ผมเขียนบทความนี้ในวันครบ 180 วัน ของการชุมนุมภาคประชาชนในนาม ขบวนการ กปปส.ระยะเวลายาวนานถึงครึ่งปี มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย มีคนตายจากการชุมนุมถึง 22 คน และบาดเจ็บอีกเกือบพันคน การชุมนุมที่มีประชาชนออกมาร่วมบนท้องถนนถึงเกือบสิบล้านคน ถ้าคุณสามคุณสี่นับรวมไปถึงนักรบหน้าจอที่อยู่ทางบ้าน ก็น่าจะมีประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านคน เอาเป็นว่าเกินครึ่งของประชากรชาวไทยก็แล้วกัน ถ้าเป็นการเมืองประเทศอื่น ก็คงจบกันไปนานแล้ว แต่นี่เป็นเพราะมันเป็นประเทศไทย ที่เรามีนักการเมืองหน้าด้านหน้าทน ต่อให้มีคนชี้ว่าทำผิดคิดชั่วอย่างไร มันก็สะกดคำว่า “ลาออก” ไม่เป็น
ทักษิณ ชินวัตร ยังคงบงการรัฐบาลหุ่นเชิดให้ทู่ซี้กระเสือกกระสนทุกวิถีทาง เพื่อยึดกุมอำนาจรัฐไว้ แม้จะจนมุมจนต้องตัดสินใจยุบสภาไปแล้ว ก็ยังดื้อด้านรักษาการอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช กำนันสุเทพก็ยังปักหลักสู้อย่างมีน้ำอดน้ำทน เดินทั่วกรุงเทพฯ ไปเรียกร้องทั้งหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ให้ออกมาร่วมกับมวลมหาประชาชนในวันระดมพลเผด็จศึก ซึ่งก็ระดมกันมาหลายยกแล้ว แต่ยังไม่มีบทเผด็จศึกซักที ก็เลยดึงดันยืดเยื้อกันอยู่อย่างนี้ จนมีการเปรียบเปรยว่าเหมือนใช้ยุทธวิธีรอคอยมะม่วงหล่นจากขั้วเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับการใกล้เวลาที่จะวินิฉัยชี้ขาดคดีทุจริตจำนำข้าวของคณะกรรมการ ป.ป.ช.กับการพิจารณาวินิจฉัยตัดสินของศาลรัฐธรรม ในกรณีการแต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะดำเนินการในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ และผลแห่งคดีอาจส่งผลให้นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี หลุดพ้นจากตำแหน่งกันไปทั้งคณะ
เมื่อถึงตอนนั้น ว่ากันว่าอำนาจอธิปไตยจะกลับคืนสู่มวลมหาประชาชน และจะมีการจัดตั้งสภาประชาชน ตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง มาดำเนินการปฏิรูประบอบการเมืองการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งตามครรลองต่อไป
ซึ่งก็คงไม่สะดวกโยธินอย่างที่คิด เพราะยังมีฝ่ายคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่อ้างตลอดมาว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และยึดมั่นว่า รัฐบาลที่ถูกต้องตามระบอบ ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งถ้าใครติดตามข่าวสารทางการเมืองอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ ก็จะเห็นว่า เริ่มมีการเคลื่อนไหวในซีกฝั่งของนักการเมือง มีปรากฏการณ์ Oxford Deal ที่เริ่มเดินสายเจรจา ทำนองว่าจะหาทางออกให้ประเทศด้วยการร่วมกันไปสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย โดยอาจจะให้มีการทำสัตยาบันระหว่างพรรคการเมืองว่า หลังการเลือกตั้งจะต้องมีการปฏิรูปโดยผ่านกลไกทางรัฐสภา ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดนี้ย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับแนวทางของ กปปส.ที่กำนันสุเทพประกาศชัดเจนว่า ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และต้องเป็นการปฏิรูปโดยมวลมหาประชาชน ต้องปลอดจากนักการเมือง ห้ามนักการเมืองมาเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมโดยเด็ดขาด
การเมืองไทยในขณะนี้จึงยังอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ที่ยังมองไม่เห็นทางออกที่ชัดเจน
หลายวันก่อนผมได้ฟังเทปบันทึกภาพและเสียง การประชุมถกปัญหากันระหว่างกลุ่มนักวิชการและอดีตนายทหาร ที่เรียกกลุ่มที่มาร่วมกันว่า “คณะรัฐบุคคล” (Statesman) นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล และ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ เนื้อหาใจความใหญ่ คือปัญหาวิกฤตของประเทศชาติในขณะนี้ การจะก้าวไปสู่การปฏิรูปที่มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องนั้น ที่ประชุมสรุปว่า จำเป็นต้องได้รัฏฐาธิปัตย์มาก่อน จึงจะมีอำนาจในการจัดการปฏิรูปประเทศได้ แต่การจะได้มาซึ่งรัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณจำนวนประชาชนที่ออกมาประท้วงมาชุมนุม เพราะต่อให้มีถึง 30-40 ล้านคน ก็ไม่ได้ทำให้ได้รัฏฐาธิปัตย์มาครอบครองได้ ทางเดียวคือต้องอาศัยฝ่ายทหารเท่านั้น ที่จะสามารถยึดกุมอำนาจรัฏฐาธิปัตย์มาได้ จะโดยวิธีการใดก็แล้วแต่ และมีการถกกันมากมายว่า ทหารจะออกมาได้อย่างไร ในสถานการณ์ใด โดยอาศัยข้ออ้างอะไร รวมทั้งได้รัฏฐาธิปัตย์มาแล้วจะจัดการกันอย่างไรให้เกิดการปฏิรูปประเทศได้อย่างราบรื่น ฟังจากที่ประชุมในตอนท้ายๆ ว่า ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้ร่างแนวทางต่างๆ ไว้ครบถ้วนและนำเสนอร่างต่อที่ประชุมแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด และอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดในที่ประชุมก็มีข้อปรารภว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น แนวทางของคณะรัฐบุคคลต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายต่างๆ ซึ่งรวมถึง กปปส.และมวลมหาประชาชนด้วย ซึ่งยังคงต้องติดตามกันอีกต่อไป
ล่าสุดจากการติดตามข่าวทางสื่อมวลชน รายงานว่า พล.อ.สายหยุด เกิดผล ได้เข้าพบเสนอแนวคิดการผ่าวิกฤตประเทศกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งข่าวช่วงแรกระบุถึงขั้นว่าจะมีการนำพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ภายหลัง พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ในฐานะนายทหารคนสนิทของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา คณะรัฐบุคคลได้เข้าพบพลเอกเปรมจริง แต่เป็นการรับทราบข้อมูลความเป็นมา แนวคิด และสิ่งที่คณะรัฐบุคคลจะกระทำเท่านั้น ยังไม่มีแนวคิดที่จะนำร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ ตามแนวคิดของคณะรัฐบุคคลแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันที่ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ เมื่อวันที่ 27 เมษายน เวลา 11.24 น.ก็ได้ลงบทวิเคราะห์ทางการเมือง ในหัวข้อเรื่อง “พล.อ.เปรม เห็นด้วยกับพวกเรา” ประธานคณะรัฐบุคคล ระบุคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.สายหยุด ว่า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. พล.อ.เปรมโทรศัพท์มาให้เข้าพบ ได้หารือปัญหาวิกฤตบ้านเมือง และเห็นด้วยกับแนวคิดของคณะรัฐบุคคลที่จะอาศัยพระบารมีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า ไม่เป็นการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอย่างแน่นอน แต่เป็นการเสริมพระบารมีในการแก้ไขวิกฤตบ้านเมืองเหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ก็ขอให้เราร่างพระบรมราชโองการ เพื่อทูลเกล้าฯ ให้ทรงพิจารณารายะละเอียดคงเปิดเผยไม่ได้ แต่ขอรับรองว่าที่ร่างขึ้นไปเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญทุกประการ ไม่ใช่มาตรา 7 หรือนายกฯ พระราชทาน พล.อ.สายหยุดกล่าวในตอนท้ายว่า “ตอนนี้ผมอายุ 93 ปีแล้ว ผมจะเอาอะไรอีก ห่วงแต่บ้านเมืองเท่านั้น อย่าไปนึกว่าอยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ลูกหลานก็ไม่ชอบให้ผมมาทำ แต่ผมอยู่ไม่ได้ แนวทางที่เสนอขอพึ่งพระบารมีเป็นแนวทางที่เคยปฏิบัติมา และผมเชื่อมั่นว่าครั้งนี้ก็ต้องปฏิบัติได้ ถ้าพวกเราเชื่อเช่นนี้ก็ขอให้สนับสนุน เราทำอะไรไปท่านรัฐบุรุษทำอะไรไป เราต้องช่วยกันสนับสนุนให้เกิดพลังบ้านเมืองจะได้สงบสุข”
ถ้าย้อนเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ ของบ้านเมืองในยุคสมัยรัชกาลนี้ สงครามกลางเมืองที่เยาวราช, เหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 ล้วนแล้วแต่อาศัยพึ่งพระบารมีของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ที่ดับความรุนแรงและแก้ไขวิกฤตให้สู่ความสงบสุขด้วยพระบารมีอย่างแท้จริง
วิกฤตบ้านเมืองที่กำลังขมวดปมเขม็งเกลียวอยู่ในขณะนี้ จะผ่านพ้นไปสู่วิถีทางปฏิรูปประเทศไทยได้ด้วยวิธีการใด เป็นเรื่องที่ปวงชนคนไทยทุกคนจะต้องจับตามอง และขอให้เราตั้งความหวังร่วมกันว่า ประเทศชาติและคนไทยจะสามารถฝ่าวิกฤตไปด้วยกันด้วยแนวทางสันติวิธี ไม่มีใครต้องบาดเจ็บล้มตายอีกต่อไป
“Old Soldiers Never Die”
คลิปเสียงสาธยายหลายเรื่องลับ โยงใยสี่เหล่าทัพสิ้นสงสัย
ว่ามีการกำกับกองทัพไทย จัดแถวได้ตามใจใครคนนั้น
คนที่มีชนักปักกลางหลัง มีเงินถุงเงินถังไว้ปลุกปั่น
ไว้จ้างผีโม่แป้งโม่แข่งกัน และไว้ตบรางวัลผีขายตัว
ซื้อหาเกียรติยศศักดิ์ศรี เรียกไอ้เรียกอีแบบจิกหัว
เมื่อยอมเป็นขี้ข้ามาพันพัว ก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัวทุกตัวตน
เงินง้างทุกทางที่ขวางหน้า น้ำพิพัฒน์สัตยาคลายเข้มข้น
ลืมคำสัตย์ลืมธงไชยเฉลิมพล ลืมจอมทัพจอมคนของคนไทย
เป็นทหารไร้หลักลืมรากเหง้า จนทหารเก่าทหารแก่ทนไม่ไหว
รวมพล Old Soldiers Never Die ลุกขึ้นมารุกไล่ป้องภัยแทน
ตั้งกองทัพประชาชนโค่นทักษิณ ปกป้องแผ่นดินที่หวงแหน
เฒ่าชะแรแก่ชรามาทดแทน ทวยทหารที่แก่นแกนถูกเจาะกลวง
หลับเถิดกองทัพทั้งสามเหล่า หลับให้ลืมรากเหง้าเคยแหนหวง
ทหารเก่าทหารแท้จะตามทวง เกียรติศักดิ์ที่ลับล่วงให้คงคืน
จะประสานมวลชนผองคนไทย จัดกองทัพอำมาตย์ไพร่ผู้รู้ตื่น
รักษาชาติศาสน์กษัตริย์ให้หยัดยืน ช่วยกันพลิกช่วยกันฟื้นประเทศไทย
ว.แหวนลงยา