(27 มี.ค.57)
ระยะนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสับสน และดูเหมือนจะเข้าสู่ “ทางตัน”
ในที่นี้ ผู้เขียนขอวิสัชนาสองเรื่องใหญ่ เพื่อชี้ให้เห็นทางออกที่เป็นจริงของประเทศไทย คือ 1.การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีของประชาชน และ 2.สภาประชาชนคือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยยุคใหม่
1. การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีของประชาชน
มาถึงวันนี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า “นายกฯ คนกลาง” มีความเป็นไปได้น้อยมาก
ไม่เพียงเพราะถูกฝ่าย “นปช.”หรือกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณเคลื่อนไหวต่อต้านเท่านั้น ด้วยเหตุผลเดิมๆของพวกเขาคือ “ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย” คือไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้แต่ในหมู่มวลมหาประชาชนเองที่กำลังขับเคี่ยวอยู่กับระบอบทักษิณ ก็ดูจะรู้สึก “แปลกแยก” และรับไม่ได้กับ “นายกฯคนกลาง” ที่ว่านี้ เพราะการต่อสู้ของพวกเขา มีจุดมุ่งหมายชัดเจน คือล้างการเมืองชั่ว สร้างการเมืองดี มุ่งสร้างการเมืองของประชาชนขึ้นมาแทนที่การเมืองกลุ่มทุน ใช้ระบบสภาประชาชน แทนที่ระบบรัฐสภา ใช้การ “เลือกสรร” แบบประชาธิปไตยทางตรง ที่อำนาจอธิปไตยอยู่ในการกำกับของประชาชนอย่างแท้จริง แทนที่การเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยทางอ้อม ที่อำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนฉวยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
เส้นทางที่ขบวนการประชาชนเดินมา ก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงเจตจำนงทางการเมืองนี้ เริ่มตั้งแต่การประกาศตัว เป็น “เจ้าภาพ” นำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดำเนินยุทธศาสตร์ “สงครามมวลชน” รวมพลังอำนาจดีที่ “ตื่นรู้” เรือนแสนเรือนล้าน เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย และยิ่งลักษณ์ ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ แล้วสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นเป็นอำนาจนำ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทยไปสู่อนาคตอันยาวไกล
ด้วยเหตุนี้ หากมาถึงโค้งสุดท้าย ในห้วงใกล้ที่จะ “ปิดฉาก” ระบอบทักษิณ จู่ๆก็มี “นายกฯคนกลาง” ซึ่งเป็นตัวเลือกจากการตกลง “เกี้ยเซี๊ยะ” หรือเอออวยกันเอง ระหว่างกลุ่มอำนาจเดิมๆ โผล่แทรกขึ้นมา ”หยิบชิ้นปลามัน” ไปจากขบวนการประชาชน มันก็มิต่างจากสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “เตะหมูเข้าปากหมา” ไปแล้วหรือ ?
ทั้งนี้ ตามแนวคิดของภาคประชาชน นายกรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นนี้ จะต้องเป็น “นายกฯของประชาชน” ที่เกิดจากกระบวนการ “เลือกสรร” ของมวลมหาประชาชนทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การพิจารณาและลงมติของที่ประชุมสภาประชาชน แล้วทำการลงประชามติทั้งประเทศ รับรองความชอบธรรมสูงสุดของนายกฯของประชาชน หลังจากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯขอทรงลงพระปรมาภิไธย
เห็นได้ชัดว่า กระบวนการได้มาซึ่ง “นายกฯคนกลาง” ไม่อาจไปกันได้กับกระบวนการขับเคลื่อนของมวลมหาประชาชน ที่มุ่งสถาปนาอำนาจอธิปไตยของประชาชนขึ้นมาอย่างเป็นจริงบนผืนแผ่นดินไทย
อีกนัยหนึ่ง นายกรัฐมนตรีของประชาชน จะต้องเป็นนายกฯ “ทางตรง” อันเกิดจากกระบวนการที่สะท้อนถึงอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนโดยตรงเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่ง นายกรัฐมนตรีของประชาชน จะต้องถือกำเนิดขึ้นมาในท่ามกลางการขับเคลื่อนของกระบวนการประชาธิปไตย “ทางตรง”ของประชาชนเท่านั้น เพราะกระบวนการเช่นว่านี้ ก็คือหัวใจของระบอบประชาธิปไตยของประชาชน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มวลมหาประชาชนร่วมกันประดิษฐ์คิดค้น ร่วมกันสร้างสรรค์และ “นวัตกรรม” ขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน ร่วมสิบปี
2. สภาประชาชน คือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยยุคใหม่
ผู้เขียนมีแนวคิดชัดเจนมาเป็นลำดับว่า ประเทศไทยหลุดพ้นจากทางตันได้ เมื่อคนไทยเลิกแบ่งแยก และคนไทยเลิกแบ่งแยกกันได้ เมื่อ “ทุกฝ่าย” เข้าร่วมใช้อำนาจอธิปไตยในสภาประชาชน ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ร่วมกันออกแบบประเทศไทย และร่วมกันกำหนดมาตรฐานชีวิตคนไทย
ด้วยเหตุผลสองประการ ดังนี้
ประการแรก ระบบสภาประชาชน เป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ มันคือหนทางใหม่(หนทางของประชาชน โดยอำนาจนำของประชาชน)ที่ประเทศไทยต้องเลือกเดิน และจำเป็นต้องเดิน เนื่องเพราะมันเป็นหนทางที่มวลมหาประชาชนได้สร้างขึ้นมาแล้วอย่างเป็นจริง เพื่อแทนที่หนทางเดิมๆ ที่ไม่ว่าฝายใดเป็นผู้กำหนด ล้วนได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า ได้มาถึงทางตันกันหมดสิ้นแล้ว
สะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์โดยรวมของพวกเขา ต้องตกที่นั่งเดียวกัน คือ “ล็อกกันตาย” ขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ไม่ได้
– เดินหน้าเลือกตั้ง ก็ไม่ได้
– ปฏิรูปก่อนแล้วเลือกตั้งก็ไม่ได้
– รัฐประหารก่อน แล้วจัดระเบียบอำนาจกันใหม่ก็ไม่ได้
ประการที่สอง สภาประชาชน คือฐานใหม่ที่คนไทย “ทุกฝ่าย” (โดยตัวแทนที่เกิดจากกระบวนการเลือกสรรตามครรลองของ “ประชาธิปไตยทางตรง”)มาร่วมคิดร่วมทำ โดยถือเอาผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน มันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการขจัดความแตกแยกทางความคิด การเมือง และการปฏิบัติของคนไทยโดยรวมให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังเป็นต้นธารแห่งความสมัครสมานสมัคคีกันของคนไทยทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง
ในสภาวะหรือเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงเช่นนี้ สมควรและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจเดิมๆ “ทุกฝ่าย” จะต้องละย้ายจากฐานเฉพาะของตน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้ง มาอยู่บนฐานร่วมของประชาชน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
นี่คือทางออกของคนไทยโดยรวม ที่ต้องการก้าวพ้นการแบ่งแยกและความแตกแยก
ด้วยเหตุนี้ ทิศทางที่เราจะต้องยืนหยัดดำเนินการปฏิบัติร่วมกัน ก็คือ สร้างสภาประชาชน ให้เป็นเวทีของคนไทย “ทุกฝ่าย”
โดยดึงเอาคนไทย“ทุกฝ่าย” มายืนอยู่บนฐานของ “ผลประโยขน์ชาติและประชาชน” เคารพความแตกต่างทางความคิดของกันและกัน ถือเอาความจริงเป็นตัวตั้ง และพร้อมที่จะปรับแนวความคิดของตนให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ “เข้าถึง”ได้เสมอ มุ่งมั่นที่จะร่วมกันปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นไปให้ได้ในทุกขั้นตอน ของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศไทย
ระยะนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสับสน และดูเหมือนจะเข้าสู่ “ทางตัน”
ในที่นี้ ผู้เขียนขอวิสัชนาสองเรื่องใหญ่ เพื่อชี้ให้เห็นทางออกที่เป็นจริงของประเทศไทย คือ 1.การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีของประชาชน และ 2.สภาประชาชนคือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยยุคใหม่
1. การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีของประชาชน
มาถึงวันนี้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า “นายกฯ คนกลาง” มีความเป็นไปได้น้อยมาก
ไม่เพียงเพราะถูกฝ่าย “นปช.”หรือกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณเคลื่อนไหวต่อต้านเท่านั้น ด้วยเหตุผลเดิมๆของพวกเขาคือ “ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย” คือไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้แต่ในหมู่มวลมหาประชาชนเองที่กำลังขับเคี่ยวอยู่กับระบอบทักษิณ ก็ดูจะรู้สึก “แปลกแยก” และรับไม่ได้กับ “นายกฯคนกลาง” ที่ว่านี้ เพราะการต่อสู้ของพวกเขา มีจุดมุ่งหมายชัดเจน คือล้างการเมืองชั่ว สร้างการเมืองดี มุ่งสร้างการเมืองของประชาชนขึ้นมาแทนที่การเมืองกลุ่มทุน ใช้ระบบสภาประชาชน แทนที่ระบบรัฐสภา ใช้การ “เลือกสรร” แบบประชาธิปไตยทางตรง ที่อำนาจอธิปไตยอยู่ในการกำกับของประชาชนอย่างแท้จริง แทนที่การเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยทางอ้อม ที่อำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนฉวยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
เส้นทางที่ขบวนการประชาชนเดินมา ก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงเจตจำนงทางการเมืองนี้ เริ่มตั้งแต่การประกาศตัว เป็น “เจ้าภาพ” นำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดำเนินยุทธศาสตร์ “สงครามมวลชน” รวมพลังอำนาจดีที่ “ตื่นรู้” เรือนแสนเรือนล้าน เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย และยิ่งลักษณ์ ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ แล้วสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นเป็นอำนาจนำ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทยไปสู่อนาคตอันยาวไกล
ด้วยเหตุนี้ หากมาถึงโค้งสุดท้าย ในห้วงใกล้ที่จะ “ปิดฉาก” ระบอบทักษิณ จู่ๆก็มี “นายกฯคนกลาง” ซึ่งเป็นตัวเลือกจากการตกลง “เกี้ยเซี๊ยะ” หรือเอออวยกันเอง ระหว่างกลุ่มอำนาจเดิมๆ โผล่แทรกขึ้นมา ”หยิบชิ้นปลามัน” ไปจากขบวนการประชาชน มันก็มิต่างจากสิ่งที่เราเคยเรียกว่า “เตะหมูเข้าปากหมา” ไปแล้วหรือ ?
ทั้งนี้ ตามแนวคิดของภาคประชาชน นายกรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นนี้ จะต้องเป็น “นายกฯของประชาชน” ที่เกิดจากกระบวนการ “เลือกสรร” ของมวลมหาประชาชนทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การพิจารณาและลงมติของที่ประชุมสภาประชาชน แล้วทำการลงประชามติทั้งประเทศ รับรองความชอบธรรมสูงสุดของนายกฯของประชาชน หลังจากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯขอทรงลงพระปรมาภิไธย
เห็นได้ชัดว่า กระบวนการได้มาซึ่ง “นายกฯคนกลาง” ไม่อาจไปกันได้กับกระบวนการขับเคลื่อนของมวลมหาประชาชน ที่มุ่งสถาปนาอำนาจอธิปไตยของประชาชนขึ้นมาอย่างเป็นจริงบนผืนแผ่นดินไทย
อีกนัยหนึ่ง นายกรัฐมนตรีของประชาชน จะต้องเป็นนายกฯ “ทางตรง” อันเกิดจากกระบวนการที่สะท้อนถึงอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนโดยตรงเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่ง นายกรัฐมนตรีของประชาชน จะต้องถือกำเนิดขึ้นมาในท่ามกลางการขับเคลื่อนของกระบวนการประชาธิปไตย “ทางตรง”ของประชาชนเท่านั้น เพราะกระบวนการเช่นว่านี้ ก็คือหัวใจของระบอบประชาธิปไตยของประชาชน อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มวลมหาประชาชนร่วมกันประดิษฐ์คิดค้น ร่วมกันสร้างสรรค์และ “นวัตกรรม” ขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน ร่วมสิบปี
2. สภาประชาชน คือจุดเริ่มต้นของประเทศไทยยุคใหม่
ผู้เขียนมีแนวคิดชัดเจนมาเป็นลำดับว่า ประเทศไทยหลุดพ้นจากทางตันได้ เมื่อคนไทยเลิกแบ่งแยก และคนไทยเลิกแบ่งแยกกันได้ เมื่อ “ทุกฝ่าย” เข้าร่วมใช้อำนาจอธิปไตยในสภาประชาชน ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ร่วมกันออกแบบประเทศไทย และร่วมกันกำหนดมาตรฐานชีวิตคนไทย
ด้วยเหตุผลสองประการ ดังนี้
ประการแรก ระบบสภาประชาชน เป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ มันคือหนทางใหม่(หนทางของประชาชน โดยอำนาจนำของประชาชน)ที่ประเทศไทยต้องเลือกเดิน และจำเป็นต้องเดิน เนื่องเพราะมันเป็นหนทางที่มวลมหาประชาชนได้สร้างขึ้นมาแล้วอย่างเป็นจริง เพื่อแทนที่หนทางเดิมๆ ที่ไม่ว่าฝายใดเป็นผู้กำหนด ล้วนได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า ได้มาถึงทางตันกันหมดสิ้นแล้ว
สะท้อนให้เห็นถึงสภาวการณ์โดยรวมของพวกเขา ต้องตกที่นั่งเดียวกัน คือ “ล็อกกันตาย” ขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ไม่ได้
– เดินหน้าเลือกตั้ง ก็ไม่ได้
– ปฏิรูปก่อนแล้วเลือกตั้งก็ไม่ได้
– รัฐประหารก่อน แล้วจัดระเบียบอำนาจกันใหม่ก็ไม่ได้
ประการที่สอง สภาประชาชน คือฐานใหม่ที่คนไทย “ทุกฝ่าย” (โดยตัวแทนที่เกิดจากกระบวนการเลือกสรรตามครรลองของ “ประชาธิปไตยทางตรง”)มาร่วมคิดร่วมทำ โดยถือเอาผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
ในมุมมองทางประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน มันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการขจัดความแตกแยกทางความคิด การเมือง และการปฏิบัติของคนไทยโดยรวมให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังเป็นต้นธารแห่งความสมัครสมานสมัคคีกันของคนไทยทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง
ในสภาวะหรือเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงเช่นนี้ สมควรและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจเดิมๆ “ทุกฝ่าย” จะต้องละย้ายจากฐานเฉพาะของตน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้ง มาอยู่บนฐานร่วมของประชาชน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
นี่คือทางออกของคนไทยโดยรวม ที่ต้องการก้าวพ้นการแบ่งแยกและความแตกแยก
ด้วยเหตุนี้ ทิศทางที่เราจะต้องยืนหยัดดำเนินการปฏิบัติร่วมกัน ก็คือ สร้างสภาประชาชน ให้เป็นเวทีของคนไทย “ทุกฝ่าย”
โดยดึงเอาคนไทย“ทุกฝ่าย” มายืนอยู่บนฐานของ “ผลประโยขน์ชาติและประชาชน” เคารพความแตกต่างทางความคิดของกันและกัน ถือเอาความจริงเป็นตัวตั้ง และพร้อมที่จะปรับแนวความคิดของตนให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ “เข้าถึง”ได้เสมอ มุ่งมั่นที่จะร่วมกันปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นไปให้ได้ในทุกขั้นตอน ของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศไทย