ASTVผู้จัดการรายวัน -สมาพันธ์อัญมณีฯ เล็งจัดงาน "บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์" เพิ่มกลางปี หวังเพิ่มมูลค่าตลาด-ดึงผู้เล่นใหม่ ชูจุดขาย "พลอยไทย" ยกระดับไทยศูนย์กลางอัญมณีไทยและเครื่องประดับแห่งเอเชีย คาดยอดทะลุหมื่นล้านดอลล์ปีนี้
นายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับและโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย และ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลายสู่ภาวะปกติ จะพิจารณาเพิ่มการจัดงาน "บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์" เป็น 3 ครั้งในเดือน พ.ค. หรือ มิ.ย. จากเดิมจัดปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือนก.พ. และ ก.ย. เพื่อสร้างกำลังซื้อ เพิ่มยอดขายในประเทศและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนเป็นหลัก
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ถือเป็นรายได้หลักอันดับต้นๆ ของประเทศ คาดปีนี้มียอดขายราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเป็นยอดส่งออก 96% ที่เหลือ 4% เป็นยอดขายภายในประเทศ แต่หากสามารถจัดงาน บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ เพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขาย ภายในประเทศและมูลค่าตลาดรวมได้มากขึ้น
ทั้งนี้ จะมีการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ "พลอยไทย" ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลกมากขึ้นด้วย แม้แหล่งวัตถุดิบจะมาจากต่างประเทศ แต่ผ่านกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มและผลิตเป็นเครื่องประดับในประเทศไทย
"กลุ่มนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว ควรหันมาลงทุนในอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เพราะมีความเสี่ยงน้อย ให้ผลตอบแทนสูง แม้จะเป็นสินค้าที่มีราคาแพง แต่กระจายอยู่ในมือของคนที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่ทั่วโลก ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกปั่นราคาจากนักเก็งกำไร เหมือนน้ำมันดิบ ทองคำและค่าเงิน โดยมูลค่าการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนช่วง 10-30 ปี มากกว่า 30 เท่าตัว"
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ต้องการเห็นนักธุรกิจไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น จึงได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฯลฯ จัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับในทุกมิติ ตั้งแต่สร้างแรงงานฝีมือในภาคการผลิตไปจนถึงสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ หากไทยมีจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในแวดวงอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น มีการเพิ่มจัดงานแฟร์ จะยิ่งตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับในเอเชียและในโลก
นายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับและโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย และ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศเริ่มคลี่คลายสู่ภาวะปกติ จะพิจารณาเพิ่มการจัดงาน "บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์" เป็น 3 ครั้งในเดือน พ.ค. หรือ มิ.ย. จากเดิมจัดปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือนก.พ. และ ก.ย. เพื่อสร้างกำลังซื้อ เพิ่มยอดขายในประเทศและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนเป็นหลัก
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ถือเป็นรายได้หลักอันดับต้นๆ ของประเทศ คาดปีนี้มียอดขายราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเป็นยอดส่งออก 96% ที่เหลือ 4% เป็นยอดขายภายในประเทศ แต่หากสามารถจัดงาน บางกอกเจมส์ แอนด์ จิวเวลรี่ แฟร์ เพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนยอดขาย ภายในประเทศและมูลค่าตลาดรวมได้มากขึ้น
ทั้งนี้ จะมีการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ "พลอยไทย" ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลกมากขึ้นด้วย แม้แหล่งวัตถุดิบจะมาจากต่างประเทศ แต่ผ่านกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มและผลิตเป็นเครื่องประดับในประเทศไทย
"กลุ่มนักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาว ควรหันมาลงทุนในอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เพราะมีความเสี่ยงน้อย ให้ผลตอบแทนสูง แม้จะเป็นสินค้าที่มีราคาแพง แต่กระจายอยู่ในมือของคนที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่ทั่วโลก ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกปั่นราคาจากนักเก็งกำไร เหมือนน้ำมันดิบ ทองคำและค่าเงิน โดยมูลค่าการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนช่วง 10-30 ปี มากกว่า 30 เท่าตัว"
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ต้องการเห็นนักธุรกิจไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น จึงได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฯลฯ จัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับในทุกมิติ ตั้งแต่สร้างแรงงานฝีมือในภาคการผลิตไปจนถึงสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ หากไทยมีจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในแวดวงอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น มีการเพิ่มจัดงานแฟร์ จะยิ่งตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับในเอเชียและในโลก