ออสเตรเลีย เผยผลวัตถุ 2 ชิ้นในทะเล อาจจะเป็นชิ้นส่วนเครื่องบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่สูญหาย ขณะที่รัฐบาลร้องขอให้เอฟพีไอ สหรัฐฯ ช่วยกู้ข้อมูลที่ถูกลบไปจากเครื่องจำลองการบิน (flight simulator) ด้านกลุ่มตอลิบาน ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการหายสาบสูญ
ออสเตรเลียออกมาแถลงเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 57 ว่า พบวัตถุ 2 ชิ้นในทะเล ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นชิ้นส่วนเครื่องบินเที่ยว MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่หายไป นับเป็นเบาะแสที่อาจช่วยฝ่าทางตันในภารกิจค้นหาอากาศยานพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต ที่ดำเนินมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว
นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลีย กล่าวกับรัฐสภาออสเตรเลียว่าพบ “ข้อมูลใหม่ที่เชื่อถือได้” ชิ้นนี้จากภาพถ่ายดาวเทียม และในตอนนี้ เครื่องบินตรวจการณ์พิสัยไกล 4 ลำก็กำลังมุ่งหน้าไปตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเหล่านี้ในมหาสมุทรอินเดียแล้ว
"แอ็บบอตต์กล่าว “ภายหลังที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้นำภาพถ่ายจากดาวเทียมไปวิเคราะห์ ก็พบว่ามีวัตถุสองชิ้นที่อาจเป็นสิ่งที่เรากำลังตามหา”
องค์การความปลอดภยด้านการเดินเรือ (AMSA) ระบุว่า กำลังดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลอย่างละเอียด ภายหลังที่การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมพบวัตถุปริศนาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับถังน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของเที่ยวบิน MH370
เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ได้อันตรธานหายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ภายหลังออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยขาดการติดต่อระหว่างที่บินอยู่เหนือทะเลจีนใต้เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง
ข้อมูลคร่าวๆ จากเรดาร์และดาวเทียมส่งผลให้ พนักงานสืบสวนเสนอให้ดำเนินปฏิบัติการค้นหาโดยแยกเป็น 2 เส้นทาง คือเส้นทางใต้ที่เริ่มตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียลงไปจบที่ออสเตรเลีย และเส้นทางเหนือนับตั้งแต่เอเชียใต้ขึ้นไปจรดเอเชียกลาง
*** ขอFBIช่วยกู้ข้อมูลในเครื่องจำลอง
ขณะที่รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า รัฐบาลมาเลเซียได้ขอความร่วมมือจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ให้ช่วยกู้ข้อมูลที่ถูกลบไปจากเครื่องจำลองการบิน (flight simulator) ภายในบ้านของนักบินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเครื่องมาเลเซียแอร์ไลน์ส MH370 ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ประกาศให้ภารกิจค้นหาเครื่องบินโดยสารมาเลเซียเป็น “top priority” ของรัฐบาลอเมริกัน
****ตอลิบานยันไม่ได้ลักพาเที่ยวบิน MH370
ด้านกลุ่มหัวรุนแรงตอลิบานในวันพุธ (19) ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการหายสาบสูญนานกว่า 1 สัปดาห์ของเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส แม้ยอมรับว่ามีความปรารถนาจี้เครื่องบินสักลำก็ตาม คำยืนยันที่ทำให้ปริศนาเที่ยวบิน MH370 ยังคงลี้ลับต่อไป
โดยล่าสุดทางโฆษกของกลุ่มออกมายืนยันว่า “พวกเราไม่มีข้อมูลใดๆ เพราะมันเป็นประเด็นภายนอก” ขณะที่แหล่งข่าวตอลิบานในปากีสถาน ซึ่งไม่ประสงค์เผยชื่อ เสริมว่า “ถ้ามีโอกาส เราก็ปรารถนาจี้เครื่องบินสักลำเช่นกัน”
ด้าน ซาไบฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกของตอลิบานในอัฟกานิสถาน ก็พูดในลักษณะเดียวกันว่า “มันเกิดนอกอัฟกานิสถาน และคุณก็เห็นกันแล้วว่าแม้แต่ประเทศต่างๆ ที่มีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัย ก็ยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ไหน”
***“มาเลย์ไม่ยอมอัพเกรดระบบค้นหาแบบเรียลไทม์
ส่วนหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯได้ชี้ว่า สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส อาจมีเบาะแสสำคัญ เช่น ทิศทาง ความเร็ว และอัลติจูด ของเที่ยวบิน MH370 เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ หากบริษัทสายการบินสัญชาติมาเลย์ยอมจ่าย 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบินเพื่ออัพเกรดระบบช่วยติดตามเครื่องที่สูญหายแบบเรียลไทม์ ที่ถึงแม้ระบบเครื่องมือสื่อสารและบอกตำแหน่งปิดก็ยังสามารถติดตามต่อได้
โดยการอัพเกรดระบบคอมพิวเตอร์ง่ายๆที่สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สตัดสินใจไม่ยอมจ่ายเพิ่ม ที่จะส่งผลให้มีเบาะแสสำคัญเพื่อตามหาเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายมานานกว่า 12 วัน โดยการอัพเกรดระบบโดยรวมที่มีค่าใช้จ่ายราว 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบินจะช่วยให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ทิศทาง ความเร็ว และอัลติจูดของเที่ยวบินที่สูญหาย ที่ถึงแม้ระบบเครื่องมือสื่อสารและบอกตำแหน่งของเครื่องบินปิดก็ยังสามารถติดตามได้ อ้างจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดาวเทียมสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา ข้อมูลที่มาจากคอมพิวเตอร์ที่มีออฟชั่นระบบดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่สามารถกำหนดขอบเขตการตามหาเครื่องบินของสายการบินฝรั่งเศสที่ตกในปี 2009ได้อย่างรวดเร็วภายในรัศมี 40ไมล์ในมหาสมุทรแอตแลนติก และใช้เวลาเพียง 5 วันในการคำนวณหาจุดตกของเครื่องจากเศษชิ้นส่วนแรกที่ค้นพบ
โดยแหล่งข่าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดาวเทียมสหรัฐฯ ได้โยงถึงความเหมือนของระบบสวิฟต์กับระบบโทรศัพท์มือถือที่ส่งข้อมูลไปยังดาวเทียม โดยผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่า ระบบACARSของเครื่องบินนั้นเหมือนกับ “แอพพลิเคชัน” บนสมาร์ทโฟน
และหากระบบสวิฟต์ได้ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์มาตรฐานทั้งหมด ทางผู้ติดตามจะได้รับทราบข้อมูลเครื่องที่สูญหาย เช่น สมรรถนะของเครื่องยนต์ ระดับน้ำมัน ความเร็ว อัลติจูด และทิศทาง ไม่ว่าระบบทรานสปอนเดอร์และ ACARSจะทำงานอยู่หรือไม่ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้
“และเมื่อระบบ ACARS ถูกปิดลง แต่ระบบสวิฟต์ยังคงทำงานอยู่ “ ผู้เชี่ยวชาญกล่าว และเสริมต่อไปว่า “หากผู้ติดตามได้สั่งให้ระบบสวิฟต์ทำการติดตามข้อมูลของเครื่องยนต์เครื่องบินที่สูญหาย ข้อมูลจะถูกส่งออกมาจากเครื่องบิน ซึ่งมันจะยังคงทะยอยส่งออกมาเรื่อยๆในขณะที่เครื่องบินยังคงทำงานอยู่”
และพบว่าสายการบินหลักๆมากมายต่างเลือกใช้ฟูลแพกเก็จที่รวมถึงระบบสวิฟต์นี้ ข้อมูลที่ระบบสวิฟต์ได้เผยแพร่ออกมาเป็นไปตามตามข้อบังคับภายใต้ข้อชี้แนะของการบินสากลสำหรับสายการบินในเส้นทางแอตแลนติกเหนือระหว่างสหรัฐฯและยุโรป แต่ไม่พบว่าข้อกำหนดนี้จะถูกใช้กับเส้นทางบินอื่นในโลก ผู้เชี่ยวชาญชี้เพิ่ม
และนอกจากที่ระบบสวิฟต์จะสามารถถูกเซ็ตเพื่อให้ส่งข้อมูลเครื่องบินที่สูญหายไปยังบริษัทสายการบินแล้ว ยังจะสามารถตั้งค่าเพื่อให้ข้อมูลถูกส่งกลับไปยังบริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน เช่น โบอิ้ง หรือ แอร์บัส ได้อีกด้วย และรวมไปถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องยนต์ เช่น โรลสลอยซ์ หรือ แพรตต์&วิทนีย์
ซึ่งถึงแม้ราคาเหมารวมของแพคเก็จคือ 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบิน แต่ทางสายการบินนั้นต้องจ่ายราคาที่สูงกว่า จึงทำให้บางสายการบินตัดสินใจที่จะไม่เสียเงินเพิ่มขึ้นกับการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่ดูเหมือนว่าโดยทั่วไปจะไม่จำเป็นยกเว้นในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินมาก และเกิดขึ้นได้น้อย
ออสเตรเลียออกมาแถลงเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 57 ว่า พบวัตถุ 2 ชิ้นในทะเล ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นชิ้นส่วนเครื่องบินเที่ยว MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่หายไป นับเป็นเบาะแสที่อาจช่วยฝ่าทางตันในภารกิจค้นหาอากาศยานพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต ที่ดำเนินมาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว
นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลีย กล่าวกับรัฐสภาออสเตรเลียว่าพบ “ข้อมูลใหม่ที่เชื่อถือได้” ชิ้นนี้จากภาพถ่ายดาวเทียม และในตอนนี้ เครื่องบินตรวจการณ์พิสัยไกล 4 ลำก็กำลังมุ่งหน้าไปตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยเหล่านี้ในมหาสมุทรอินเดียแล้ว
"แอ็บบอตต์กล่าว “ภายหลังที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้นำภาพถ่ายจากดาวเทียมไปวิเคราะห์ ก็พบว่ามีวัตถุสองชิ้นที่อาจเป็นสิ่งที่เรากำลังตามหา”
องค์การความปลอดภยด้านการเดินเรือ (AMSA) ระบุว่า กำลังดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลอย่างละเอียด ภายหลังที่การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมพบวัตถุปริศนาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับถังน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของเที่ยวบิน MH370
เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ได้อันตรธานหายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ภายหลังออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยขาดการติดต่อระหว่างที่บินอยู่เหนือทะเลจีนใต้เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง
ข้อมูลคร่าวๆ จากเรดาร์และดาวเทียมส่งผลให้ พนักงานสืบสวนเสนอให้ดำเนินปฏิบัติการค้นหาโดยแยกเป็น 2 เส้นทาง คือเส้นทางใต้ที่เริ่มตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียลงไปจบที่ออสเตรเลีย และเส้นทางเหนือนับตั้งแต่เอเชียใต้ขึ้นไปจรดเอเชียกลาง
*** ขอFBIช่วยกู้ข้อมูลในเครื่องจำลอง
ขณะที่รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า รัฐบาลมาเลเซียได้ขอความร่วมมือจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ให้ช่วยกู้ข้อมูลที่ถูกลบไปจากเครื่องจำลองการบิน (flight simulator) ภายในบ้านของนักบินซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเครื่องมาเลเซียแอร์ไลน์ส MH370 ขณะที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ประกาศให้ภารกิจค้นหาเครื่องบินโดยสารมาเลเซียเป็น “top priority” ของรัฐบาลอเมริกัน
****ตอลิบานยันไม่ได้ลักพาเที่ยวบิน MH370
ด้านกลุ่มหัวรุนแรงตอลิบานในวันพุธ (19) ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการหายสาบสูญนานกว่า 1 สัปดาห์ของเครื่องบินสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส แม้ยอมรับว่ามีความปรารถนาจี้เครื่องบินสักลำก็ตาม คำยืนยันที่ทำให้ปริศนาเที่ยวบิน MH370 ยังคงลี้ลับต่อไป
โดยล่าสุดทางโฆษกของกลุ่มออกมายืนยันว่า “พวกเราไม่มีข้อมูลใดๆ เพราะมันเป็นประเด็นภายนอก” ขณะที่แหล่งข่าวตอลิบานในปากีสถาน ซึ่งไม่ประสงค์เผยชื่อ เสริมว่า “ถ้ามีโอกาส เราก็ปรารถนาจี้เครื่องบินสักลำเช่นกัน”
ด้าน ซาไบฮุลเลาะห์ มูจาฮิด โฆษกของตอลิบานในอัฟกานิสถาน ก็พูดในลักษณะเดียวกันว่า “มันเกิดนอกอัฟกานิสถาน และคุณก็เห็นกันแล้วว่าแม้แต่ประเทศต่างๆ ที่มีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัย ก็ยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ไหน”
***“มาเลย์ไม่ยอมอัพเกรดระบบค้นหาแบบเรียลไทม์
ส่วนหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯได้ชี้ว่า สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส อาจมีเบาะแสสำคัญ เช่น ทิศทาง ความเร็ว และอัลติจูด ของเที่ยวบิน MH370 เพิ่มขึ้นมากกว่านี้ หากบริษัทสายการบินสัญชาติมาเลย์ยอมจ่าย 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบินเพื่ออัพเกรดระบบช่วยติดตามเครื่องที่สูญหายแบบเรียลไทม์ ที่ถึงแม้ระบบเครื่องมือสื่อสารและบอกตำแหน่งปิดก็ยังสามารถติดตามต่อได้
โดยการอัพเกรดระบบคอมพิวเตอร์ง่ายๆที่สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์สตัดสินใจไม่ยอมจ่ายเพิ่ม ที่จะส่งผลให้มีเบาะแสสำคัญเพื่อตามหาเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายมานานกว่า 12 วัน โดยการอัพเกรดระบบโดยรวมที่มีค่าใช้จ่ายราว 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบินจะช่วยให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ทิศทาง ความเร็ว และอัลติจูดของเที่ยวบินที่สูญหาย ที่ถึงแม้ระบบเครื่องมือสื่อสารและบอกตำแหน่งของเครื่องบินปิดก็ยังสามารถติดตามได้ อ้างจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดาวเทียมสหรัฐฯ
ที่ผ่านมา ข้อมูลที่มาจากคอมพิวเตอร์ที่มีออฟชั่นระบบดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ช่วยเหลือให้เจ้าหน้าที่สามารถกำหนดขอบเขตการตามหาเครื่องบินของสายการบินฝรั่งเศสที่ตกในปี 2009ได้อย่างรวดเร็วภายในรัศมี 40ไมล์ในมหาสมุทรแอตแลนติก และใช้เวลาเพียง 5 วันในการคำนวณหาจุดตกของเครื่องจากเศษชิ้นส่วนแรกที่ค้นพบ
โดยแหล่งข่าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดาวเทียมสหรัฐฯ ได้โยงถึงความเหมือนของระบบสวิฟต์กับระบบโทรศัพท์มือถือที่ส่งข้อมูลไปยังดาวเทียม โดยผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่า ระบบACARSของเครื่องบินนั้นเหมือนกับ “แอพพลิเคชัน” บนสมาร์ทโฟน
และหากระบบสวิฟต์ได้ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์มาตรฐานทั้งหมด ทางผู้ติดตามจะได้รับทราบข้อมูลเครื่องที่สูญหาย เช่น สมรรถนะของเครื่องยนต์ ระดับน้ำมัน ความเร็ว อัลติจูด และทิศทาง ไม่ว่าระบบทรานสปอนเดอร์และ ACARSจะทำงานอยู่หรือไม่ก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้
“และเมื่อระบบ ACARS ถูกปิดลง แต่ระบบสวิฟต์ยังคงทำงานอยู่ “ ผู้เชี่ยวชาญกล่าว และเสริมต่อไปว่า “หากผู้ติดตามได้สั่งให้ระบบสวิฟต์ทำการติดตามข้อมูลของเครื่องยนต์เครื่องบินที่สูญหาย ข้อมูลจะถูกส่งออกมาจากเครื่องบิน ซึ่งมันจะยังคงทะยอยส่งออกมาเรื่อยๆในขณะที่เครื่องบินยังคงทำงานอยู่”
และพบว่าสายการบินหลักๆมากมายต่างเลือกใช้ฟูลแพกเก็จที่รวมถึงระบบสวิฟต์นี้ ข้อมูลที่ระบบสวิฟต์ได้เผยแพร่ออกมาเป็นไปตามตามข้อบังคับภายใต้ข้อชี้แนะของการบินสากลสำหรับสายการบินในเส้นทางแอตแลนติกเหนือระหว่างสหรัฐฯและยุโรป แต่ไม่พบว่าข้อกำหนดนี้จะถูกใช้กับเส้นทางบินอื่นในโลก ผู้เชี่ยวชาญชี้เพิ่ม
และนอกจากที่ระบบสวิฟต์จะสามารถถูกเซ็ตเพื่อให้ส่งข้อมูลเครื่องบินที่สูญหายไปยังบริษัทสายการบินแล้ว ยังจะสามารถตั้งค่าเพื่อให้ข้อมูลถูกส่งกลับไปยังบริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน เช่น โบอิ้ง หรือ แอร์บัส ได้อีกด้วย และรวมไปถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องยนต์ เช่น โรลสลอยซ์ หรือ แพรตต์&วิทนีย์
ซึ่งถึงแม้ราคาเหมารวมของแพคเก็จคือ 10 ดอลลาร์ต่อเที่ยวบิน แต่ทางสายการบินนั้นต้องจ่ายราคาที่สูงกว่า จึงทำให้บางสายการบินตัดสินใจที่จะไม่เสียเงินเพิ่มขึ้นกับการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่ดูเหมือนว่าโดยทั่วไปจะไม่จำเป็นยกเว้นในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินมาก และเกิดขึ้นได้น้อย