xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ทางลงของ “ม็อบกำนัน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การชุมนุมใหญ่ของ กปปส.เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพืื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) น่าจะมองหาทางลงของการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 5 เดือนได้แล้ว

ที่ต้องหาทางลง ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเป้าหมายการชุมนุมผิดพลาด เป้าหมายการโค่นล้มระบอบทักษิณที่เป็นอันตรายยิ่งต่อสังคมไทยนั้นเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่นายสุเทพและแกนนำ กปปส.ต้องทบทวนก็คือ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว เป็นยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่ถูกต้องหรือไม่

การนัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา โดยชูประเด็นเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้งนั้น นายสุเทพ และแกนนำ กปปส.ตั้งใจว่าจะให้เป็นการชุมนุมที่มีประชาชนเข้าร่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ไม่แพ้การชุมนุมใหญ่วันที่ 23 พฤศจิกายน, 9 ธันวาคม และ 23 ธันวาคม ในปี 2556 ซึ่งหากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ก็จะเห็นว่าการชุมนุมวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ยังเทียบกับการชุมนุมใหญ่ 3 ครั้งในปี 2556 ไม่ได้

ประเด็นสำคัญคือ นี่เป็นการนัดมวลชนมาชุมนุมใหญ่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่วิธีการที่จะสร้างแรงกดดันให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกไป กลับไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม มีเพียงการเดินไปถวายสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และพระบรมรูปรัชกาลที่ 7 ที่รัฐสภา แล้วเดินกลับไปประกาศชัยชนะที่สวนลุมพินี หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยังอยู่ ระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงก็ยังคุกคามความสงบสุขของคนไทยต่อไป และวันต่อมานายสุเทพก็ต้องคิดแคมเปญพามวลชนออกเดินตอนเช้าแล้วกลับสวนลุมพินีตอนเย็น ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่า ชัยชนะจะมาถึงเมื่อไร

มิหนำซ้ำ นายสุเทพ ยังประกาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคมว่า จะต้องมีการนัดชุมนุมใหญ่อีก 2-3 ครั้ง เพื่อเผด็จศึกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ได้ภายในเดือนเมษายน 2557 นี้ โดยที่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า การชุมนุมใหญ่จะเผด็จศึกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร หากยังเป็นการชุมนุมที่ไร้มาตรการกดดันที่เพียงพอ

อันที่จริงนายสุเทพเองน่าจะรู้ว่าหัวใจสำคัญที่ทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ได้ และระบอบทักษิณยังคงกัดกินสังคมไทยต่อไป คือ ระบบราชการที่ยังยอมเป็นมือเป็นไม้รับใช้รัฐบาลอยู่

นับตั้งแต่วันแรกๆ ที่นายสุเทพประกาศยกระดับการชุมนุมจากการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณ นายสุเทพก็เคยประกาศข้อเรียกร้องแล้วว่า ขอให้ข้าราชการหยุดรับใช้ระบอบทักษิณ และหันมายืนข้างประชาชน

แต่เมื่อเวลาผ่านมา 5 เดือนกว่า จนถึงวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายนที่ผ่านมา นายสุเทพยังต้องออกรณรงค์ไปตามกระทรวงต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้ข้าราชการออกมาร่วมต่อสู้กับประชาชน โดยที่ข้าราชการส่วนใหญ่ยังคงเงียบกริบต่อเสียงเรียกร้องของ กปปส.จะมีก็เพียงข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นที่ประกาศตัวออกมาอยู่ข้างมวลมหาประชาชน นั่นเพราะความกล้าหาญทางจริยธรรมของปลัดกระทรวงที่กล้าแสดงจุดยืนชัดเจน แม้ว่าตนเองจะได้ตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ก็ตาม

แต่กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงเดียวยังไม่พอ การที่จะทำให้รัฐบาลหมดซึ่งอำนาจบังคับบัญชาจะต้องได้รับความร่วมมือจากข้าราชการในทุกกระทรวงทบวงกรม

และกุญแจสำคัญที่จะทำให้อำนาจของรัฐบาลสิ้นสลายลงก็คือ การแสดงท่าทีของกองทัพ

นายสุเทพเคยแสดงความลิงโลดใจกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยบอกว่า กองทัพจะยืนข้างประเทศไทย ซึ่งนายสุเทพตีความคำว่ายืนข้างประเทศไทย หมายถึงไม่ได้เข้าข้างรัฐบาล แต่ยืนข้างประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งหมายถึงมวลมหาประชาชนนั่นเอง

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสักพัก นายสุเทพก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่า คำว่ากองทัพอยู่ข้างประเทศไทยนั้น เป็นเพียงคำพูดเพื่อเอาตัวรอดของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อไม่ให้ตัวเองมีเรื่องขัดแย้งกับทั้งมวลมหาประชาชนและรัฐบาล

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ดูเหมือนจะเด็ดขาดดุดัน เช่น ที่เคยบอกว่าหากประชาชนบาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ก็มีค่าเพียงแค่ผายลม เพราะจนขณะนี้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตแล้ว 21 คน บาดเจ็บร่วม 750 คน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เคยทำอะไรที่จะกดดันให้รัฐบาลรับผิดชอบ

มิหนำซ้ำ ล่าสุดยังออกมาเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นเพียงลูกจ้างของรัฐบาล เหมือนเจ้าของบริษัทจ้างมา จะประท้วงเจ้าของบริษัทได้ไหม ตนจำเป็นต้องรักษาสถานภาพ เพื่อจะต้องทำงานทุกงานให้ได้ จะผิดจะถูกก็ว่ากันมา จะรับไม่รับก็ว่ากันมา

คำพูดนี้ ถ้านายสุเทพไม่หูหนวกตาบอด ก็น่าจะตาสว่างได้แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ยืนข้างมวลมหาประชาชนอย่างที่นายสุเทพพยายามเข้าใจ แต่ได้ใช้วิธีการเต้น “ชะชะช่า” คือ เดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 3 ก้าว อย่างที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์ที่ตึงเครียดก็ออกมาโวยวายทีหนึ่ง บอกเดี๋ยวจะประกาศกฎอัยการศึก พอสักพักคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้เรื่องก็ถอยหลังอีก 3 ก้าว ก็คืออยู่กับที่ รอให้เกษียณอายุโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เอาเงินเอาทองไปใช้มีความสุข

นอกจากนี้ นายสนธิ ยังได้ฟันธงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมทำงานเพื่อประชาชน แต่ทำงานเพื่อ นช.ทักษิณ และนายสุเทพ ก็ยังเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เหมือนเดิม ทั้งที่นายสนธิเคยแนะนำนายสุเทพแล้วว่า หากต้องการชัยชนะเป็นของมวลมหาประชาชนโดยเร็ว นายสุเทพต้องนำมวลชนไปกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ออกมายืนข้างประชาชน ไม่ใช่ลอยตัวหนีปัญหาเพื่อเอาตัวรอดอย่างที่เป็นอยู่

ทั้งนี้ นายสุเทพ และแกนนำ กปปส.ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า การให้กองทัพออกมายืนข้างประชาชนนั้น ไม่ใช่ให้ทหารออกมายึดอำนาจจากรัฐบาล แต่ผู้นำเหล่าทัพต้องแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรม กล้าประกาศตัวว่า จะไม่รับใช้รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมอีกต่อไป โดยที่ไม่เกรงกลัวว่าจะสูญเสียตำแหน่งและผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ เหมือนที่ ผบ.หน่วยซีล กล้าประกาศตัว ซึ่งหากผู้นำทุกเหล่าทัพกล้าประกาศท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ข้าราชการกระทรวงอื่นย่อมจะกล้าประกาศตัวตามมา

แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น นอกจากผู้นำเหล่าทัพไม่กล้าประกาศตัวยืนข้างประชาชนแล้ว ผบ.หน่วยซีลยังถูกย้ายเข้ากรุอีก นั่นเพราะมวลชนไม่สามารถสร้างแรงกดดันต่อกองทัพได้มากพอ

นายสุเทพ เล่นการเมืองมา 30 กว่าปี เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เมื่อมาเป็นผู้นำมวลชนเคลื่อนไหวโค่นล้มระบอบทักษิณ นายสุเทพ ก็น่าจะรู้ว่าในกลไกราชการนั้น หน่วยงานไหนคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ระบอบทักษิณคงอยู่หรือพังครืนลงไป

แต่นายสุเทพก็ยังไม่ได้นำมวลชนพุ่งเป้าไปกดดันผู้นำเหล่าทัพแต่อย่างใด ซ้ำยังช่วยแก้ตัวให้ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาเปรียบเทียบว่าตนเองเป็นลูกจ้างของรัฐบาล ว่า กองทัพยังเป็นทหารของแผ่นดิน ไม่คิดร้ายต่อประชาชน และต้องวางตัวให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ ที่ผ่านมากองทัพก็ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองมวลมหาประชาชนมามากพอแล้ว จนพวกเสื้อแดงไม่พอใจ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาด่าว่า ทหารเข้าข้าง กปปส.

นั่นก็แสดงว่า นายสุเทพจะไม่ทำอะไรที่เป็นการกดดันกองทัพอย่างแน่นอน ในการชุมนุมใหญ่อีก 2-3 ครั้งในเดือนเมษายนนี้

จึงกลายเป็นคำถามว่า แล้วระบอบทักษิณจะถูกโค่นล้มได้อย่างไร

หรือจะรอให้ศาลและองค์กรอิสระมีคำตัดสินกรณีทุจริตของรัฐบาลชุดนี้ออกมา ดั่งที่เรียกกันว่า “รอมะม่วงหล่น”

ถ้าเช่นนั้น จะนำมวลชนออกมาชุมนุมอีกต่อไปทำไม เสียทั้งเวลา เสียกำลังกายกำลังทรัพย์ สู้นอนรอมะม่วงหล่นอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ


กำลังโหลดความคิดเห็น