“สมมติว่า ท่านทำงานในบริษัทหนึ่งและท่านประท้วงเจ้าของบริษัท ถามว่า ทำได้หรือไม่ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผู้บริหารของคุณ คุณกล้าไล่เขาออกหรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ...เมื่อเขาให้ผมทำหน้าที่อะไรผมก็ทำตามหน้าที่ ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ให้เกินเลย เพราะจำเป็นต้องรักษาสถานภาพของผม เพื่อทำงานทุกงานให้ได้ ส่วนจะผิดหรือถูก จะรับหรือไม่รับก็ต้องไปว่ากันมา”
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า คำพูดนี้จะเป็นคำพูดของคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้กองทัพอย่ายอมรับอำนาจของรัฐบาลรักษาการ
เพราะมันสะท้อนและตีความได้ว่า ประเทศไทยนี้เปรียบเหมือนบริษัทที่มีตระกูลชินวัตรเป็นเจ้าของ จะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ลดตัวเองเป็นลูกจ้างบริษัททั้งที่เกียรติยศของทหารนั้นมีบทบาทหน้าที่ในการพิทักษ์ชาติ ราชบังลังก์และปกป้องประชาชนให้พ้นจากอริราชศัตรูของแผ่นดิน
ทั้งที่คนที่เป็นนายจ้างของประยุทธ์ก็คือ ประชาชน ไม่ใช่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนั้นฟังถ้อยคำที่ให้สัมภาษณ์แล้วยังบ่งบอกได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังสารภาพว่า การวางบทบาทของเขาต่อสถานการณ์การเมืองทุกวันนี้ เพียงเพื่อพยุงรักษาอำนาจของตัวเองเท่านั้น
คำพูดข้างบนนี้สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของตัวเองเลย ไม่ได้รักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ย้อนไปนึกถึงตอนที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ได้เอ๋ยว่า “ตรงจุดนี้น่าจะให้ ผบ.ทบ.มาอ่านดูบ้างนะ” หลังจากท่านได้อ่านข้อความที่แกะสลักไว้ที่ใต้ฐานอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ที่ระบุว่า “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”
สะท้อนว่า ความรู้สึกนึกคิดที่พล.อ.ประยุทธ์ เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเองออกมานั้น ไม่ได้เกินเลยวิสัยที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้คาดการณ์เอาไว้เลย
เขามองเห็นรัฐบาลเป็นนายจ้างที่สำคัญกว่าประชาชน เขาไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน แต่มีจุดมุ่งหมายที่จะรับใช้รัฐบาลซึ่งถือเป็นนายจ้างของเขาเพียงอย่างเดียว
กระทั่งไม่สนใจว่านายจ้างของเขาได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมหรือไม่ เฉยเมยทุกอย่างแม้รัฐบาลจะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้กองกำลังลับที่สนับสนุนรัฐบาลใช้อาวุธสงครามออกมาทำร้ายประชาชน ปล่อยให้มวลชนของรัฐบาลจัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาพิทักษ์รัฐบาลแม้จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็เพิกเฉยไม่สนใจไยดีไม่มีปฏิกิริยาที่จะออกมายับยั้งในฐานะที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศนี้ในฐานะลูกจ้างของประชาชนไม่ใช่ลูกจ้างของตระกูลชินวัตร
วันนี้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้และตัวตนที่แท้จริงของประยุทธ์แล้ว คำถามต่อไปว่าคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นผู้นำมวลชนออกมาต่อต้านรัฐบาลอยู่ตอนนี้ได้ยินคำพูดนี้หรือไม่
เพราะคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมากำนันสุเทพทอดไมตรีไปยังผู้บัญชาการทหารบกคนนี้มาก เหมือนกับว่า มีสัญญาใจอะไรที่ตกลงกันไว้อยู่ แต่สิ่งที่เราเห็นจากพล.อ.ประยุทธ์ก็คือ ลีลาที่สนธิ ลิ้มทองกุล เรียกว่า เต้นชะชะช่า คือ ทำเป็นเดินหน้า 3 ก้าว และถอยหลัง 3 ก้าวเหมือนจังหวะการเต้น แต่สุดท้ายแล้วก็ย่ำอยู่ที่เดิม แล้วก็ได้ยินคำพูดจาที่สะท้อนออกมาวันนี้ว่า เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองเอาไว้เท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรมากไปกว่านับวันให้ตัวเองเกษียณอายุแล้วออกไปใช้ชีวิตยามบั้นปลาย
ผมจำได้ว่าตอนผมเป็นนักเรียนมัธยม ผู้อำนวยการโรงเรียนท่านหนึ่งใกล้เกษียณอายุแล้ว ก็นั่งรอวันเวลาจะเกษียณอายุไปวันๆ ผมเดินเข้าไปในห้องพักของท่านแล้วบอกว่า “ท่านผอ.ครับรู้ไหมครับว่า ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนเขานินทาท่านว่า ทุกวันนี้ท่านไม่ได้ทำอะไรให้โรงเรียนเลย แต่อยู่รอวันที่จะเกษียณอายุอย่างเดียว ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้ท่านลาออกไปเถอะครับ” ผมจำได้ว่า วันนั้นท่านผอ.ตกใจมากที่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งกล้าไปพูดกับตัวเองอย่างนี้ ท่านอึ้งไปพักใหญ่
วันนี้ผมอยากพูดแบบนั้นกับพล.อ.ประยุทธ์ครับ ถ้าท่านคิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้างบริษัท อยู่เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเอง ก็ลาออกไปเถอะครับ อย่าอยู่เพื่อทำลายศักดิ์ศรีของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเลย
สำหรับกำนันสุเทพ ผมว่า ถึงวันนี้ต้องบอกความจริงกับมวลมหาประชาชนที่รักและศรัทธาตัวท่านแล้วว่า เป้าหมายการต่อสู้ที่แท้จริงของกำนันคืออะไร เพราะถ้าท่านยังฝากความหวังไว้กับผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ วันนี้ท่านต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ไม่สามารถพึ่งพาได้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ไม่มีวันที่จะหันกลับมายืนเคียงข้างประชาชน เพราะทัศนคติของเขาที่เปิดเผยออกมาแล้วว่า เขามองนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของบริษัทและตัวเองเป็นลูกจ้างบริษัทเท่านั้นเอง
เมื่อชัดเจนแล้วว่า ไม่สามารถคาดหวังให้ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ออกมายืนเคียงข้างประชาชนได้ ผมคิดว่าถึงเวลาที่กำนันสุเทพต้องบอกให้ชัดว่า เป้าหมายที่รอคอยคืออะไร ความเป็นไปได้ที่จะตั้งรัฐบาลคนกลาง ตั้งสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปการเมืองยังมีอยู่หรือไม่ หรือจริงๆ แล้วเพียงเพื่อต้องการให้องค์กรอิสระจัดการกับนายกฯ แล้วตั้งรัฐบาลคนกลางขึ้นมา รัฐบาลคนกลางจะมีที่มาอย่างไร มาจากไหน ถึงเวลาจริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญมาตรา 7 จะใช้ได้หรือไม่ ใครจะเป็นคนใช้อย่างไร
ความหมายของนายกฯ คนกลางคืออะไร คนที่มวลมหาประชาชนยอมรับได้เพียงฝ่ายเดียว หรือคนที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ แล้วถึงเวลานั้น นายกฯ คนกลางจะนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมไหม หรือกลายเป็นว่า หลังจากได้เป้าหมายที่ฝ่ายมวลมหาประชาชนต้องการแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะลุกฮือขึ้นมาชุมนุมแทนเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น
มองไม่ออกเลยครับว่า สิ่งที่มวลมหาประชาชนต่อสู้และตายไปแล้วกว่า 20 ชีวิตจะไปสู่เป้าหมายที่เป็นจริงได้อย่างไร
เพราะบอกตรงๆ ครับ แม้ผมจะสนับสนุนการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน แต่ผมยิ่งมองก็ยิ่งเห็นหนทางที่สับสนเหมือนการรอคอยที่ทอดเวลาไปอย่างไร้จุดหมายเป็นวันๆ ไป ถ้าถามว่าควรจะทำอย่างไร ผมบอกว่าไม่รู้ครับ เพราะผมไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของกำนัน รู้แต่ว่าที่ผ่านมากำนันสุเทพฝากความหวังไว้กับพล.อ.ประยุทธ์มาก แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างไร ผมจึงหวังเพียงว่า กำนันจะวางบทบาทของเขาต่อพล.อ.ประยุทธ์เสียใหม่ และบอกเป้าหมายการต่อสู้ที่แท้จริงกับมวลมหาประชาชน
ผมพยายามจะไม่สนใจนะครับว่า กำนันสุเทพมีความเป็นมาอย่างไร พยายามเชื่อนะครับว่า วันนี้กำนันสุเทพวางมือทางการเมืองแล้ว และมีเป้าหมายที่จะทำเพื่อชาติในบั้นปลายของชีวิต
แต่กำนันสุเทพครับ เลิกฝากความหวังไว้กับชายที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชาได้แล้วครับ เราฝากความหวังไว้กับ ผบ.ทบ.ที่คิดว่าตัวเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทไม่ได้ นำพามวลมหาประชาชนต่อสู้ไปบนหนทางที่เป็นจริงเถอะครับ
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า คำพูดนี้จะเป็นคำพูดของคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้กองทัพอย่ายอมรับอำนาจของรัฐบาลรักษาการ
เพราะมันสะท้อนและตีความได้ว่า ประเทศไทยนี้เปรียบเหมือนบริษัทที่มีตระกูลชินวัตรเป็นเจ้าของ จะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ลดตัวเองเป็นลูกจ้างบริษัททั้งที่เกียรติยศของทหารนั้นมีบทบาทหน้าที่ในการพิทักษ์ชาติ ราชบังลังก์และปกป้องประชาชนให้พ้นจากอริราชศัตรูของแผ่นดิน
ทั้งที่คนที่เป็นนายจ้างของประยุทธ์ก็คือ ประชาชน ไม่ใช่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนั้นฟังถ้อยคำที่ให้สัมภาษณ์แล้วยังบ่งบอกได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังสารภาพว่า การวางบทบาทของเขาต่อสถานการณ์การเมืองทุกวันนี้ เพียงเพื่อพยุงรักษาอำนาจของตัวเองเท่านั้น
คำพูดข้างบนนี้สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของตัวเองเลย ไม่ได้รักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ย้อนไปนึกถึงตอนที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ได้เอ๋ยว่า “ตรงจุดนี้น่าจะให้ ผบ.ทบ.มาอ่านดูบ้างนะ” หลังจากท่านได้อ่านข้อความที่แกะสลักไว้ที่ใต้ฐานอนุสาวรีย์ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ที่ระบุว่า “ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา”
สะท้อนว่า ความรู้สึกนึกคิดที่พล.อ.ประยุทธ์ เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเองออกมานั้น ไม่ได้เกินเลยวิสัยที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้คาดการณ์เอาไว้เลย
เขามองเห็นรัฐบาลเป็นนายจ้างที่สำคัญกว่าประชาชน เขาไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน แต่มีจุดมุ่งหมายที่จะรับใช้รัฐบาลซึ่งถือเป็นนายจ้างของเขาเพียงอย่างเดียว
กระทั่งไม่สนใจว่านายจ้างของเขาได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมหรือไม่ เฉยเมยทุกอย่างแม้รัฐบาลจะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้กองกำลังลับที่สนับสนุนรัฐบาลใช้อาวุธสงครามออกมาทำร้ายประชาชน ปล่อยให้มวลชนของรัฐบาลจัดตั้งกองกำลังเถื่อนขึ้นมาพิทักษ์รัฐบาลแม้จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็เพิกเฉยไม่สนใจไยดีไม่มีปฏิกิริยาที่จะออกมายับยั้งในฐานะที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศนี้ในฐานะลูกจ้างของประชาชนไม่ใช่ลูกจ้างของตระกูลชินวัตร
วันนี้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้และตัวตนที่แท้จริงของประยุทธ์แล้ว คำถามต่อไปว่าคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นผู้นำมวลชนออกมาต่อต้านรัฐบาลอยู่ตอนนี้ได้ยินคำพูดนี้หรือไม่
เพราะคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่ผ่านมากำนันสุเทพทอดไมตรีไปยังผู้บัญชาการทหารบกคนนี้มาก เหมือนกับว่า มีสัญญาใจอะไรที่ตกลงกันไว้อยู่ แต่สิ่งที่เราเห็นจากพล.อ.ประยุทธ์ก็คือ ลีลาที่สนธิ ลิ้มทองกุล เรียกว่า เต้นชะชะช่า คือ ทำเป็นเดินหน้า 3 ก้าว และถอยหลัง 3 ก้าวเหมือนจังหวะการเต้น แต่สุดท้ายแล้วก็ย่ำอยู่ที่เดิม แล้วก็ได้ยินคำพูดจาที่สะท้อนออกมาวันนี้ว่า เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองเอาไว้เท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรมากไปกว่านับวันให้ตัวเองเกษียณอายุแล้วออกไปใช้ชีวิตยามบั้นปลาย
ผมจำได้ว่าตอนผมเป็นนักเรียนมัธยม ผู้อำนวยการโรงเรียนท่านหนึ่งใกล้เกษียณอายุแล้ว ก็นั่งรอวันเวลาจะเกษียณอายุไปวันๆ ผมเดินเข้าไปในห้องพักของท่านแล้วบอกว่า “ท่านผอ.ครับรู้ไหมครับว่า ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนเขานินทาท่านว่า ทุกวันนี้ท่านไม่ได้ทำอะไรให้โรงเรียนเลย แต่อยู่รอวันที่จะเกษียณอายุอย่างเดียว ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้ท่านลาออกไปเถอะครับ” ผมจำได้ว่า วันนั้นท่านผอ.ตกใจมากที่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งกล้าไปพูดกับตัวเองอย่างนี้ ท่านอึ้งไปพักใหญ่
วันนี้ผมอยากพูดแบบนั้นกับพล.อ.ประยุทธ์ครับ ถ้าท่านคิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้างบริษัท อยู่เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเอง ก็ลาออกไปเถอะครับ อย่าอยู่เพื่อทำลายศักดิ์ศรีของตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเลย
สำหรับกำนันสุเทพ ผมว่า ถึงวันนี้ต้องบอกความจริงกับมวลมหาประชาชนที่รักและศรัทธาตัวท่านแล้วว่า เป้าหมายการต่อสู้ที่แท้จริงของกำนันคืออะไร เพราะถ้าท่านยังฝากความหวังไว้กับผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ วันนี้ท่านต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ไม่สามารถพึ่งพาได้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ไม่มีวันที่จะหันกลับมายืนเคียงข้างประชาชน เพราะทัศนคติของเขาที่เปิดเผยออกมาแล้วว่า เขามองนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของบริษัทและตัวเองเป็นลูกจ้างบริษัทเท่านั้นเอง
เมื่อชัดเจนแล้วว่า ไม่สามารถคาดหวังให้ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ออกมายืนเคียงข้างประชาชนได้ ผมคิดว่าถึงเวลาที่กำนันสุเทพต้องบอกให้ชัดว่า เป้าหมายที่รอคอยคืออะไร ความเป็นไปได้ที่จะตั้งรัฐบาลคนกลาง ตั้งสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปการเมืองยังมีอยู่หรือไม่ หรือจริงๆ แล้วเพียงเพื่อต้องการให้องค์กรอิสระจัดการกับนายกฯ แล้วตั้งรัฐบาลคนกลางขึ้นมา รัฐบาลคนกลางจะมีที่มาอย่างไร มาจากไหน ถึงเวลาจริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญมาตรา 7 จะใช้ได้หรือไม่ ใครจะเป็นคนใช้อย่างไร
ความหมายของนายกฯ คนกลางคืออะไร คนที่มวลมหาประชาชนยอมรับได้เพียงฝ่ายเดียว หรือคนที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ แล้วถึงเวลานั้น นายกฯ คนกลางจะนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งจะยอมไหม หรือกลายเป็นว่า หลังจากได้เป้าหมายที่ฝ่ายมวลมหาประชาชนต้องการแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะลุกฮือขึ้นมาชุมนุมแทนเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น
มองไม่ออกเลยครับว่า สิ่งที่มวลมหาประชาชนต่อสู้และตายไปแล้วกว่า 20 ชีวิตจะไปสู่เป้าหมายที่เป็นจริงได้อย่างไร
เพราะบอกตรงๆ ครับ แม้ผมจะสนับสนุนการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน แต่ผมยิ่งมองก็ยิ่งเห็นหนทางที่สับสนเหมือนการรอคอยที่ทอดเวลาไปอย่างไร้จุดหมายเป็นวันๆ ไป ถ้าถามว่าควรจะทำอย่างไร ผมบอกว่าไม่รู้ครับ เพราะผมไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของกำนัน รู้แต่ว่าที่ผ่านมากำนันสุเทพฝากความหวังไว้กับพล.อ.ประยุทธ์มาก แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างไร ผมจึงหวังเพียงว่า กำนันจะวางบทบาทของเขาต่อพล.อ.ประยุทธ์เสียใหม่ และบอกเป้าหมายการต่อสู้ที่แท้จริงกับมวลมหาประชาชน
ผมพยายามจะไม่สนใจนะครับว่า กำนันสุเทพมีความเป็นมาอย่างไร พยายามเชื่อนะครับว่า วันนี้กำนันสุเทพวางมือทางการเมืองแล้ว และมีเป้าหมายที่จะทำเพื่อชาติในบั้นปลายของชีวิต
แต่กำนันสุเทพครับ เลิกฝากความหวังไว้กับชายที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชาได้แล้วครับ เราฝากความหวังไว้กับ ผบ.ทบ.ที่คิดว่าตัวเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทไม่ได้ นำพามวลมหาประชาชนต่อสู้ไปบนหนทางที่เป็นจริงเถอะครับ