกๆ 80 วินาที แม้แต่ในทำเนียบก็เพิ่งติดเมื่อต้นเดือนนี้เอง ระบบที่ส่งเสริมเรียกว่าระบบ Net Metering โดยไม่มีการชดเชย เขาเพิ่งมีระบบใหม่ที่เข้ามาแทนที่ระบบเดิมเมื่อต้นปีนี้ คือ “ระบบคุณค่าของโซลาร์ (Value of Solar)” และเพิ่งใช้เป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ในรัฐมินเนโซต้า (Minnesota) ซึ่งอยู่ทางส่วนกลางตอนเหนือสุดของสหรัฐอเมริกาและมีความเข้มของแสงแดดน้อยกว่าประเทศไทยเล็กน้อย
แนวคิดของระบบคุณค่าขึ้นอยู่กับ 4 หลักการสำคัญคือ (1) เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อเพลิงสกปรก (2) เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยเฉพาะในช่วงพีคหรือช่วงความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (ซึ่งประเทศไทยเกิดขึ้นตอนบ่ายสองโมง) (3) ทำให้ราคาไฟฟ้าคงที่นับ 25 ปี และ (4) ลดการสูญเสียไฟฟ้าในสายส่ง (เพราะผลิตที่ไหนก็ใช้ในบริเวณนั้น) รวมถึงในกระบวนการผลิตในโรงไฟฟ้าซึ่งรวมกันประมาณ 25% ของไฟฟ้าที่ได้ใช้จริง ซึ่งต้นทุนทั้ง 4 ประการเหล่านี้รวมกันประมาณ 14.5 เซนต์
ในการคิดค่าไฟฟ้าในระบบ Net Metering เขาจะหักลบกันระหว่างจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้กับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ในบ้าน แล้วคิดราคากันตามอัตราคือ 0.115 ดอลลาร์ต่อหน่วย แต่ในระบบ Value of Solar เขาจะคิดราคาอัตราไฟฟ้าที่เจ้าของบ้านผลิตได้ในราคาที่สูงกว่า เช่น 0.145 ดอลาร์ต่อหน่วย แล้วไปคิดมูลค่าของแต่ละส่วนแล้วนำมาหักลบกัน ดังตัวอย่างในรูป (10 เซนต์เท่ากับ 3.20 บาท)
ผมขอสรุปว่า บ้านหลังดังกล่าวนี้ ถ้าไม่ติดแผงโซลาร์เซลล์เลยจะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 230 ดอลลาร์ (7,360 บาท หน่วยละ 3.68 บาท-ถูกกว่าเมืองไทย! ) แต่ถ้าติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แต่ใช้ระบบ Net Metering จะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 168 ดอลลาร์ แต่ถ้าใช้ระบบคุณค่าของโซลาร์จะเสียค่าไฟฟ้าเดือนละ 151 ดอลลาร์ ถ้าอยากจะเสียน้อยกว่านี้ก็ติดสัก 6-7 กิโลวัตต์
ข้อเก้า ถาม ถ้ามันดีอย่างนี้แล้ว ทำไมประเทศไทยจึงไม่ส่งเสริมละ!
ตอบ ต้องถามกลับว่าใครเป็นผู้กำหนดนโยบายไฟฟ้า ไฟฟ้าในประเทศไทย 67% ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ และ 20% จากถ่านหินและลิกไนต์ แล้วใครผูกขาดก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน รวม 2 อย่างก็ปาเข้าไปเกือบ 90% แล้ว ที่นำเข้าส่วนใหญ่ก็ผลิตจากถ่านหินโดยนักลงทุนไทย
ข้อสิบ ถาม ทางราชการอ้างว่าราคาไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีราคาแพง กลางคืนจะเอาไฟฟ้าที่ไหนใช้ ถ้าฝนตกนานๆ แล้วทำอย่างไร
ตอบ เรื่องราคาแพง ก็ไม่ได้แพงมากดังที่ถูกเขาหลอกให้เข้าใจผิด เรื่องกลางคืนก็ยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นอยู่ เรื่องฝนตกมันไม่ได้ตกพร้อมกันทั้งประเทศหรอก และเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าอะไรน่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เราก็เตรียมการได้ ตอนนี้เขาใช้แสงอาทิตย์ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่สารบางตัวทำให้น้ำร้อนถึง 550 องศา และร้อนอยู่นานถึง 7 วัน สามารถนำมาใช้เป็นไฟฟ้าฐาน (Base Load) ได้สบายๆ ไม่ต้องใช้ถ่านหิน
ดังนั้นอย่ามาอ้างหรือมโนกันไปอย่างข้างๆ คูๆ โลกเขาก้าวหน้ากันไปถึงไหนกันแล้ว
สิบเอ็ด ถาม ถ้าอย่างนั้นคนที่เข้าใจแล้ว รวมทั้งคนที่เสียดายแดดควรจะทำอย่างไร
ตอบ ผมคิดว่าควรทำสองอย่าง คือ หนึ่ง ประชาชนจะต้องรวมตัวกันเป็นองค์กรเครือข่ายร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ตามคำขวัญ “สร้างองค์ความรู้เพื่อประชาชน สร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนา” สอง คนที่มีความพร้อมทางการเงินควรจะติดตั้งเลย และเพื่อทำเป็นตัวอย่างให้เกิดการแลกเปลี่ยนพูดคุยและเผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังมีความรู้ไม่รอบด้านพอ ท่านที่มีความรู้และประสบการณ์โปรดช่วยกันครับ ขณะนี้คนที่ผมเล่าให้ฟังและรู้สึกยินดีจะติดตั้งกับผมแล้ว 3 คนและหนึ่งองค์กร บริษัทที่รับติดตั้งก็ควรจะร่วมมือกันลดราคาลงมาให้สมเหตุสมผลครับ
เพราะเรามีความรู้สึกร่วมกันคือ เสียดายแดด
หมายเหตุ : ภาพสุดท้าย เพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น ผมได้แนบใบโฆษณาโดยตัดชื่อบริษัทออกไปครับ