นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการใช้อำนาจของ นายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และเลขานุกรศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ(ศอ.รส.) ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มอบหมายให้นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าทีมติดตามคดีนี้มี นายราเมศ รัตนะชเวง ร่วมทีม ดำเนินคดีกับนายธาริต และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ ศอ.รส. เพราะมีข้อน่าสงสัยหลายประการ คือ
1. คำสั่งแต่งตั้ง ศอ.รส. ไม่มีโครงสร้างที่แต่งตั้งโดย กอ.รมน.นอกจากการแต่งตั้ง รมว.แรงงาน ให้เป็น ผอ.ศอ.รส. เท่านั้น แต่ขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พ้นตำแหน่งรมว.แรงงานไปแล้ว จึงมีคำถามว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ศอ.รส. ใช้กฎหมายใดรองรับ
2. การปฏิบัติหน้าที่ของศอ.รส. ลุกลี้ลุกลน สนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างออกนอกหน้า เคยมีการอายัดบัญชีแกนนำ กปปส.และสมาชิกพรรค แต่เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษว่า ไม่สามารถอายัดได้ เพราะไม่มีการขออนุญาตไปยัง ป.ป.ง. ทำให้มีการถอนการอายัดดังกล่าว ซึงถือว่าการทำผิดสำเร็จแล้วในการใช้อำนาจโดยมิชอบ
3. การออกหมายจับ 31 แกนนำ กปปส. มีความพิลึกอย่างยิ่ง เพราะขอหมายจากศาลยุติธรรม ทำให้ศาลเข้าใจผิดว่า ถูกฟ้องแล้วจากอัยการ แต่เมื่อผู้ถูกออกหมายจับ คือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปมอบตัว ได้รับแจ้งจากศาลว่า อยู่ในขั้นตอนการส่งฟ้องกับศาลเท่านั้น เมื่อกลับไปยังอัยการ ก็แจ้งว่ายังไม่ได้สั่งฟ้อง แค่เห็นว่าสมควรฟ้องแต่ยังไม่สั่งฟ้อง จึงเป็นการลักไก่ ออกหมายของดีเอสไอ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ผิดขั้นตอนกฎหมาย กลั่นแกล้งผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล
"การบุกเข้าจับกุมตัว นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และ นายสาธิต เซกัล กระทำเหมือนการจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ มีการพกพาอาวุธ จนชาวบ้านแตกตื่น เป็นการปฏิบัติที่เกินขอบเขต ใช้อำนาจมิชอบ ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชนชัดเจน ผมย้ำว่า ปฏิบัติการทั้งหมดบงการโดย นายธาริต จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีกับนายธาริต และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตในการคุกคามประชาชนอีกต่อไป" นายชวนนท์ กล่าว
** เตรียมฟ้อง"ธาริต"
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การขอศาลออกหมายจับแกนนำ กปปส. ของดีเอสไอ และมีการจับกุม นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ มีการยื่นต่อศาล เพื่อขอฝากขังแต่ศาลยกคำร้องดังกล่าวว่า เป็นประเด็นสำคัญของกระบวนการยุติธรรม เพราะกระทบสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ การกระทำของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะศาลมีคำสั่งระบุชัดเจนในรายงานกระบวนพิจารณาว่า เจ้าพนักงานมีอำนาจควบคุมเท่าที่จำเป็นในการนำตัวส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น เพราะเป็นการขอหมายจับเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล แต่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ กลับยื่นคำร้องขอฝากขัง เพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งตามหลักกฎหมายไม่มีสิทธิทำได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของศาล พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจควบคุมตัวแกนนำ กปปส. เพราะต้องควบคุมเท่าที่จำเป็น เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลโดยประสานกับทางอัยการเท่านั้น จะลักไก่ควบคุมตัวแกนนำกปปส.ไว้ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขัดต่อบทบัญญัติกฎหมาย เว้นแต่อัยการจะมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ที่ดีเอสไอแล้ว จึงขอเรียกร้องไปยังอัยการ ว่า เรื่องนี้กระทบสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ ดังนั้น อัยการและดีเอสไอ ต้องประสานให้เกิดความชัดเจนว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องใคร ร่างคำฟ้องเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้ว ก็ต้องแจ้งไปยังดีเอสไอ ให้นำตัวผู้ต้องหาไปยื่นฟ้องต่อศาล ไม่ใช่ ดีเอสไอ ลุยจับแต่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย อัยการอย่าตกเป็นเครื่องมือของดีเอสไอ
"สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เพราะกระบวนการดำเนินคดีต้องอยู่บนพื้นฐานกฎหมายอาญา หากไม่ดำเนินการตามนี้ ก็เตรียมตัวเข้าคุกได้เลย ผมเห็นว่า นายธาริต ต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นอธิบดีดีเอสไอแต่กลับไม่มีความรู้ทางกฎหมายสมควรลาออกจากการเป็น อธิบดีดีเอสไอ และขอกล่าวหาว่าทำงานเพื่อสนองฝ่ายการเมืองเป็นที่ตั้ง ทั้งที่ต้องยึดถือหลักกฎหมายของบ้านเมือง เรื่องนี้นายนิพิฏฐ์ และผมจะประชุมในวันนี้ รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตาม มาตรา 157 กับพนักงานสอบสวน และอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งคณะทำงานกฎหมายของ กปปส. ก็เตรียมที่จะดำเนินคดีด้วยเช่นเดียวกัน" นายราเมศ กล่าว
** "ปึ้ง"แจ้งจับตุลาการส่อหมิ่นศาล
ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แจ้งความต่อ ป.ป.ป. ให้ดำเนินคดีกับตุลาการนั้น ตนขอประนามการกระทำดังกล่าว เพราะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ทราบดีว่า กระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อยู่บนพื้นฐานหลักเกณฑ์ความถูกต้องและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความหมายกับพรรคเพื่อไทย แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ผูกพันทุกองค์กร เพราะพรรคเพื่อไทยกับพวกไม่ยอมรับ เมื่อนายสุรพงษ์ กล้าดำเนินคดีกับตุลาการ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย เนื่องจากตุลาการ ก็มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง การแจ้งความดังกล่าว ขอให้เตรียมตัวรอรับผิดด้วย เนื่องจากเข้าข่ายแจ้งความเท็จ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูหมิ่นศาล และหมิ่นประมาท และที่มีความพยายามโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ ก็เพราะวิ่งเต้นไม่ได้ จึงขอให้คนไทยให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นวิกฤตจากการทำลายล้างของคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง
**ประณามมือบึ้ม-กราดยิงกปปส.
รายงานข่าวแจ้งว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการไทยนำตัวผู้สังหารประชาชนอย่างน้อยสามคนมาลงโทษ จากเหตุการณ์ยิงระเบิดและกราดยิงใส่ที่ตั้งของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
รูเปิร์ต แอบบอต (Rupert Abbott) รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า การโจมตีอย่างน่ารังเกียจในครั้งนี้สะท้อนภาพความรุนแรงทางการเมืองที่เข้มข้นครั้งล่าสุด ทางการต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย
“หากไม่สามารถสอบสวนการโจมตีครั้งนี้ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ย่อมส่งสัญญาณถึงการลอยนวลพ้นผิดในไทย และความเสี่ยงที่จะเกิดวงจรความชั่วร้ายที่เป็นการตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากขึ้น ทั้งยังเป็นการปฏิเสธ ‘สิทธิด้านความยุติธรรม’ ของเหยื่อและครอบครัวอีกด้วย”
ทั้งนี้ เช้าวันที่ 15 พ.ค.57 มีการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ได้บุกเข้าไปบริเวณที่ตั้งกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสามราย และบาดเจ็บกว่า 20 ราย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่เลวร้ายลงของไทย โดยผู้ประท้วงต่างจัดการชุมนุมและมีการบุกเข้าไปในอาคารสถานที่ราชการเพื่อหวังจะโค่นรัฐบาล
“แกนนำทางการเมืองของทุกฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบในการประกันว่าจะไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายจนควบคุมไม่ได้ และต้องแสดงท่าทีอย่างชัดเจนต่อผู้สนับสนุนของตนว่า ไม่อาจยอมรับให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ รวมทั้งที่มีสาเหตุมาจากความเห็นทางการเมือง และควรให้ความร่วมมือกับการสอบสวนเมื่อเกิดการละเมิดดังกล่าวขึ้น ส่วนกองกำลังฝ่ายความมั่นคงต้องให้การคุ้มครองอย่างเพียงพอต่อผู้ประท้วง และต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบและสันติ และเสรีภาพในการแสดงออกด้วย” รูเปิร์ตกล่าว
ในช่วงปีนี้ได้เกิดเหตุความรุนแรงทางการเมืองหลายครั้งในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและบาดเจ็บหลายร้อยคน แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์เหล่านี้โดยทันที อย่างรอบคอบ และอย่างไม่ลำเอียง
1. คำสั่งแต่งตั้ง ศอ.รส. ไม่มีโครงสร้างที่แต่งตั้งโดย กอ.รมน.นอกจากการแต่งตั้ง รมว.แรงงาน ให้เป็น ผอ.ศอ.รส. เท่านั้น แต่ขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พ้นตำแหน่งรมว.แรงงานไปแล้ว จึงมีคำถามว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ ศอ.รส. ใช้กฎหมายใดรองรับ
2. การปฏิบัติหน้าที่ของศอ.รส. ลุกลี้ลุกลน สนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างออกนอกหน้า เคยมีการอายัดบัญชีแกนนำ กปปส.และสมาชิกพรรค แต่เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษว่า ไม่สามารถอายัดได้ เพราะไม่มีการขออนุญาตไปยัง ป.ป.ง. ทำให้มีการถอนการอายัดดังกล่าว ซึงถือว่าการทำผิดสำเร็จแล้วในการใช้อำนาจโดยมิชอบ
3. การออกหมายจับ 31 แกนนำ กปปส. มีความพิลึกอย่างยิ่ง เพราะขอหมายจากศาลยุติธรรม ทำให้ศาลเข้าใจผิดว่า ถูกฟ้องแล้วจากอัยการ แต่เมื่อผู้ถูกออกหมายจับ คือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ไปมอบตัว ได้รับแจ้งจากศาลว่า อยู่ในขั้นตอนการส่งฟ้องกับศาลเท่านั้น เมื่อกลับไปยังอัยการ ก็แจ้งว่ายังไม่ได้สั่งฟ้อง แค่เห็นว่าสมควรฟ้องแต่ยังไม่สั่งฟ้อง จึงเป็นการลักไก่ ออกหมายของดีเอสไอ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ผิดขั้นตอนกฎหมาย กลั่นแกล้งผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล
"การบุกเข้าจับกุมตัว นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ และ นายสาธิต เซกัล กระทำเหมือนการจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ มีการพกพาอาวุธ จนชาวบ้านแตกตื่น เป็นการปฏิบัติที่เกินขอบเขต ใช้อำนาจมิชอบ ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชนชัดเจน ผมย้ำว่า ปฏิบัติการทั้งหมดบงการโดย นายธาริต จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีกับนายธาริต และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตในการคุกคามประชาชนอีกต่อไป" นายชวนนท์ กล่าว
** เตรียมฟ้อง"ธาริต"
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การขอศาลออกหมายจับแกนนำ กปปส. ของดีเอสไอ และมีการจับกุม นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ มีการยื่นต่อศาล เพื่อขอฝากขังแต่ศาลยกคำร้องดังกล่าวว่า เป็นประเด็นสำคัญของกระบวนการยุติธรรม เพราะกระทบสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ การกระทำของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะศาลมีคำสั่งระบุชัดเจนในรายงานกระบวนพิจารณาว่า เจ้าพนักงานมีอำนาจควบคุมเท่าที่จำเป็นในการนำตัวส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น เพราะเป็นการขอหมายจับเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล แต่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ กลับยื่นคำร้องขอฝากขัง เพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งตามหลักกฎหมายไม่มีสิทธิทำได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของศาล พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจควบคุมตัวแกนนำ กปปส. เพราะต้องควบคุมเท่าที่จำเป็น เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลโดยประสานกับทางอัยการเท่านั้น จะลักไก่ควบคุมตัวแกนนำกปปส.ไว้ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ขัดต่อบทบัญญัติกฎหมาย เว้นแต่อัยการจะมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม เพราะอำนาจไม่ได้อยู่ที่ดีเอสไอแล้ว จึงขอเรียกร้องไปยังอัยการ ว่า เรื่องนี้กระทบสิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ ดังนั้น อัยการและดีเอสไอ ต้องประสานให้เกิดความชัดเจนว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องใคร ร่างคำฟ้องเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้ว ก็ต้องแจ้งไปยังดีเอสไอ ให้นำตัวผู้ต้องหาไปยื่นฟ้องต่อศาล ไม่ใช่ ดีเอสไอ ลุยจับแต่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย อัยการอย่าตกเป็นเครื่องมือของดีเอสไอ
"สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เพราะกระบวนการดำเนินคดีต้องอยู่บนพื้นฐานกฎหมายอาญา หากไม่ดำเนินการตามนี้ ก็เตรียมตัวเข้าคุกได้เลย ผมเห็นว่า นายธาริต ต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นอธิบดีดีเอสไอแต่กลับไม่มีความรู้ทางกฎหมายสมควรลาออกจากการเป็น อธิบดีดีเอสไอ และขอกล่าวหาว่าทำงานเพื่อสนองฝ่ายการเมืองเป็นที่ตั้ง ทั้งที่ต้องยึดถือหลักกฎหมายของบ้านเมือง เรื่องนี้นายนิพิฏฐ์ และผมจะประชุมในวันนี้ รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตาม มาตรา 157 กับพนักงานสอบสวน และอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งคณะทำงานกฎหมายของ กปปส. ก็เตรียมที่จะดำเนินคดีด้วยเช่นเดียวกัน" นายราเมศ กล่าว
** "ปึ้ง"แจ้งจับตุลาการส่อหมิ่นศาล
ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แจ้งความต่อ ป.ป.ป. ให้ดำเนินคดีกับตุลาการนั้น ตนขอประนามการกระทำดังกล่าว เพราะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ทราบดีว่า กระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อยู่บนพื้นฐานหลักเกณฑ์ความถูกต้องและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความหมายกับพรรคเพื่อไทย แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ผูกพันทุกองค์กร เพราะพรรคเพื่อไทยกับพวกไม่ยอมรับ เมื่อนายสุรพงษ์ กล้าดำเนินคดีกับตุลาการ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย เนื่องจากตุลาการ ก็มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเอง การแจ้งความดังกล่าว ขอให้เตรียมตัวรอรับผิดด้วย เนื่องจากเข้าข่ายแจ้งความเท็จ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูหมิ่นศาล และหมิ่นประมาท และที่มีความพยายามโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ ก็เพราะวิ่งเต้นไม่ได้ จึงขอให้คนไทยให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นวิกฤตจากการทำลายล้างของคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง
**ประณามมือบึ้ม-กราดยิงกปปส.
รายงานข่าวแจ้งว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการไทยนำตัวผู้สังหารประชาชนอย่างน้อยสามคนมาลงโทษ จากเหตุการณ์ยิงระเบิดและกราดยิงใส่ที่ตั้งของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
รูเปิร์ต แอบบอต (Rupert Abbott) รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า การโจมตีอย่างน่ารังเกียจในครั้งนี้สะท้อนภาพความรุนแรงทางการเมืองที่เข้มข้นครั้งล่าสุด ทางการต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย
“หากไม่สามารถสอบสวนการโจมตีครั้งนี้ และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ย่อมส่งสัญญาณถึงการลอยนวลพ้นผิดในไทย และความเสี่ยงที่จะเกิดวงจรความชั่วร้ายที่เป็นการตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากขึ้น ทั้งยังเป็นการปฏิเสธ ‘สิทธิด้านความยุติธรรม’ ของเหยื่อและครอบครัวอีกด้วย”
ทั้งนี้ เช้าวันที่ 15 พ.ค.57 มีการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ได้บุกเข้าไปบริเวณที่ตั้งกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสามราย และบาดเจ็บกว่า 20 ราย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่เลวร้ายลงของไทย โดยผู้ประท้วงต่างจัดการชุมนุมและมีการบุกเข้าไปในอาคารสถานที่ราชการเพื่อหวังจะโค่นรัฐบาล
“แกนนำทางการเมืองของทุกฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบในการประกันว่าจะไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายจนควบคุมไม่ได้ และต้องแสดงท่าทีอย่างชัดเจนต่อผู้สนับสนุนของตนว่า ไม่อาจยอมรับให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ รวมทั้งที่มีสาเหตุมาจากความเห็นทางการเมือง และควรให้ความร่วมมือกับการสอบสวนเมื่อเกิดการละเมิดดังกล่าวขึ้น ส่วนกองกำลังฝ่ายความมั่นคงต้องให้การคุ้มครองอย่างเพียงพอต่อผู้ประท้วง และต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบและสันติ และเสรีภาพในการแสดงออกด้วย” รูเปิร์ตกล่าว
ในช่วงปีนี้ได้เกิดเหตุความรุนแรงทางการเมืองหลายครั้งในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและบาดเจ็บหลายร้อยคน แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์เหล่านี้โดยทันที อย่างรอบคอบ และอย่างไม่ลำเอียง