ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังลุ้นเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว ห่วงการเมืองยืดเยื้อ ประเด็นรัฐบาลใหม่ไม่จบกระทบเศรษฐกิจปีหน้า ส่วนผู้ว่าแบงก์ชาติคาดเศรษฐกิจไตรมาส 2 ผงกหัวจากการส่งออกหลังจากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณของการชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ทำให้การใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลงมาก อีกทั้งเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างชัดเจนเป็นเดือนแรก โดยติดลบถึง 9.4%
ส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมในไตรมาสแรกของปีนี้น่าจะติดลบไม่เกิน 0.5 % โดยคาดอยู่ที่ลบ 0.2% เนื่องจากเครื่องชี้วัดทุกตัวมีสัญญาณไปทางชะลอตัวลงทั้งหมด รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เคยมองว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี แต่เดือนมีนาคมก็ยังติดลบ 3.1% ส่งผลไตรมาสแรกติดลบ 1% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวไตรมาสแรกหดตัว 5.85%
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมองว่าเศรษฐกิจไตรมาสแรกน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของการหดตัวทางเศรษฐกิจเพราะตัวเลขเครื่องชี้วัดต่างๆ ของไตรมาส 2 เริ่มทรงตัวไม่ติดลบลงไปเรื่อยๆ อย่างที่กังวล ทำให้มองว่าจีดีพีไตรมาส 2 น่าจะกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย แต่ถ้ามองภาพรวม 6 เดือนหรือครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจคงแทบไม่ขยายตัวเลข และน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวแบบก้าวกระโดดในไตรมาส 3 และ 4 ส่งผลให้ทั้งปีจีดีพียังขยายตัวได้ 2.6% แต่ต้องอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าการเมืองเริ่มมีการคลี่คลายในไตรมาส 3 ปีนี้หรือมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มกลับมาในไตรมาส 4 ด้วย
“ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอตัวลงชัดเจนและน่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 ซึ่งเศรษฐกิจไทยถือว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วจากนั้นจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 หากการเมืองมีความชัดเจนและความเชื่อมั่นภาคเอกชนกลับคืนมา แต่หากไม่เป็นไปตามสมมุติฐานก็คงต้องมาทบทวนจีดีพีปีนี้ใหม่อีกครั้ง และมองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 58 ตามมาด้วย ทั้งด้านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดังนั้นการเมืองจึงน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสุดของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้านเงินเฟ้อ การว่างงาน ทุนสำรองยังแข็งแกร่ง” นางสาวกุลยา กล่าว
ธปท.เชื่อไตรมาส 2 เริ่มดีขึ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/57 การส่งออกที่ไตรมาสแรกหดตัวนั้น ก็เชื่อว่าจะดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ ซึ่งการเคลื่อนไหวในช่วง 32 บาท/ดอลลาร์ไม่เป็นอุปสรรรคต่อภาคการค้าของไทย อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 57 จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% ซึ่งจะมีการทบทวนตัวเลขคาดการณ์อีกครั้งในวันที่ 18 เดือน มิ.ย.นี้ ส่วนปี 58 น่าจะสูงกว่าปีนี้ เพราะเชื่อว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในปีนี้น่าจะคลี่คลาย ประกอบกับปีหน้าเทียบกับปีนี้ถือว่าเป็นฐานที่ค่อนข้างต่ำ
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ขณะนี้กำลังติดตามสถานการณ์หนี้เสียเกิดขึ้น โดยขณะนี้การเพิ่มขึ้นหนี้ครัวเรือนอัตราชะลอลง อย่างสินเชื่ออุปโภคบริโภค จากเดิมสูงถึง 15-16% เหลือ 10% แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจชะลอมากกว่า ทำให้หนี้ภาคครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นอยู่ ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นบ้างในแต่ละจุด โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่สายป่านไม่ยาวนัก ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อรายได้ลด แต่ยังไม่ถึงขั้นน่ากังวล เพราะภาคครัวเรือนและสถาบันการเงินต่างระมัดระวังตัว จึงมองว่าไม่น่าจะกระทบต่อระบบโดยรวม.
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณของการชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ทำให้การใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลงมาก อีกทั้งเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างชัดเจนเป็นเดือนแรก โดยติดลบถึง 9.4%
ส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมในไตรมาสแรกของปีนี้น่าจะติดลบไม่เกิน 0.5 % โดยคาดอยู่ที่ลบ 0.2% เนื่องจากเครื่องชี้วัดทุกตัวมีสัญญาณไปทางชะลอตัวลงทั้งหมด รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เคยมองว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี แต่เดือนมีนาคมก็ยังติดลบ 3.1% ส่งผลไตรมาสแรกติดลบ 1% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวไตรมาสแรกหดตัว 5.85%
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมองว่าเศรษฐกิจไตรมาสแรกน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของการหดตัวทางเศรษฐกิจเพราะตัวเลขเครื่องชี้วัดต่างๆ ของไตรมาส 2 เริ่มทรงตัวไม่ติดลบลงไปเรื่อยๆ อย่างที่กังวล ทำให้มองว่าจีดีพีไตรมาส 2 น่าจะกลับมาเป็นบวกเล็กน้อย แต่ถ้ามองภาพรวม 6 เดือนหรือครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจคงแทบไม่ขยายตัวเลข และน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวแบบก้าวกระโดดในไตรมาส 3 และ 4 ส่งผลให้ทั้งปีจีดีพียังขยายตัวได้ 2.6% แต่ต้องอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าการเมืองเริ่มมีการคลี่คลายในไตรมาส 3 ปีนี้หรือมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มกลับมาในไตรมาส 4 ด้วย
“ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอตัวลงชัดเจนและน่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 ซึ่งเศรษฐกิจไทยถือว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วจากนั้นจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 หากการเมืองมีความชัดเจนและความเชื่อมั่นภาคเอกชนกลับคืนมา แต่หากไม่เป็นไปตามสมมุติฐานก็คงต้องมาทบทวนจีดีพีปีนี้ใหม่อีกครั้ง และมองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 58 ตามมาด้วย ทั้งด้านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดังนั้นการเมืองจึงน่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสุดของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้านเงินเฟ้อ การว่างงาน ทุนสำรองยังแข็งแกร่ง” นางสาวกุลยา กล่าว
ธปท.เชื่อไตรมาส 2 เริ่มดีขึ้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/57 การส่งออกที่ไตรมาสแรกหดตัวนั้น ก็เชื่อว่าจะดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัวขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ ซึ่งการเคลื่อนไหวในช่วง 32 บาท/ดอลลาร์ไม่เป็นอุปสรรรคต่อภาคการค้าของไทย อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจทั้งปี 57 จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% ซึ่งจะมีการทบทวนตัวเลขคาดการณ์อีกครั้งในวันที่ 18 เดือน มิ.ย.นี้ ส่วนปี 58 น่าจะสูงกว่าปีนี้ เพราะเชื่อว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในปีนี้น่าจะคลี่คลาย ประกอบกับปีหน้าเทียบกับปีนี้ถือว่าเป็นฐานที่ค่อนข้างต่ำ
ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ขณะนี้กำลังติดตามสถานการณ์หนี้เสียเกิดขึ้น โดยขณะนี้การเพิ่มขึ้นหนี้ครัวเรือนอัตราชะลอลง อย่างสินเชื่ออุปโภคบริโภค จากเดิมสูงถึง 15-16% เหลือ 10% แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจชะลอมากกว่า ทำให้หนี้ภาคครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นอยู่ ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นบ้างในแต่ละจุด โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่สายป่านไม่ยาวนัก ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อรายได้ลด แต่ยังไม่ถึงขั้นน่ากังวล เพราะภาคครัวเรือนและสถาบันการเงินต่างระมัดระวังตัว จึงมองว่าไม่น่าจะกระทบต่อระบบโดยรวม.
