คำว่าคอร์รัปชัน เป็นคำที่คนไทยได้ยินจนชินหูอยู่แล้ว มีอยู่อีก 2 คำที่คนไทยได้ยินประจำในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา คือคำว่า “ปล้นชาติ” และ “ขายชาติ” ดังนั้นคำว่าปล้นชาติหรือขายชาติที่พบเห็นในบทความนี้ ไม่ใช่คำที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาเอง เป็นคำที่มีอยู่แล้วในสาธารณะ
โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ไม่มีวันใดที่คนไทยไม่พูดคำว่า “ทักษิณ” ไม่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คำว่าทักษิณก็อยู่ตามสื่อกระแสหลัก หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ รวมทั้ง Social Media
สังคมไทยเริ่มเกิดความแตกแยกกันในปี 2544 จนกระทั่งทุกวันนี้แตกแยกกันอย่างชัดเจน รุนแรง เป็นคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ก็ตรงกันข้ามกันชัดเจน อีกฝ่ายใช้มือตบ อีกฝ่ายใช้ตีนตบ คำว่าทักษิณ และตอนหลังมียิ่งลักษณ์-ทักษิณเพิ่มขึ้นมา ติดอยู่ที่ริมฝีปากของคนทั้ง 2 ฝ่าย อย่างยากที่จะแกะออก ผู้เขียนว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่เกิดต้นเหตุของคนที่ผิดปกติ
สมัย 14 ตุลา และ 6 ตุลา คนไทยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่แตกแยกกัน สามัคคีกัน ร่วมกันขับไล่ทรราช ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ออกจากตำแหน่ง
คำว่าขายชาติ ทักษิณ ก็เคยนำมาโฆษณาชวนเชื่อ เมื่อครั้งมีการรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นปี 2544 บอกว่า “หากได้เป็นรัฐบาลจะมายกเลิกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับยกเลิกการขายรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ IMF”
วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 จนต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธเป็นนายกรัฐมนตรี มีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นรองนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความรับผิดชอบลาออกจากการเป็นรัฐบาล มีการสรรหารัฐบาลมาแทน ได้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย (ชวน2) มาทำหน้าที่แทน รัฐบาลชวน2 ออกกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้น เรียกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 11 ฉบับปี 2542และนำเสนอต่อ IMF ซึ่งมีพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 ที่ให้มีการขายรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้หนี้ IMF อยู่ด้วย คนทั่วไปจึงเรียกว่ากฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ
การมาของรัฐบาลทักษิณ แทนที่จะยุติไม่ให้มีการขายรัฐวิสาหกิจแต่กลับดำเนินการให้มีการขายรัฐวิสาหกิจอย่างจริงจัง หลังจากโชคช่วยให้มีการชำระหนี้ IMF หมดในกลางปี 2546 รัฐบาลทักษิณได้ยกเลิก “กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ” จริง เพราะได้มีการชำระหนี้ IMF หมดแล้วไม่จำเป็นต้องคงกฎหมายฉบับนี้ไว้ต่อไป แต่กลับออกกฎหมายว่าด้วย “การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติ” ออกมาแทน ทำให้มีการขายรัฐวิสาหกิจได้ต่อไปอีก
กฎหมายดังกล่าว มีเจตนาซ่อนเร้นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้ทักษิณจะสร้างวาทกรรมอย่างไรก็ตาม กฎหมาย “การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติ” เป็นทั้งการปล้นชาติและขายชาติ
พิจารณาจากบางตอน ปาฐกถาของทักษิณ วันชำระหนี้ IMF งวดสุดท้าย (31 กรกฎาคม 2546)
พิจารณาให้ดี.. แท้จริงเป็นมิจฉาวาทกรรม
“..กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ ก่อนนี้ในกติกาเราต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ แต่วันนี้ไม่ใช่ครับ เราจะกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายการลงทุน เพื่อให้เกิดการบริหารงานอย่างมืออาชีพและ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ทุกระบบ ซึ่งตรวจสอบจากระบบของตลาดทุนและตรวจสอบด้วยระบบของราชการตรวจสอบด้วยระบบของผู้ถือหุ้นเอง เพราะฉะนั้นรัฐวิสาหกิจไทยของเราจะเข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ใช้มาตรการนี้บางส่วนแล้วและใช้เรื่องของการรายงานระบบการตรวจสอบมากขึ้นแล้วทำให้รายได้ของรัฐวิสาหกิจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล หากรัฐวิสาหกิจทั้งหมดต้องไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะบริหารงานอย่างมืออาชีพจะเข้มแข็งและแข็งแรงมากขึ้น ไม่ได้เป็นการนำไปขายเพื่อนำมาใช้หนี้ เพราะไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะต้องขายเพื่อใช้หนี้ เพราะวันนี้เราหมดพันธกรณีทางนี้ เราจึงจะมีการแก้กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ โดยยกเลิกและจัดทำกฎหมายฉบับใหม่ คือกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงและพัฒนาฐวิสาหกิจแห่งชาติ เพื่อการปรับปรุงโครงสร้างรัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการบริหารจัดการและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการของรัฐ..”
วลี..“ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการของรัฐ” คือความคิดของการปล้นสมบัติชาติ โดยอ้างประชาชน
เป็นตัวอย่างวาทกรรมที่ปกปิดซ่อนเร้นความในใจ พูดดี พูดน่าเชื่อถือ ฟังแล้วน่าหลงใหลแท้จริงแล้วต้องการจะฮุบทรัพยากรของรัฐ คิดจะฮุบรัฐวิสาหกิจของประเทศ
โชคร้ายมาก.. ประเทศไทยไม่สามารถยุติการขายชาติได้
ที่ไทยสามารถชำระหนี้ IMF หมด ในช่วงรัฐบาลทักษิณเพราะปี 2543 ตลาด NASDAQ และ USD ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียหายไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลออกไปทั่วโลก รวมทั้งไหลเข้าไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ในบทความเก่าๆ ได้นำเสนอเรื่องความเสียหายของค่าเงินเหรียญสหรัฐไว้บ่อยครั้ง มีกราฟที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าดอลลาร์เสียหายอย่างไร แค่ไหน และทำจึงไหลออกมายังประเทศต่างๆ ส่งผลให้เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น 59% ทุนสำรองสุทธิไทยเพิ่มขึ้น 223% ทำให้ประเทศไทยมีเงินชำระหนี้ IMF ได้หมดนั่นเองเช่นเดียวกับ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้ ที่เข้า IMF ในเวลาใกล้เคียงกัน ก็สามารถชำระหนี้ IMF ได้หมดเช่นกัน ถือเป็นโชคช่วยประเทศไทย อินโดนีเซียและเกาหลีใต้
ทักษิณพลิกวิกฤตของประเทศให้เป็นโอกาสของตนเองได้ทุกครั้งเช่นเมื่อเกิดวิกฤตในปี 2540 มีกำไรจากรู้ข่าววงในการลอยค่าเงินบาท แม้ไม่มีวิกฤตแล้ว ใช้หนี้ IMF หมดแล้ว ก็ยังนำมาแปลงเป็นโอกาสของตนเองได้อีก เช่นมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ ขนาดใหญ่มากเป็นประวัติการณ์หลายแห่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้โอกาสมากเท่าใด ก็คือคนไทยเสียโอกาสมากเท่านั้น
การที่ประเทศไทยชำระหนี้ IMF หมด 31 กรกฎาคม 2546 จึงไม่ได้เกิดจากความสามารถของทักษิณแต่อย่างใดแต่พ.ต.ท.ทักษิณก็นำเหตุการณ์ที่ประเทศไทยชำระหนี้ IMF หมดมาสร้างวาทกรรม โฆษณาชวนเชื่อสร้างเครดิตให้ตัวเอง และหาประโยชน์ส่วนตนจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องคิดขายรัฐวิสาหกิจใช้หนี้ IMF อีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องคงไว้ กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อขายรัฐวิสาหกิจใช้หนี้ IMF อีกแล้วเนื่องจากใช้หนี้ IMF หมดแล้ว
แต่แล้วก็ยังฉวยโอกาสคิดแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่ออีกจนได้ทักษิณได้ยกเลิก กฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจจริงแต่ออกกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วย การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติแทน ทำให้มีการขายรัฐวิสาหกิจได้ต่อ
หลังการออกกฎหมายปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติ มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้นในปี 2547 2548 ทันที
รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปในปี 2547 ได้แก่
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT)
รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปในปี 2548 ได้แก่
ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PPTAR)
หมายเหตุ PTTAR เกิดจากการควบรวม กับ ATC (อะโรเมติกส์) และ RRC (โรงกลั่นน้ำมันระยอง) ภายหลังมีการทำลายคู่แข่งพีทีไอ แล้วนำมารวม PTTARเปลี่ยนเป็นชื่อ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ในปัจจุบันPTT ถือหุ้น 48.89%
ความเป็นเจ้าของ
รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการบริหารจัดการของกระทรวงการคลัง (ไม่มีการแปรรูป)เป็นของคนไทยทุกคน หรือเป็นของคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แล้วจะมาส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการของรัฐอีกทำไมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจึงทำให้ความเป็นเจ้าของของคนไทยลดลง
การแปรรูปทำให้ความเป็นเจ้าของของคนไทยทั้งมวล 65 ล้านคน ลดลงจาก 100 เปอร์เซ็นต์เหลือ 51 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 49 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่ากันเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ เอาไปขายให้คนทั่วไป นิติบุคคล รวมทั้งต่างชาติประมาณ 40,000 คน นั่นคือ คนคิดแปรรูปรัฐวิสาหกิจต้องการเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจนั้น คือ AOT TOP MCOT PTTAR (PTTGC)
การแปรรูปรูป ปตท. (PTT) ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 3 ปีแล้ว หรือเมื่อปลายปี 2544 หลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้เป็นรัฐบาลได้แค่ 10 เดือนเท่านั้น แปรรูปในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างมาก ที่ SET index 305 จุด จากที่ SET index เคยอยู่สูงสุดที่ 1,750 จุด การรีบแปรรูปในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ ทำให้แปรรูปได้ราคาต่ำ ปตท.IPO ราคาหุ้นละ 35 บาท ราคาถูกเหมือนได้เปล่า หลังจากแปรรูปรูปแล้ว 5-6 ปี ราคาปตท.สูงขึ้นถึง 350-400 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 เท่าของราคา IPO ปตท.จ่ายปันผลดีทุกปี
มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสียไม่มีคนได้อย่างเดียวหรือคนเสียอย่างเดียวคนได้ได้เท่าใด คนเสียเสียเท่านั้น เรียกปรากฏการณ์นี่ว่า ZERO-SUM GAMES
คนทั่วไปทราบว่ามีแต่การแปรรูป PTT (2544) ที่จริงมีการแปรรูป AOT (2547) TOP (2547) MCOT (2547) และ PTTAR (2548) ด้วยหลังจากนี้ประเทศไทยไม่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอีกเลย
รัฐวิสาหกิจเป็นของประเทศชาติประชาชนมาแต่ต้น นานมาแล้วเมื่ออยากได้ก็มาสร้างวาทกรรม ออกมติชุบมือเปิบ เอาไปเป็นของส่วนตนง่ายๆ
แปรรูปปตท.แล้วทำให้ราคาน้ำมันแพงติดอันดับโลก เพื่อกำไรของบริษัท เพื่อประโยชน์ผู้ถือหุ้น และโบนัสกรรมการ
ประชาชน 65 ล้านคนรับกรรม ต้องจ่ายค่าน้ำมันราคาแพงสูงติดอันดับโลกทุนการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น ต้นทุนการเก็บรักษาสูงขึ้น ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น ทำให้สินค้าและบริการทุกชนิดราคาแพงขึ้น เงินเฟ้อสูงเป็นการปล้นเงินไปจากกระเป๋าของประชาชนทั้งประเทศ คนไทยถูกปล้นทุกวันต่อเนื่องมาตั้งแต่การแปรรูปเมื่อปลายปี 2544 ปล้นต่อเนื่องมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว
ในอดีตมีรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 2 แห่ง
แห่งแรกคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 2 ส.ค.32 ในรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
แห่งที่ 2 คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อ 23 ก.ค. 35 ในรัฐบาลนายอานันท์ปันยารชุน
อีก 9 ปีต่อมา
ถึงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมากเป็นประวัติการณ์ถึง 5 แห่ง คนทั่วไปเรียกว่าปล้นชาติ และขายชาติ ได้แก่
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 6 ธ.ค. 44 ปตท.เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)(AOT)เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 13 มี.ค. 47
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 26 ต.ค. 47 บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) (MCOT) เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 17 พ.ย. 47 เป็นผู้นำอัตราโฆษณาในวิทยุและทีวี ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นไปอีก
ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PPTAR) เข้าซื้อขายวันแรกเมื่อ 2 ม.ค. 48
เครื่องมือในตลาดหุ้นสามารถปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อสาธารณะได้ โดยผ่านผู้แทน (Nominees) โดยเฉพาะผู้แทนในนามต่างชาติ คนทั่วไปจึงไม่เห็นชื่อนักการเมืองถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปแล้ว
นอกจากมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมากเป็นประวัติการแล้ว ยังได้มีการแก้ไขกฎหมายกิจการโทรคมนาคม จากให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์เป็นไม่เกิน 49 เปอร์เซ็นต์ แล้วมีการขายชินคอร์ป (SHIN) ให้เทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ในปี 2549 ปัจจุบันชินคอร์ปเปลี่ยนชื่อเป็น อินทัช (INTUCH) อินทัชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทยรองจาก ปตท.
โลกทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นเรื่องของนายทุนกับคนทั่วไป
ผู้ปกครองประเทศต้องบริหารประเทศเพื่อให้โอกาสทุกด้านแก่ประเทศชาติและประชน แต่ถ้าผู้นำประเทศอาศัยอำนาจหน้าที่และงบประมาณ เข้ามาทำอาชีพกับระบบของประเทศทั้งสัมปทาน ใบหุ้นและดินแดนของประเทศ นำไปใช้ประกอบการกับธุรกิจส่วนตนแล้วประเทศจะเหลืออะไร
ZERO-SUM GAMES มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสีย มีคนได้ก็ต้องมีคนจ่าย ไม่มีคนได้อย่างเดียวหรือคนเสียอย่างเดียว
เป็นไปไม่ได้ เมื่อผู้นำมั่งคั่งร่ำรวย แล้วประเทศชาติและประชาชนจะมั่งคั่งร่ำรวยด้วย ผู้นำกอบโกยไปมากเท่าใด ประเทศชาติประชาชนส่วนใหญ่ก็จะยากจนลงเท่านั้น เครื่องหมายแห่งความยากจน คือสินค้าและบริการราคาแพง เมื่อแพงขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านก็ซื้อได้น้อยลง ก็ทุกข์เข็ญลำเค็ญ ความเดือดร้อนก็เกิดกับคนทั่วประเทศ
มิจฉากรรมในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เริ่มปี 2554 ทำต่อเนื่องจากรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย จะทำให้ลดสัดส่วนการเป็นเจ้าของประเทศชาติและประชาชนลงไปอีก จากที่เคยเหลือ 51 เปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะเหลือเพียง 25 เปอร์เซ็นต์
ไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่มีความละอายแก่ใจ ไม่มีความพอ
(1) พ.ร.บ.ร่วมทุน 2556 (วางแผนฮุบทรัพยากรของประเทศเพิ่มขึ้น)
(2) พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 2556 (ล้างผิดให้คนที่ชั่วมากที่สุดในโลก)
(3) พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท (ทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองพ.ร.บ.ร่วมทุน)
(4) ม.190 แก้ไข เพื่อไม่ให้สาธารณะตรวจสอบข้อตกลงระหว่างประเทศ (ฮุบทรัพยากรประเทศง่ายขึ้น)
(5) พ.ร.บ. ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง (รวบอำนาจทั้งหมดได้ง่ายขึ้น)
(6) โครงการน้ำ จำนำข้าว ฯลฯ คอร์รัปชันหนักทุกเรื่อง
(7) เอาตำแหน่งหน้าที่ เวลา เอาเครื่องมือและเครื่องอำนวยความสะดวก เอางบประมาณรัฐ เดินทางไปลงทุนส่วนตนตามประเทศต่างๆ
การบริหารงานของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ทำไปเพื่อประเทศชาติและประชาชน เห็นทำแต่ประโยชน์ส่วนของตนอย่างเดียว แสดงให้เห็นความเฉโกเหนือชั้นอย่างยากที่จะหาใครมาเทียบได้ พยายามทำให้ได้อำนาจมากขึ้นทำให้ได้ทรัพยากรของประเทศมากขึ้น อธิบายได้ว่าเป็นการปฏิบัติการแบบซึ่งหน้า ที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อบอกว่าเป็นการปล้น ก็เป็นการปล้นที่เหนือชั้นทุกการปล้นในโลก คือ เป็นการปล้นชาติและขายชาติโดยตรง ใช้กฎหมายที่มีอยู่ปล้นออกกฎหมายมาปล้น และแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่แล้วปล้น
ความสำเร็จของทักษิณอุปมาอุปไมยเหมือนใช้รถไฟและเรือเดินทะเลบรรทุกไปจากประเทศไทย แต่การต่อต้านทักษิณหรือแก้ปัญหาที่ทักษิณก่อไว้ ทำได้เพียงเท่ารถปิกอัพ
เป็นการยากที่จะทำให้ประเทศไทยรอดจากเงื้อมมือทักษิณ แม้เขาจะไม่อยู่ในประเทศไทยก็ตาม คนที่ปล้นชาติหรือขายชาติ เรียกว่าโจรหรือมหาโจร ความสามารถของทักษิณสูงมาก สามารถส่งตัวแทนตนเองมาเดินนำหน้าศูนย์กลางสูงสุดของอำนาจของประเทศไทยได้ แบบเท่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย คนเดินตามก็ยืดอกเดินตามอย่างสง่าผ่าเผยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน ให้ความรู้สึกว่าทักษิณให้เกียรติมากกว่าจะรู้สึกว่าถูกทักษิณหยาม
วิกฤตปี 2540 ตลาดหุ้นพังทลาย ค่าเงินบาทพังทลาย เอกชนล้มลงและล้มละลายค่อนประเทศ และตกเป็นของต่างชาติ ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF
ปี 2542 ได้มีการออกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 11 นำเสนอต่อ IMF ประชาชนรู้สึกหดหู่เศร้าใจอย่างมาก ที่ทราบว่าอาจจะมีการขายรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้หนี้ IMF
ปี 2544 มีการฉวยโอกาสแปรรูป ปตท. โดยขายที่ราคาต่ำมาก คนที่ซื้อก็เหมือนได้เปล่า
ปี 2546 โชคช่วยที่มีการชำระหนี้ IMF ได้หมด ประชาชนดีใจ ได้มีการยกเลิกกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ ไม่ต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อใช้หนี้ IMF อีกต่อไปแล้ว แต่กลับมีการออกกฎหมายการปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจแห่งชาติมาแทน ทำให้มีการขายรัฐวิสาหกิจได้ ทำให้ปี 2547-2548 ประเทศไทยต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่อีก 4 แห่ง
เวรกรรมของประเทศไทยและคนไทยแม้จะมีการชำระหนี้ IMF หมดแล้ว ประเทศไทยก็ไม่สามารถยุติการขายชาติได้มีการปล้นชาติและขายชาติแบบซึ่งหน้า แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ประเทศไทยต่ำต้อยรุนแรงถึงขนาดนี้เชียวหรือ …