ASTVผู้จัดการรายวัน - บอร์ดปตท.อนุมัติตั้งกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เบื้องต้นแยกสินทรัพย์อาทิ ท่อก๊าซฯ ธุรกิจไฟฟ้า เอ็นจีวีเข้ามากลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน "ไพรินทร์" ส่งสัญญาณจุดอันตราย หลังกฟผ.เรียกก๊าซฯใช้ผลิตไฟน้อยลงช่วงต้นปี หากเม.ย.-พ.ค.ยังไม่กระเตื้องขึ้น
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายตัวธุรกิจ โดยเพิ่มกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาอีกกลุ่ม และจะแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (COO)คนใหม่เข้ามาดูแลรับผิดชอบในเร็วๆนี้ จากปัจจุบันที่ปตท.แบ่งมีเพียง 2 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
เบื้องต้น ปตท.จะแยกสินทรัพย์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาอยู่ในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับยานยนต์ (NGV) ท่อก๊าซธรรมชาติ หน่วยธุรกิจไฟฟ้าที่ตั้งขึ้นมาใหม่ คือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี (GPSC) และหน่วยOperation Excellent ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาและบำรุงรักษาแก่บริษัทในเครือปตท.
หลังจากนั้นจะพิจารณาแยกทรัพย์สินอื่นๆ โดยมีธุรกิจถ่านหินที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นหรือกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในอนาคต หากธุรกิจถ่านหินมีผลดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นก็มีแผนจะจัดตั้งเป็น Business Unit เพื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเช่นเดียวกับหน่วยธุรกิจไฟ ปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินมูลค่าทรัพย์สินในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานอยู่
การเพิ่มกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานนี้ จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น โดยเห็นว่ากลุ่มธุรกิจนี้มีความเชี่ยวชาญด้านการวางท่อก๊าซฯมานาน 35 ปี จึงมีความพร้อมที่รับจ้างวางท่อก๊าซฯทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างได้เพิ่มขึ้น เหมือนกับธุรกิจไฟฟ้าที่เดิมสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนในกลุ่มปตท. ก็หันไปลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น
นายไพรินทร์ กล่าวถึงผลกระทบปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้การดำเนินธุรกิจของปตท.ได้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยกลางปีนี้บริษัทฯจะทบทวนแผนการลงทุน 5ปี (2557-2561)เงินลงทุน 3.27 แสนล้านบาท โดยนำปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจเข้ามาประกอบการพิจารณา ซึ่งเบื้องต้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เสนอรัฐฯไปแล้วทั้งโครงการวางท่อก๊าซฯบนบกเส้นนครสวรรค์และนครราชสีมา ก็ยังเดินหน้าไปตามแผน แต่การลงทุนบางโครงการอาจจะชะลอไปบ้าง
ในปีนี้ บริษัทฯคาดว่ายอดขายปตท.จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 2.88 ล้านล้านบาท ไม่มากนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ทำให้การบริโภคน้ำมันเบนซินในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ลดลงไปบ้าง ขณะที่ยอดขายดีเซลคงที่
“สิ่งที่เป็นกังวลอยู่ในช่วงนี้ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการเรียกก๊าซฯเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะมาจากสภาพอากาศหนาวเย็นนาน คงต้องรอดูในช่วงเม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนและเทศกาลท่องเที่ยว ว่าการเรียกใช้ก๊าซฯจะยังลดลงต่อเนื่องหรือไม่ หากกฟผ.เรียกก๊าซฯน้อยลง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และจะต้องใช้เวลานานในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอีกครั้ง รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)ของปตท.ในปีนี้ จากเดิมที่ตั้งไว้ 3 ล้านตัน อาจจะลดลงไปด้วย”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายตัวธุรกิจ โดยเพิ่มกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาอีกกลุ่ม และจะแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (COO)คนใหม่เข้ามาดูแลรับผิดชอบในเร็วๆนี้ จากปัจจุบันที่ปตท.แบ่งมีเพียง 2 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
เบื้องต้น ปตท.จะแยกสินทรัพย์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาอยู่ในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับยานยนต์ (NGV) ท่อก๊าซธรรมชาติ หน่วยธุรกิจไฟฟ้าที่ตั้งขึ้นมาใหม่ คือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี (GPSC) และหน่วยOperation Excellent ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาและบำรุงรักษาแก่บริษัทในเครือปตท.
หลังจากนั้นจะพิจารณาแยกทรัพย์สินอื่นๆ โดยมีธุรกิจถ่านหินที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นหรือกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในอนาคต หากธุรกิจถ่านหินมีผลดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นก็มีแผนจะจัดตั้งเป็น Business Unit เพื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเช่นเดียวกับหน่วยธุรกิจไฟ ปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินมูลค่าทรัพย์สินในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานอยู่
การเพิ่มกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานนี้ จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น โดยเห็นว่ากลุ่มธุรกิจนี้มีความเชี่ยวชาญด้านการวางท่อก๊าซฯมานาน 35 ปี จึงมีความพร้อมที่รับจ้างวางท่อก๊าซฯทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างได้เพิ่มขึ้น เหมือนกับธุรกิจไฟฟ้าที่เดิมสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนในกลุ่มปตท. ก็หันไปลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น
นายไพรินทร์ กล่าวถึงผลกระทบปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นว่า ขณะนี้การดำเนินธุรกิจของปตท.ได้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยกลางปีนี้บริษัทฯจะทบทวนแผนการลงทุน 5ปี (2557-2561)เงินลงทุน 3.27 แสนล้านบาท โดยนำปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจเข้ามาประกอบการพิจารณา ซึ่งเบื้องต้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เสนอรัฐฯไปแล้วทั้งโครงการวางท่อก๊าซฯบนบกเส้นนครสวรรค์และนครราชสีมา ก็ยังเดินหน้าไปตามแผน แต่การลงทุนบางโครงการอาจจะชะลอไปบ้าง
ในปีนี้ บริษัทฯคาดว่ายอดขายปตท.จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 2.88 ล้านล้านบาท ไม่มากนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ทำให้การบริโภคน้ำมันเบนซินในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ลดลงไปบ้าง ขณะที่ยอดขายดีเซลคงที่
“สิ่งที่เป็นกังวลอยู่ในช่วงนี้ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการเรียกก๊าซฯเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงในช่วงต้นปีนี้ แต่อาจจะมาจากสภาพอากาศหนาวเย็นนาน คงต้องรอดูในช่วงเม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนและเทศกาลท่องเที่ยว ว่าการเรียกใช้ก๊าซฯจะยังลดลงต่อเนื่องหรือไม่ หากกฟผ.เรียกก๊าซฯน้อยลง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และจะต้องใช้เวลานานในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอีกครั้ง รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)ของปตท.ในปีนี้ จากเดิมที่ตั้งไว้ 3 ล้านตัน อาจจะลดลงไปด้วย”