xs
xsm
sm
md
lg

ความเบี่ยงเบนเศรษฐกิจโลก

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

โดย...สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

http://twitter.com/indexthai2

indexthai2@gmail.com

เขียนเรื่องการเมืองของประเทศไทยนานหลายเดือน มีแต่ทรงกับทรุด นักการเมืองเอาการเมืองเป็นอาชีพ หาแต่ประโยชน์ส่วนตน แล้วยังคิดอยู่ในตำแหน่งกันเหนียวแน่น แล้วประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร

แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องโลกของทุนแต่อย่างใด

ฉบับนี้จะมาทบทวนและปรับปรุงข้อมูล ว่าโลกของทุนได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มากน้อยเพียงใด

ความผิดปกติของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่เกิดขึ้นเมื่อปี 2000 ทุกวันนี้ปี 2014 แล้ว ผ่านไป 14 ปีแล้ว เวลาไม่น้อยเหมือนกัน ที่ผู้เขียนได้ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง

ผู้เขียนไม่เบื่อที่จะเล่าเรื่องที่ผู้คนไม่รู้เรื่องนี้ เพื่อจะทำให้รู้เรื่อง คิดว่าสักวันคนจะเข้าใจ เพื่อที่จะได้เข้าใจอะไรเกิดขึ้นกับอเมริกาและโลก ทุกวันนี้แม้แต่ระดับสูงทางการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรกับประเทศตัวเอง แก้ปัญหาตามน้ำอย่างเดียว เช่น การเพิ่มเพดานหนี้ พิมพ์เงินออกมาใช้ (Quantitative easing QE) แล้วก็บอกว่าปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกาเกิดจากปัญหา Subprime หรือวิกฤตสินเชื่อ แต่ก็ไม่พูดถึงกันว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิด Subprime (2007-2008)

ผู้เขียนเชื่อว่าต้องมีคนรู้เรื่องจริง ว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร โดยเฉพาะเหล่าบรรดากองทุนโลกทั้งหลาย คนรู้ไม่พูด แต่คนไม่รู้พูดมาก เดามาก แล้วก็พูดต่อๆ กันไปทั่วโลก

คงจำได้ผู้เขียนนำเสนอบ่อยครั้งถึงการพังทลายของตลาด NASDAQ ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2000 เป็นที่มาของความเสียหายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ (เหตุการณ์เกิดแบบนี้ที่ประเทศไหน ก็จะเป็นแบบเดียวกันนี้) ตลาดหุ้นของประเทศไหนพังทลาย ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นพังทลายลงมาด้วย

เป็นแต่เพียงขนาดเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ และเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันจึงส่งผลกระทบกระเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งโลก อเมริกาเสียหาย แต่โลกทั้งโลกได้รับผลดีจากเงินไหลเข้าไปท่วมโลก

ทำให้สภาพคล่องท่วมโลก ทำให้เศรษฐกิจของโลกพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง แล้วจึงพังทลายลงในปี 2007-2008 นั่นเอง ในอเมริกาเรียกว่าปัญหา Subprime แต่คนทั่วโลกเรียก Hamburger crisis ต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน

เรื่องเหล่านี้สามารถนำเสนอเป็นกลไก (Mechanism) ง่ายที่จะเข้าใจ มีความสัมพันธ์กันทั้งโลก สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ที่ภูมิภาคใด แบบไหนและอย่างไร

เรื่องทั้งหลายมีการสวมรอยปั่น เป็นการปั่นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ภาพที่ 1 การพังทลายของตลาด NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา

1) NASDAQ พังทลายในปี 2000-2002 ตกลง 78 เปอร์เซ็นต์ทำให้เงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในเงินเหรียญสหรัฐ

2) ปี 2001 เงินเหรียญสหรัฐเริ่มไหลออกจากประเทศสหรัฐฯ ออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เข้าไปในยุโรป เข้ามาในจีน เข้ามาในอาเซียน เข้ามาในไทย ฯลฯ

3) หลังปี 2001 ค่าเงินทั่วโลกแข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกแข็งค่าขึ้น ค่าเงินยูโรที่เปิดตัวเป็นทางการในปี 1999 แข็งค่าขึ้น ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น เงินอาเซียนแข็งค่าขึ้น เงินบาทเข็งค่าขึ้น ตลาดหุ้นโลก ยุโรป จีน อาเซียนและไทยสูงขึ้น

ภาพที่ 2 ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลก 91 ประเทศ ได้รับผลดีจากเงินไหลเข้าท่วมโลกในปี 2001-2007 แล้วพังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis)

ภาพที่ 3 การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร แข็งค่าขึ้น 89 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลมาจากเงินไหลเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา จะสังเกตว่าเริ่มแข็งขึ้นในปี 2001

ภาพที่ 4 การแข็งค่าขึ้นของเงินหยวน แข็งค่าขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงแรกเงินหยวนได้ผูกค่าไว้ ส่งผลให้ค่าเงินหยวนอ่อน หรือราคาถูกมากเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ มีการเข้ามาเก็บเงินหยวนตั้งแต่ปี 2001 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2005 ทางการจีนทนไม่ไหว ต้องปล่อยให้หยวนลอยค่าขึ้น กองทุนโลกเข้ามาเก็บเงินหยวน จนทำให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่ทุนสำรองสูงสุดในโลก แซงประเทศญี่ปุ่นที่ทุนสำรองเคยสูงที่สุดในโลก ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่ทุนสำรองสูงเป็นอันดับที่ 2

หมายเหตุ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากประเทศจีนก็คือบรรดากองทุนของโลกนั่นเอง (ขอเรียกคำรวมว่า Hedge funds) หาใช่คนจีนแต่อย่างใด ประเทศจีนเพียงมีผลพลอยได้จากเงินไหลเข้า สภาพคล่องดี เศรษฐกิจดี

อย่างน้อยก็เห็นแล้วว่า Hedge funds ที่ขนเงินมาซื้อหยวน หยวนก็ได้แข็งค่าขึ้น มีกำไรในการถือเงินหยวนแล้ว 22 เปอร์เซ็นต์

ภาพที่ 5 การแข็งค่าขึ้นของเงินอาเซียนผลจากที่เงินไหลเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ส่งผลให้เงินอาเซียนแข็งค่าขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์

ภาพที่ 6 การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเงินไหลเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเช่นกัน เงินบาทแข็งค่าขึ้น 54 เปอร์เซ็นต์

หมายเหตุ เงินเหรียญสหรัฐเริ่มแข็งค่าขึ้นในช่วงการของรัฐบาลทักษิณในปี 2001 (2544) พอดี

แต่การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น ไม่ใช่เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นในรัฐบาลทักษิณแต่อย่างใด แต่เป็นผลมาจากการไหลเข้าของเงินจากประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนมุสา ปลิ้นปล้อน กลับกลอก นั่งเทียนยกเมฆ โมเมและมั่วข้อมูลประจำ ไม่เคยเห็นผู้นำประเทศไหนพูดโกหกได้เก่งแบบนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ชอบพูดปลิ้นปล้อนแบบเดียวกับทักษิณ

หลังถูกรรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 (2549) ทักษิณออกมานั่งเทียนยกเมฆข้อมูลบ่อยครั้งมาก ว่าการทำรัฐประหาร ทำให้ต่างชาติไม่เชื่อมั่น ไม่เข้ามาลงทุน พูดซ้ำๆ ซากๆ พูดแล้วพูดอีก

แต่หากดูภาพที่ 6 บริเวณที่ทำเครื่องหมายวงกลมไว้ คือช่วงที่มีการทำรัฐประหารจะเห็นว่าหลังรัฐประหารเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ขึ้นแรง)แสดงว่ามีเงินทุนไหลเข้ามากขึ้นนั่นเอง กองทุนโลกนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ไม่ได้เป็นไปตามที่ทักษิณพูดแต่อย่างใด “การรัฐประหารทำให้ต่างชาติไม่มาลงทุน”

ทักษิณ จอมโมเม มีความสามารถในการสร้างเรื่องที่ต่ำชั้น พูดโกหกแล้วมีคนเชื่อมาก อาจจะเป็นเพราะมีความตั้งใจจะโกหกนั่นเอง ทั้งข้าราชการและนักวิชาการ ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน หมอดู และประชาชนทั่วไป ต่างเชื่อในคำมุสาของทักษิณกันเป็นส่วนใหญ่

ต้นเหตุที่ผู้คนหลงเชื่อทักษิณง่าย เนื่องจากส่วนราชการ เช่น กระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยว ที่ทันสมัยรายงานออกมานั่นเอง ปล่อยให้ทักษิณต้มชาวบ้านจนเปื่อย

1) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ราคาสินค้าเกษตร ราคาสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะราคาสินค้าทั้งหลายต่างใช้เงินเหรียญสหรัฐเป็นตัวกลางในการซื้อขาย ราคาสินค้ามีความสัมพันธ์กับค่าเงินเหรียญสหรัฐอย่างแนบแน่น เมื่อค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย หรืออ่อนค่าลง ทำให้เห็นว่าราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้นนั่นเอง

ภาพที่ 7 การสูงขึ้นของราคาทองคำ ที่เป็นผลมาจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาทองคำสูงจากระดับ 256 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2001 ขึ้นมาสูงกว่า 1,200 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในปลายปี 2009

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ก็ขึ้นมาแบบเดียวกันนี้

จากข้อมูลทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของทั้งโลกมีความสัมพันธ์ต่อกัน เป็นไปในทางเดียวกัน ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน รูปแบบคล้ายกัน (Patterns) แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างในแต่ละประเทศ

ที่ไม่เหมือนกันทีเดียว ก็เป็นเพราะรายละเอียดของแต่ละประเทศต่างกัน เช่นยุโรปก็มีการรวมสกุลเงินในปี 1999 ของประเทศจีน (ภาพที่ 4) แตกต่างจากของประเทศต่างๆ

สิ่งที่ใหญ่ที่สุดย่อมมีอิทธิพลมากที่สุด เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกการพังทลายของ USD หลังการพังทลายของตลาด NASDAQ ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกา ไหลออกมาท่วมโลก ทำให้ตลาดหุ้นโลกสูงขึ้น (G91 index) ทำให้ค่าเงินทั่วโลกสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ สูงขึ้น จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis)

ผู้อ่านสังเกตไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานภาคการผลิตจริง (Real Sectors หรือ Real Trade) แต่เป็นไปตามการซื้อขายกระดาษ (Paper Trade) แต่ Real Trade เป็นผลพลอยได้จากความเป็นไปของ Paper Trade บางช่วงก็ได้รับผลดี บางช่วงก็ได้รับความเสียหาย

เป็นความเบี่ยงเบนของเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน คนที่คุมเศรษฐกิจโลกตัวจริงไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ว่าการของธนาคารประเทศต่างๆ ไม่ใช่ธนาคารโลก ไม่ใช่ธนาคารเอดีบี ไม่ใช่ IMF ซึ่งพวกนี้เขาประชุมระดับโลกปีละหลายๆ ครั้ง ประชุมไปก็อย่างนั้นแหละ ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้ เสียดายเงินในการประชุม หลังจากประชุมก็ตามน้ำไป Economics forum บ้าง Summit บ้าง

การซื้อขายกระดาษ หรือในทำนองเดียวกันคือการซื้อขายตัวเลข ซื้อขายตัวเลขที่อยู่ในกระดาษ ในใบหุ้น และส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่ต้องมีกระดาษด้วย เรียกว่า Paperless ซื้อขายตัวเลขที่เป็น Electronics data ผ่าน Internet ที่มีการบันทึกไว้ (Save) และทำการซื้อขายไปได้ทั่วโลกไม่ว่าราคาหุ้น ราคาเงินเหรียญสหรัฐ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งมีการสร้างตัวเลขแบบใหม่ๆ มาทำการซื้อด้วย ไม่รู้อะไรเป็นอะไร เต็มไปหมด

อุปมาอุปไมยการซื้อขายตัวเลขเหล่านี้ คล้ายการซื้อลอตเตอรี่หวยบนดินหรือใต้ดิน ที่มีการซื้อตัวเลขในกระดาษ พระพุทธเจ้าว่าเป็นการพนัน เป็นอบายมุขอบายมุขไม่ใช่แนวทางแห่งความเจริญ แต่เป็นแนวทางของความเสื่อม

เศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทยทุกวันนี้ จึงหนักไปทางธุรกรรมอบายมุข หรือระบบเศรษฐกิจอบายมุข เราจะเห็นว่าโลกเจริญขึ้นจริง แต่เป็นความเจริญทางวัตถุ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้น แต่ทรัพยากรเหล่านั้นจะตกเป็นของกองทุนโลกมากขึ้น สินค้าและบริการราคาจะสูงขึ้นตลอดเวลา หรือเงินเฟ้อสูงขึ้นตลอดเวลา จากความเสียหายของค่าเงินโลกเป็นช่วงๆ คนส่วนใหญ่ของโลกจะลำบากและเดือดร้อนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

เมื่อก่อนนี้ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์เคยเป็นของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาก็เหลือเป็นของคนไทย 75 เปอร์เซ็นต์ เป็นของต่างชาติ 25 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยเคยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF มาแล้วถึง 2 ครั้ง ทุกวันนี้ธนาคารเอกชนขนาดใหญ่ทั้ง 3 นี้ก็ไม่เหลือเป็นของคนไทยแล้ว ธนาคารขนาดกลางหลายแห่งก็ล้มลงไม่มีชื่อเหลืออยู่แล้ว ไม่ว่าธนาคารแหลมทอง ธนาคารศรีนคร ธนาคารสหธนาคาร ฯลฯ

รัฐวิสาหกิจที่เป็นของรัฐ หรือเป็นของประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ก็ไม่น่าจะตกไปเป็นของต่างชาติ แต่ก็คิดเอามาแปรรูป ให้ตกเป็นของนายทุนไทยและนายทุนต่างชาติ 49 เปอร์เซ็นต์ เหลือเป็นของประชาชนคนไทย 51 เปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างเช่น ปตท.และรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย ที่แปรรูปเข้าตลาดหุ้น

ทุกวันนี้เศรษฐกิจของทั้งโลก รวมทั้งอเมริกาและยุโรป ไม่ได้เป็นของคนท้องถิ่นแล้ว เป็นของบรรดากองทุนโลกไปแล้ว และเขาก็ไม่สนใจจะเป็นเจ้าของจริง สนใจเพียงใบหุ้นหรือตัวเลขที่แสดงเท่านั้น หากสิ่งแวดล้อมดีเขาก็เข้ามาเก็บใบหุ้นหรือเก็บตัวเลข ช่วงไหนสิ่งแวดล้อมไม่ดี เขาก็ทิ้งใบหุ้นหรือทิ้งตัวเลขนั้น

คนที่คุมเศรษฐกิจโลกตัวจริงคือบรรดากองทุนโลกต่างๆ ที่พวกเขาไม่เคยมีการรวมตัวประชุมระดับโลกแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เขาถล่มอเมริกาในปี 2000 จากนั้นเขาก็มาถล่มโลกและถล่มยุโรปในปี 2008

ภาพที่ 8 ดัชนีตลาดหุ้นรวมยุโรป 39 ประเทศ (รูปแบบคล้ายกันกับภาพที่ 2) ได้รับผลดีจากเงินไหลเข้าในปี 2001-2007 แล้วพังทลายลงในปี 2008 (Hamburger crisis) ทั้งตลาดหุ้นและค่าเงิน EURO ผันผวนแรงที่สุดทั้งนี้เพราะเป็นการต้อนรับการรวมตัวกันเป็นตัวสกุลเงิน EURO ในปี 1999 นั่นเอง

ก็เหลือแต่ซาก การพังทลายของระบบเศรษฐกิจ ไม่ต่างอะไรกับแก้วแตก ที่ไม่สามารถเอามาปะต่อปะติดให้เหมือนเดิมได้ แตกแล้วแตกเลย หรือคล้ายไฟไหม้ป่าจนเกลี้ยง จากนั้นก็มีต้นไม้ใบหญ้าเริ่มงอกขึ้นมาใหม่ คงงอกขึ้นมาอีกไม่นาน ก็จะถูกระบบที่เบี่ยงเบนทำลายลงอีก

ประเทศไทยและอาเซียน (AEC) กำลังเลียนแบบประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EU) โดยอ้างว่า ไม่ต้องรวมสกุลเงิน ก็จะไม่เสียหายเหมือน EU ประเทศไทยทุ่มงบประมาณให้สื่อโฆษณา AEC อย่างเข้มข้น ทั้งเช้าสายบ่ายค่ำ ทุกช่องทางสื่อ เป็นความหวังซ่อนเร้นของข้าราชการและนักวิชาการระดับสูง เขาทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใด เมื่อตั้ง AEC ขึ้นมาได้ จะทำให้พวกเขาได้ตำแหน่งราชการเพิ่มขึ้น ใหญ่ขึ้น จะมีคำว่า AEC ต่อยศของเขาให้ยาวขึ้นอีก

การเปิดอาเซียน คือความคิดที่เกินความพอเพียง ไม่เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะนำความยุ่งยากเดือดร้อนมาสู่อาเซียนและประเทศไทยในอนาคต

บรรดากองทุนโลกมีกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง ผ่านระบบการซื้อขายที่เรียกว่า Futures ซึ่งใช้เงินประกันการซื้อขายเพียง 5-20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเห็นว่าตัวเลขจะขึ้นเขาก็ซื้อตัวเลขนั้นก่อน แล้วขายภายหลังเมื่อตัวเลขนั้นสูงขึ้นมา และถ้าเห็นว่าตัวเลขจะตกเขาก็ขายตัวเลขนั้นไปก่อน แล้วไปซื้อกลับภายหลังเมื่อตัวเลขนั้นตกลงไป

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศจีน

ภาพที่ 9 (เป็นภาพต่อเนื่องกับภาพที่ 4) สังเกตว่าเงินหยวนของจีนตกลงตั้งแต่ต้นปี 2014 จะตกลงต่อเนื่องหรือไม่ หรือจะมีการฟื้นตัวตามมา ก็ยากจะคาดเดา มี Hedge funds กลุ่มเดียวที่รู้ ก็แสดงว่ากำลังมีการจัดการกับเงินหยวนของจีน คงต้องติดตามดูต่อไป

เศรษฐกิจของประเทศจีนดีและร้อนแรงต่อเนื่องมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี การเติบโตของ GDP เป็นเลข 2 หลักมานาน

ที่จีนดีขึ้นก็เพราะเงินของกองทุนโลกไหลเข้าต่างหาก ถ้าไม่มีเงินทุนไหลเข้า ประเทศจีนก็จะไม่เป็นประเทศจีนแบบทุกวันนี้ เรื่องนี้ไม่คิดว่าจะดีต่อประเทศจีน แต่เป็นรูปแบบของความเบี่ยงเบนทางเศรษฐกิจโลกมากกว่า

เมื่อเวลาจีนดี สื่อก็บอกว่าจีนจะเป็นเจ้าโลกด้านต่างๆ และบอกว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างจีนกับอเมริกา จีนกำลังจะเป็นผู้นำโลก

ไม่เป็นความจริงตามที่สื่อนั่งเทียนเขียนแต่อย่างใด ที่อเมริกาเป็นแบบนี้ ที่จีนเป็นแบบนี้ ที่โลกเป็นแบบนี้เป็นการปฏิบัติการของกองทุนโลกมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่าคนอเมริกันเก่ง หรือคนจีนเก่งแต่อย่างใด กองทุนโลกต่างหากคือคนที่เก่งที่สุด โจมตีทั้งอเมริกาและจีนในเวลาเดียวกัน ชาวโลกนั่งดูความเสื่อมของโลกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น