วานนี้ ( 24 เม.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญได้จัดสัมมนาวิชาการในวาระครบรอบ 16 ปีศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง“การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม”มี นายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดการสัมมนา ว่า เชื่อว่าการจัดสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูป การเมืองไทย สอดคล้องกับปรากฏการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นขณะนี้
รัฐธรรมนูญ ปี40 เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปการเมืองไทย เป็นครั้งแรกที่การร่างรัฐธรรมนูญเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมให้เข้มแข็งขึ้น และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรก ปัจจุบันรัฐธรรมนูญปี 50 มีเจตนารมณ์ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว มุ่งเน้นหลักนิติธรรม ดังปรากฏตาม มาตรา 3 วรรคสอง ดังนั้นการสัมมนาหัวข้อดังกล่าว จึงมีความสำคัญต่อการสนองตอบเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว
จากนั้น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวติดตลกว่า หวังว่าพูดจบแล้ว เอ็ม79 จะไม่ลงบ้าน เพราะไม่ใช่บ้านตน เป็นบ้านเช่า ตนขอพูดในฐานะ ผู้ปฏิบัติ และขอแสดงความยินดีที่สถาบันนี้ก่อตั้งมา 16 ปี แต่ก่อนที่จะมาเป็นสถาบัน ก็เคยมีภารกิจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมีการกำหนดตัวตนชัดเจน กำหนดบทบาทชัดเจน ทำให้ความเป็นองค์กร สถาบันได้รับการยอมรับ ประสบการณ์ 16 ปี เป็นประสบการณ์ไม่มาก ประเด็นผ่านการพิจารณาไม่มากมายเหมือนอายุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 81 ปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ความเห็นของนักวิชาการจะยังแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สถานการณ์ขณะนี้ไม่ปกติธรรมดา เป็นปรากฏการณ์ ที่สถาบันท่านต้องพบช่วงหนึ่ง ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ อนาคตน่าจะไม่เลวร้ายกว่านี้
**ห่วงปัญหาใช้อำนาจนอกกม.
นายชวน กล่าวว่า ในฐานะที่ทำงานด้านกฎหมาย เชื่อว่าการปกครองที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน น่าจะจบลงด้วยการปกครองที่ยึดกฎเกณฑ์ กติกา ยึดหลักนิติธรรม กฎเกณฑ์ไม่ดีต้องแก้ไข
ตลอด 81 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มลุกคุกคลาน ซึ่งเป็นการปรับปรุงตัวเองทั้งในทางบวกและลบ แม้มีสิ่งไม่พึงประสงค์ เช่น การยึดอำนาจ ทหารกลายเป็นอุปสรรคในประชาธิปไตยสมัยนั้น ยุคสมัยที่ตนเป็นส.ส.แรกๆ หรือ 45 ปีที่ผ่านมา เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากประชาชนอย่างภาคภูมิใจ แต่ดีกว่าก่อนนั้น ที่มีการปฏิวัติ ต่อมาการปฏิรูปหลักนิติธรรม มาพร้อมปฏิรูปการเมือง จากกึ่งเผด็จการกลายมาเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สอนคนไทยให้รู้ว่า ประชาธิปไตยมีความหมาย การเมืองมีส่วนพัฒนาหรือปฏิรูปกลไกหลักนิติธรรมมาโดยลำดับในการให้สิทธิประชาชน แต่ถ้าเจาะจงเฉพาะว่า หลักนิติธรรม ที่พูดถึง 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลักนิติธรรม มีการปฏิรูปมากน้อยแค่ไหน ต้องแยกเป็นประเด็น
ยอมรับว่าการให้สิทธิประชาชนมีมากขึ้น แต่บางเรื่องไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น กฎเกณฑ์กติกา การเลือกตั้ง ซึ่งปัจจุบันทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากกว่ายุคก่อน ตนคิดรอบคอบแล้ว เมื่อเป็นนายกฯ จึงประกาศว่า ไม่สามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยเท่ากันได้ แต่ทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์บ้านเมืองบางเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ ความสูญเสียในภาคใต้ ไม่ได้เกิดธรรมชาติ แต่เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายบริหาร ใช้วิธีการนอกกฎหมาย อย่างนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่ใช้การฆ่าตัดตอน หรือนโยบายแก้ไขปัญหาภาคใต้ ที่ฝ่ายบริหารออกคำสั่งนอกเหนือกฎหมาย มีการสั่งให้ยิงทิ้ง จนกลายเป็นปัญหาในปัจจุบัน ทำให้เกิดการก่อตั้งกลุ่มอาร์เคเค เพื่อมาตอบโต้ ความผิดพลาดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลวร้าย ผลจากการปฏิบัตินอกหลักนิติธรรม ชัดเจนที่สุด
นายชวน ยังกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาโดยยึดหลักนิติธรรมนั้น ถ้าพูดรัฐบาลในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็ไม่ยึดหลักนี้ ปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 จะกำหนดไว้ชัดเจนว่าทุกองค์กรต้องยึดหลักนิติธรรม เป็นการยอมรับความสำคัญก็จริงแต่ภาคปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในทางปฏิบัติมีการละเมิดหลักนิติธรรมมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้เขียนไว้
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องว่า แม้มีเขียนไว้แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ทำก็ไม่เป็นผล ซึ่งผู้ปฏิบัติไม่ได้หมายถึงผู้คุมนโยบบาย แต่ยังรวมถึงผู้รักษากฎหมายทุกคนด้วย จึงไม่แปลกที่ น.พ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ จะลุกขึ้นมาขอมีกองกำลังของตนเอง เพราะพระคุณเจ้าในภาคใต้ ก็คิดแบบเดียวกัน โทรศัพท์มาหาตน พร้อมกับบอกว่า อาตมาเห็นว่า เราควรฝึกอาวุธคนบ้านเราไว้ป้องกันตัว จะปล่อยให้เขามาทำเราฝ่ายเดียวได้อย่างไร ทำให้เราต้องมาคุยกันแล้วก็เห็นด้วย แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าจะฝึกก็ต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ฝึก ดังนั้นการมองหลักนิติธรรม จึงไม่อยากให้มองแคบ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญาแต่เพียงอย่างแต่ แต่ควรขยายความหมายถึงสิทธิความชอบธรรมที่เขาควรได้รับตามกฎหมายด้วย
** ศาลฯต้องไม่เกรงใจคนชั่ว
นายชวน ยังกล่าวด้วยว่า 16 ปีของศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีประสบการณ์ไม่มาก แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้มาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่เป็นมืออาชีพ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีในทุกองค์กร แต่สิ่งที่เป็นห่วงแม้ว่าจะผ่านประสบการณ์มานานแล้ว แต่ประสบการณ์ที่มีคนจ้องทำร้ายทำลายครอบครัวลูกเมียถึงขนาดตั้งกลุ่มคนคอยเล่นงานทุกวัน เชื่อว่าคงไม่เคยเจอ จึงขอให้กำลังใจการทำงานขององค์กรอิสระต่างๆ ว่า ขอให้เชื่อมั่นการทำสิ่งที่ถูกต้อง ให้อ่านพระราชดำรัส 4 ธ.ค. 48 พระองค์พูดถึง The King can do no wrong ซึ่งมหากษัตริย์ทำผิดได้ แต่พระองค์ไม่ทำ ถือเป็นการเตือนคนทำงานว่า ให้ระมัดระวังและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราทุกคนเมื่อยึดหลักธรรมาภิบาลแล้ว ก็อย่าเกรงใจ หวั่นไหวกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
"ประสบกาณณ์แต่ละครั้ง เป็นตัววัดอุดมการณ์และความมั่นคงของคน อย่าให้คนต้องฝึกอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง อย่างน้อยให้มีสถาบันศาลที่คนรู้ว่า พึ่งพาได้ เชื่อถือปกป้องความเป็นธรรม และทำสิ่งที่ถูกให้ถูก ทำสิ่งผิดให้ผิด อย่าไปกลัว อย่าไปเกรงใจ ผมรู้ว่าการคุกคามมีหลายรูปแบบ ไม่ใช้กำลังอย่างเดียว แต่มีการให้ผลประโยชน์ และวิธีการอื่น พฤติกรรมคนกลุ่มนี้ มีอยู่ในสังคม ไม่มีอะไรดีเท่ากับเราต้องหยิบพระราชดำรัสในหลวงมาเป็นกำลังใจว่า บ้านเมืองมีทั้งคนดีและไม่ดีฯ ซึ่งพระราชดำรัส มีความหมายต่อทุกองค์กร ไม่ใช่ฉพาะการเมือง ข้าราชการ รวมทั้งสื่อฯ องค์กรศาสนา การให้ความรู้ความจริงประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ บ้านเราวิกฤติ เพราะผู้มีหน้าที่ไม่ทำหน้าที่นั้น ละเลยหน้าที่ของตนเอง บ้านเมืองเราไม่ได้มีแค่เสาหลักแค่นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ยังมีอีกหลายเสา ถ้าแต่ละเสาไม่ทำหน้าที่ตนเองบ้านเมืองก็ทรุด ถ้าตระหนักว่าตนเองมีหน้าที่อะไร แล้วทำอย่างซื่อสัตย์สุจริตก็เชื่อว่าบ้านเมืองจะมีสิ่งคุ้มกันได้ อย่าหวังโยนความรับผิดชอบให้พระสยามเทวาธิราชมากเกินไป เพราะในที่สุดเราจะไม่รู้จักพึ่งตนเองไปพึ่งท่านทุกเรื่องไม่ได้ ประชาชนต้องตระหนัก เรียนรู้ความจริงและยึดความถูกต้องเป็นสำคัญ" นายชวน กล่าว
** "บวรศักดิ์"ย้ำถึงเวลาต้องปฏิรูป
ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ในประเทศไทย มีการเรียกร้องให้มีการปฏรูปประเทศ ทั้งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล คือ กลุ่มกปปส. และตัวรัฐบาลเอง ที่ก่อนหน้านี้เคยพยายามตั้งสภาปฏิรูป ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ กระแสปฏิรูปในโลก มีความรุนแรงขึ้น สิ่งสำคัญของการปฏิรูป มีจุดหมายเดียวกัน คือ เพื่อเพิ่มอำนาจความทรงธรรม และกำจัดอำนาจเสียงข้างมากให้อ่อนลง
ถ้าหากพิจารณาประชาธิปไตย พัฒนาการประชาธปิไตย เคียงคู่กับหลักนิติธรรมตลอด การปฏิรูปประชาธิปไตย คือ การปฏิรูปนิติธรรม ที่ผ่านมายังมีปัญหาและมีการหาทางออกมาโดยตลอด การตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ควบคุมการตรารัฐธรรมนูญ ไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ พร้อมกำหนดให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่า การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์กฎหมาย ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมานั่นทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง
ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ ปี 40 ที่มุ่งเน้นในเรื่องการตรวจสอบทุจริต โดยมีการตั้งองค์กรตรวจสอบขึ้นมา เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รวมทั้งการกำหนดมาตรการตรวจสอบ เช่น การยื่นบัญชีทรัพย์สิน นอกจากนี้รัฐธรรมนูญ ปี 40 ยังมุ่งเน้นไม่ให้ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ครอบงำองค์กรต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชน เพราะในสมัยนั้นเคยมีรัฐบาลแรกที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่ครบ 4 ปี เป็นนรัฐบาลที่ไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาได้ ทำให้หลักนิติธรรมถูกธรรมลาย และจบลงด้วยการปฏิวัติรัฐปหาร 19 ก.ย.49 ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐธรรมนูญ ปี 50 ก็บัญญัติไว้เช่นกัน แต่เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบด้านจริยธรรมมากขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจการตรวจสอบ และตั้งองค์กรอิสระขึ้นมา โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง แต่ปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังไม่จบสิ้น เพราะพรรคการเมืองชอบอ้างความชอบธรรมของเสียงข้างมาก ไม่รับฟังเสียงข้างน้อย ยังขยายอำนาจของตัวเองเช่นเดิม
นายบวรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า คิดว่าประเทศไทยควรจะปฏิรูปด้านความเป็นธรรม คือ 1. ปฏิรูปรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายทรงธรรม เหนือองค์ทุกองค์ที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้ง ต้องมีการลงประชามติจากประชาชน และพระมหมากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ทุกครั้ง ซึ่งถ้าประชาชนไม่เห็นชอบ และพระมหากษัตริย์ไม่ลงพระปรมาภิไธย ให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป
นอกจากนั้น ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาทุกครั้งโดยอัตโนมัติ ก่อนการลงประชามติของประชาชน ถึงแม้ในขณะนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจในการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ต้องมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามา ถึงจะตรวจสอบได้
2. เห็นว่าการปฏิรูป ต้องไม่ทำตามอำเภอใจของทุกองค์กร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ระบอบราชาธิปไตย นิติธรรมยังอยู่เหนือพระมหากษัตริย์ ยิ่งในระบอบประชาธิปไตย จึงมิอาจปฏิเสธหลักนิติธรรมได้ แต่หลักนิติธรรม ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร แต่เป็นแนวทางในการปกครองที่มาจากหลักนิติธรรมตามธรรมชาติ ปราศจากอคติมาแอบแฝง ซึ่งทุกองค์กรต้องยึดในแนวทางปฏืบัติ ดังนั้นหลักนิติธรรม จึงอยู่เหนือกฎหมายที่เป็นลายลักอักษร ที่จะออกมาเพื่อขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้
** ต้องเลิกประชานิยม
3. การปฏิรูปใหม่จะต้องจัดการผลประโยชน์ ยกเลิกประชานิยม เปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ รัฐธรรมนูญ ปี 40 และปี 50 ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าถึงทรัพยากร เป็นช่องว่างให้พรรคการเมืองนักการเมืองฉวยโอกาสหาเสียงนโยบายประชานิยม ดังนั้น การปฏิรูปการเมือง ต้องยกเลิกประชานินยม และการหาเสียงประชานิยม ต้องระบุค่าใช้จ่ายในนโยบายอย่างละเอียด ให้หัวหน้าพรรคที่มีเสียงในรัฐสภา ต้องดีเบตนโยบายประชานิยมทางทีวี และต้องกำหนดว่าการกู้เงินของรัฐบาล ต้องทำเพื่อลงทุนเท่านั้น จะไปกู้เงินมาใช้เรื่องอื่นไม่ได้ พร้อมกันนี้ต้องจัดตั้งองค์กรจัดสรรทรัพยากร ที่มีอำนาจในการเสนอแนะ และจัดสรรให้แก่ประชาชน โดยตราเป็นกฎหมาย ไม่ใช่ให้ตามอำเภอใจ
4. ควรปฏิรูปการแบ่งแยกอำนาจจากพรรคการเมือง และกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยให้สภาผู้แทนมาจากพรรคการเมือง ส่วนวุฒิสภามาจากผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อคานอำนาจกัน และในสภาผู้แทน ต้องยกเลิกผู้สมัคร ส.ส. ต้องสังกัดพรรค เพื่อให้อิสระในการทำงาน พร้อมกันนี้ต้องมีการคุ้มครองฝ่ายเสียงข้างน้อยทางการเมือง โดยเฉพาะเฉลี่ยเวลาการออกสื่อฯ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลให้เท่าเทียมกัน นอกจากนั้นให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เพื่อตรวจสอบการทำงานฝ่ายบริหาร และจัดให้มีการประเมินเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รัฐสภา ได้ตลอดเวลา
5. ต้องปฏิรูปสื่อ ต้องให้สื่อฯ เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ และนายทุน ถึงแม้วันนี้จะมีสื่อฯ ที่ไม่ถูกแทรกแซงการทำงานจากรัฐ แต่สื่อฯก็ต้องตกอยู่ภายใต้นายทุน ทำให้ไม่เป็นอิสระในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ต้องยุติสื่อฯ ที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง สื่อฯ เลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสีแดง สีน้ำเงิน สีเลือง
6. ต้องออกกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ
7. ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือ ตำรวจ ต้องปฏิรูปทุกระดับ
** ย้ำฝ่ายบริหารต้องเคารพกม.
"ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญ ปี 50 วางรากฐานไว้ดีแล้ว แต่เราต้องช่วยกันใส่เครื่องมือลงไป ฝ่ายบริหารต้องเคารพกฎหมาย ไม่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ต้องเคารพคำวินิจฉัย เพราะถ้าฝ่ายยบริหารไม่เคารพกฎหมาย หลักนิติธรรมจะล่มสลาย รัฐจะล้มเหลว ไม่อาจเป็นรัฐได้ ปัญหาต่างจะเกิดขึ้นกับสังคมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราคงไม่อยากเห็นคนไทยทุกคน ต้องตั้งกองกำลังของตนเอง ถ้ากฎหมายศักสิทธิ์ ก็ไม่จำเป็นตั้งกองกำลัง ถ้ารัฐเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายเสียเอง" นายบวรศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเสวนาในวันนี้ ได้มีการถ่ายทอดสดจากสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) ซึ่งช่วงที่ นายชวน บรรยายได้ระยะหนึ่ง โดยกำลังพูดถึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พบว่าทางช่อง 11 ได้ตัดการถ่ายทอดสดทันที โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะรัฐบาล ไม่ต้องการให้มีการเผยแพร่ การบรรยายของนายชวน โดยเมื่อสอบถามไปยัง นายปัญญา อุดชาชน ที่ปรึกษาศาลรรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงว่า การจัดงานในครั้งนี้ ทางช่อง 11 ให้การสนับสนุนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในการถ่ายทอดสดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เนื่องจากมีคิวรายการต่างๆ รออยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทางช่อง 11 ได้มีการบันทึกเทปการเสวนาครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการออกอากาศในภายหลัง
อย่างไรตาม ช่วงที่ช่อง 11 มีการตัดการบรรยายของนายชวน พบว่ายังอยู่ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง ที่ทางช่องจัดถ่ายทอดสดให้ โดยมีรายงานว่าทางฝ่ายเทคนิคได้แจ้งว่า เกิดจากสัญญาณดาวเทียมขัดข้อง
รัฐธรรมนูญ ปี40 เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปการเมืองไทย เป็นครั้งแรกที่การร่างรัฐธรรมนูญเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมให้เข้มแข็งขึ้น และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรก ปัจจุบันรัฐธรรมนูญปี 50 มีเจตนารมณ์ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว มุ่งเน้นหลักนิติธรรม ดังปรากฏตาม มาตรา 3 วรรคสอง ดังนั้นการสัมมนาหัวข้อดังกล่าว จึงมีความสำคัญต่อการสนองตอบเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว
จากนั้น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวติดตลกว่า หวังว่าพูดจบแล้ว เอ็ม79 จะไม่ลงบ้าน เพราะไม่ใช่บ้านตน เป็นบ้านเช่า ตนขอพูดในฐานะ ผู้ปฏิบัติ และขอแสดงความยินดีที่สถาบันนี้ก่อตั้งมา 16 ปี แต่ก่อนที่จะมาเป็นสถาบัน ก็เคยมีภารกิจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมีการกำหนดตัวตนชัดเจน กำหนดบทบาทชัดเจน ทำให้ความเป็นองค์กร สถาบันได้รับการยอมรับ ประสบการณ์ 16 ปี เป็นประสบการณ์ไม่มาก ประเด็นผ่านการพิจารณาไม่มากมายเหมือนอายุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 81 ปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ความเห็นของนักวิชาการจะยังแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สถานการณ์ขณะนี้ไม่ปกติธรรมดา เป็นปรากฏการณ์ ที่สถาบันท่านต้องพบช่วงหนึ่ง ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ อนาคตน่าจะไม่เลวร้ายกว่านี้
**ห่วงปัญหาใช้อำนาจนอกกม.
นายชวน กล่าวว่า ในฐานะที่ทำงานด้านกฎหมาย เชื่อว่าการปกครองที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน น่าจะจบลงด้วยการปกครองที่ยึดกฎเกณฑ์ กติกา ยึดหลักนิติธรรม กฎเกณฑ์ไม่ดีต้องแก้ไข
ตลอด 81 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มลุกคุกคลาน ซึ่งเป็นการปรับปรุงตัวเองทั้งในทางบวกและลบ แม้มีสิ่งไม่พึงประสงค์ เช่น การยึดอำนาจ ทหารกลายเป็นอุปสรรคในประชาธิปไตยสมัยนั้น ยุคสมัยที่ตนเป็นส.ส.แรกๆ หรือ 45 ปีที่ผ่านมา เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากประชาชนอย่างภาคภูมิใจ แต่ดีกว่าก่อนนั้น ที่มีการปฏิวัติ ต่อมาการปฏิรูปหลักนิติธรรม มาพร้อมปฏิรูปการเมือง จากกึ่งเผด็จการกลายมาเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สอนคนไทยให้รู้ว่า ประชาธิปไตยมีความหมาย การเมืองมีส่วนพัฒนาหรือปฏิรูปกลไกหลักนิติธรรมมาโดยลำดับในการให้สิทธิประชาชน แต่ถ้าเจาะจงเฉพาะว่า หลักนิติธรรม ที่พูดถึง 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลักนิติธรรม มีการปฏิรูปมากน้อยแค่ไหน ต้องแยกเป็นประเด็น
ยอมรับว่าการให้สิทธิประชาชนมีมากขึ้น แต่บางเรื่องไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น กฎเกณฑ์กติกา การเลือกตั้ง ซึ่งปัจจุบันทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากกว่ายุคก่อน ตนคิดรอบคอบแล้ว เมื่อเป็นนายกฯ จึงประกาศว่า ไม่สามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยเท่ากันได้ แต่ทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์บ้านเมืองบางเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ ความสูญเสียในภาคใต้ ไม่ได้เกิดธรรมชาติ แต่เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายบริหาร ใช้วิธีการนอกกฎหมาย อย่างนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่ใช้การฆ่าตัดตอน หรือนโยบายแก้ไขปัญหาภาคใต้ ที่ฝ่ายบริหารออกคำสั่งนอกเหนือกฎหมาย มีการสั่งให้ยิงทิ้ง จนกลายเป็นปัญหาในปัจจุบัน ทำให้เกิดการก่อตั้งกลุ่มอาร์เคเค เพื่อมาตอบโต้ ความผิดพลาดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลวร้าย ผลจากการปฏิบัตินอกหลักนิติธรรม ชัดเจนที่สุด
นายชวน ยังกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาโดยยึดหลักนิติธรรมนั้น ถ้าพูดรัฐบาลในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็ไม่ยึดหลักนี้ ปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 จะกำหนดไว้ชัดเจนว่าทุกองค์กรต้องยึดหลักนิติธรรม เป็นการยอมรับความสำคัญก็จริงแต่ภาคปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในทางปฏิบัติมีการละเมิดหลักนิติธรรมมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้เขียนไว้
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องว่า แม้มีเขียนไว้แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ทำก็ไม่เป็นผล ซึ่งผู้ปฏิบัติไม่ได้หมายถึงผู้คุมนโยบบาย แต่ยังรวมถึงผู้รักษากฎหมายทุกคนด้วย จึงไม่แปลกที่ น.พ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ จะลุกขึ้นมาขอมีกองกำลังของตนเอง เพราะพระคุณเจ้าในภาคใต้ ก็คิดแบบเดียวกัน โทรศัพท์มาหาตน พร้อมกับบอกว่า อาตมาเห็นว่า เราควรฝึกอาวุธคนบ้านเราไว้ป้องกันตัว จะปล่อยให้เขามาทำเราฝ่ายเดียวได้อย่างไร ทำให้เราต้องมาคุยกันแล้วก็เห็นด้วย แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าจะฝึกก็ต้องให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ฝึก ดังนั้นการมองหลักนิติธรรม จึงไม่อยากให้มองแคบ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอาญาแต่เพียงอย่างแต่ แต่ควรขยายความหมายถึงสิทธิความชอบธรรมที่เขาควรได้รับตามกฎหมายด้วย
** ศาลฯต้องไม่เกรงใจคนชั่ว
นายชวน ยังกล่าวด้วยว่า 16 ปีของศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีประสบการณ์ไม่มาก แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้มาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่เป็นมืออาชีพ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีในทุกองค์กร แต่สิ่งที่เป็นห่วงแม้ว่าจะผ่านประสบการณ์มานานแล้ว แต่ประสบการณ์ที่มีคนจ้องทำร้ายทำลายครอบครัวลูกเมียถึงขนาดตั้งกลุ่มคนคอยเล่นงานทุกวัน เชื่อว่าคงไม่เคยเจอ จึงขอให้กำลังใจการทำงานขององค์กรอิสระต่างๆ ว่า ขอให้เชื่อมั่นการทำสิ่งที่ถูกต้อง ให้อ่านพระราชดำรัส 4 ธ.ค. 48 พระองค์พูดถึง The King can do no wrong ซึ่งมหากษัตริย์ทำผิดได้ แต่พระองค์ไม่ทำ ถือเป็นการเตือนคนทำงานว่า ให้ระมัดระวังและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราทุกคนเมื่อยึดหลักธรรมาภิบาลแล้ว ก็อย่าเกรงใจ หวั่นไหวกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
"ประสบกาณณ์แต่ละครั้ง เป็นตัววัดอุดมการณ์และความมั่นคงของคน อย่าให้คนต้องฝึกอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง อย่างน้อยให้มีสถาบันศาลที่คนรู้ว่า พึ่งพาได้ เชื่อถือปกป้องความเป็นธรรม และทำสิ่งที่ถูกให้ถูก ทำสิ่งผิดให้ผิด อย่าไปกลัว อย่าไปเกรงใจ ผมรู้ว่าการคุกคามมีหลายรูปแบบ ไม่ใช้กำลังอย่างเดียว แต่มีการให้ผลประโยชน์ และวิธีการอื่น พฤติกรรมคนกลุ่มนี้ มีอยู่ในสังคม ไม่มีอะไรดีเท่ากับเราต้องหยิบพระราชดำรัสในหลวงมาเป็นกำลังใจว่า บ้านเมืองมีทั้งคนดีและไม่ดีฯ ซึ่งพระราชดำรัส มีความหมายต่อทุกองค์กร ไม่ใช่ฉพาะการเมือง ข้าราชการ รวมทั้งสื่อฯ องค์กรศาสนา การให้ความรู้ความจริงประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ บ้านเราวิกฤติ เพราะผู้มีหน้าที่ไม่ทำหน้าที่นั้น ละเลยหน้าที่ของตนเอง บ้านเมืองเราไม่ได้มีแค่เสาหลักแค่นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ยังมีอีกหลายเสา ถ้าแต่ละเสาไม่ทำหน้าที่ตนเองบ้านเมืองก็ทรุด ถ้าตระหนักว่าตนเองมีหน้าที่อะไร แล้วทำอย่างซื่อสัตย์สุจริตก็เชื่อว่าบ้านเมืองจะมีสิ่งคุ้มกันได้ อย่าหวังโยนความรับผิดชอบให้พระสยามเทวาธิราชมากเกินไป เพราะในที่สุดเราจะไม่รู้จักพึ่งตนเองไปพึ่งท่านทุกเรื่องไม่ได้ ประชาชนต้องตระหนัก เรียนรู้ความจริงและยึดความถูกต้องเป็นสำคัญ" นายชวน กล่าว
** "บวรศักดิ์"ย้ำถึงเวลาต้องปฏิรูป
ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ในประเทศไทย มีการเรียกร้องให้มีการปฏรูปประเทศ ทั้งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล คือ กลุ่มกปปส. และตัวรัฐบาลเอง ที่ก่อนหน้านี้เคยพยายามตั้งสภาปฏิรูป ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ กระแสปฏิรูปในโลก มีความรุนแรงขึ้น สิ่งสำคัญของการปฏิรูป มีจุดหมายเดียวกัน คือ เพื่อเพิ่มอำนาจความทรงธรรม และกำจัดอำนาจเสียงข้างมากให้อ่อนลง
ถ้าหากพิจารณาประชาธิปไตย พัฒนาการประชาธปิไตย เคียงคู่กับหลักนิติธรรมตลอด การปฏิรูปประชาธิปไตย คือ การปฏิรูปนิติธรรม ที่ผ่านมายังมีปัญหาและมีการหาทางออกมาโดยตลอด การตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ควบคุมการตรารัฐธรรมนูญ ไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ พร้อมกำหนดให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่า การยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์กฎหมาย ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมานั่นทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง
ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ ปี 40 ที่มุ่งเน้นในเรื่องการตรวจสอบทุจริต โดยมีการตั้งองค์กรตรวจสอบขึ้นมา เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) รวมทั้งการกำหนดมาตรการตรวจสอบ เช่น การยื่นบัญชีทรัพย์สิน นอกจากนี้รัฐธรรมนูญ ปี 40 ยังมุ่งเน้นไม่ให้ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ครอบงำองค์กรต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชน เพราะในสมัยนั้นเคยมีรัฐบาลแรกที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่ครบ 4 ปี เป็นนรัฐบาลที่ไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาได้ ทำให้หลักนิติธรรมถูกธรรมลาย และจบลงด้วยการปฏิวัติรัฐปหาร 19 ก.ย.49 ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐธรรมนูญ ปี 50 ก็บัญญัติไว้เช่นกัน แต่เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบด้านจริยธรรมมากขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจการตรวจสอบ และตั้งองค์กรอิสระขึ้นมา โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง แต่ปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังไม่จบสิ้น เพราะพรรคการเมืองชอบอ้างความชอบธรรมของเสียงข้างมาก ไม่รับฟังเสียงข้างน้อย ยังขยายอำนาจของตัวเองเช่นเดิม
นายบวรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า คิดว่าประเทศไทยควรจะปฏิรูปด้านความเป็นธรรม คือ 1. ปฏิรูปรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายทรงธรรม เหนือองค์ทุกองค์ที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้ง ต้องมีการลงประชามติจากประชาชน และพระมหมากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ทุกครั้ง ซึ่งถ้าประชาชนไม่เห็นชอบ และพระมหากษัตริย์ไม่ลงพระปรมาภิไธย ให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป
นอกจากนั้น ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาทุกครั้งโดยอัตโนมัติ ก่อนการลงประชามติของประชาชน ถึงแม้ในขณะนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจในการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ต้องมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามา ถึงจะตรวจสอบได้
2. เห็นว่าการปฏิรูป ต้องไม่ทำตามอำเภอใจของทุกองค์กร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ระบอบราชาธิปไตย นิติธรรมยังอยู่เหนือพระมหากษัตริย์ ยิ่งในระบอบประชาธิปไตย จึงมิอาจปฏิเสธหลักนิติธรรมได้ แต่หลักนิติธรรม ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร แต่เป็นแนวทางในการปกครองที่มาจากหลักนิติธรรมตามธรรมชาติ ปราศจากอคติมาแอบแฝง ซึ่งทุกองค์กรต้องยึดในแนวทางปฏืบัติ ดังนั้นหลักนิติธรรม จึงอยู่เหนือกฎหมายที่เป็นลายลักอักษร ที่จะออกมาเพื่อขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้
** ต้องเลิกประชานิยม
3. การปฏิรูปใหม่จะต้องจัดการผลประโยชน์ ยกเลิกประชานิยม เปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ รัฐธรรมนูญ ปี 40 และปี 50 ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าถึงทรัพยากร เป็นช่องว่างให้พรรคการเมืองนักการเมืองฉวยโอกาสหาเสียงนโยบายประชานิยม ดังนั้น การปฏิรูปการเมือง ต้องยกเลิกประชานินยม และการหาเสียงประชานิยม ต้องระบุค่าใช้จ่ายในนโยบายอย่างละเอียด ให้หัวหน้าพรรคที่มีเสียงในรัฐสภา ต้องดีเบตนโยบายประชานิยมทางทีวี และต้องกำหนดว่าการกู้เงินของรัฐบาล ต้องทำเพื่อลงทุนเท่านั้น จะไปกู้เงินมาใช้เรื่องอื่นไม่ได้ พร้อมกันนี้ต้องจัดตั้งองค์กรจัดสรรทรัพยากร ที่มีอำนาจในการเสนอแนะ และจัดสรรให้แก่ประชาชน โดยตราเป็นกฎหมาย ไม่ใช่ให้ตามอำเภอใจ
4. ควรปฏิรูปการแบ่งแยกอำนาจจากพรรคการเมือง และกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยให้สภาผู้แทนมาจากพรรคการเมือง ส่วนวุฒิสภามาจากผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อคานอำนาจกัน และในสภาผู้แทน ต้องยกเลิกผู้สมัคร ส.ส. ต้องสังกัดพรรค เพื่อให้อิสระในการทำงาน พร้อมกันนี้ต้องมีการคุ้มครองฝ่ายเสียงข้างน้อยทางการเมือง โดยเฉพาะเฉลี่ยเวลาการออกสื่อฯ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลให้เท่าเทียมกัน นอกจากนั้นให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เพื่อตรวจสอบการทำงานฝ่ายบริหาร และจัดให้มีการประเมินเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รัฐสภา ได้ตลอดเวลา
5. ต้องปฏิรูปสื่อ ต้องให้สื่อฯ เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ และนายทุน ถึงแม้วันนี้จะมีสื่อฯ ที่ไม่ถูกแทรกแซงการทำงานจากรัฐ แต่สื่อฯก็ต้องตกอยู่ภายใต้นายทุน ทำให้ไม่เป็นอิสระในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ต้องยุติสื่อฯ ที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง สื่อฯ เลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสีแดง สีน้ำเงิน สีเลือง
6. ต้องออกกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ
7. ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือ ตำรวจ ต้องปฏิรูปทุกระดับ
** ย้ำฝ่ายบริหารต้องเคารพกม.
"ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญ ปี 50 วางรากฐานไว้ดีแล้ว แต่เราต้องช่วยกันใส่เครื่องมือลงไป ฝ่ายบริหารต้องเคารพกฎหมาย ไม่หลีกเลี่ยงกฎหมาย ต้องเคารพคำวินิจฉัย เพราะถ้าฝ่ายยบริหารไม่เคารพกฎหมาย หลักนิติธรรมจะล่มสลาย รัฐจะล้มเหลว ไม่อาจเป็นรัฐได้ ปัญหาต่างจะเกิดขึ้นกับสังคมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราคงไม่อยากเห็นคนไทยทุกคน ต้องตั้งกองกำลังของตนเอง ถ้ากฎหมายศักสิทธิ์ ก็ไม่จำเป็นตั้งกองกำลัง ถ้ารัฐเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายเสียเอง" นายบวรศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเสวนาในวันนี้ ได้มีการถ่ายทอดสดจากสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) ซึ่งช่วงที่ นายชวน บรรยายได้ระยะหนึ่ง โดยกำลังพูดถึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พบว่าทางช่อง 11 ได้ตัดการถ่ายทอดสดทันที โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะรัฐบาล ไม่ต้องการให้มีการเผยแพร่ การบรรยายของนายชวน โดยเมื่อสอบถามไปยัง นายปัญญา อุดชาชน ที่ปรึกษาศาลรรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงว่า การจัดงานในครั้งนี้ ทางช่อง 11 ให้การสนับสนุนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในการถ่ายทอดสดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เนื่องจากมีคิวรายการต่างๆ รออยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทางช่อง 11 ได้มีการบันทึกเทปการเสวนาครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการออกอากาศในภายหลัง
อย่างไรตาม ช่วงที่ช่อง 11 มีการตัดการบรรยายของนายชวน พบว่ายังอยู่ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง ที่ทางช่องจัดถ่ายทอดสดให้ โดยมีรายงานว่าทางฝ่ายเทคนิคได้แจ้งว่า เกิดจากสัญญาณดาวเทียมขัดข้อง