**แม้รัฐบาลเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจะปรามาสว่า เวลานี้เป็นช่วงขาลงของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ทางรัฐบาล และนปช. ไม่ให้ราคากปปส.แล้ว เพราะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมลดลงไปมาก อีกหน่อยก็ปิดฉากไปเอง
แต่ในการหยามหยันที่พวกรัฐบาลเพื่อไทย กำลังลำพองคิดว่า กปปส.กำลังจะแพ้แล้ว ทั้งที่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด กลับพบว่า เพื่อไทย-นปช.-คนเสื้อแดง ก็ดูจะหวั่นเกรงการถอยไปตั้งหลักอยู่สวนลุมพินีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.ไม่ใช่น้อย
เห็นได้จากการแสดงออกหลายอย่างของฝ่ายแกนนำรัฐบาล-แกนนำนปช. ในช่วงที่ผ่านมา หากเพื่อไทย-เสื้อแดง มองว่า กปปส.ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่มีราคาแล้ว ก็ไม่เห็นต้องให้สัมภาษณ์ หรือปราศรัยข่มสุเทพ และกปปส.รายวันเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายรัฐบาล-เสื้อแดง ก็ยังหวั่นเกรงกปปส. อยู่ลึกๆ ว่าจะเคลื่อนทัพต่อไปอย่างไร เพื่อรุกฆาตยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงตั้งหลักเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในช่วงนี้ จึงต้องติดตามแบบคลาดสายตาไปไม่ ได้เช่นกัน
ที่น่าสนใจ จะพบว่า “สาร” ที่แกนนำนปช. และพวกอดีตส.ส.เพื่อไทย สายเสื้อแดงที่พยายามจะสื่อผ่านสื่อเสื้อแดงทั้งหลาย ผ่านการแถลงข่าวรายวัน และการปราศรัยของแกนนำนปช.บนเวทีปราศรัยใหญ่ ซึ่งแกนนำได้ระดมเดินสายในพื้นที่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของเสื้อแดงคือ “อีสาน-ล้านนา” คืออุดรธานี-ขอนแก่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และล่าสุดที่บริเวณศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา
“สาร”ของแกนนำนปช. ที่สื่อผ่านเวทีปราศรัยสำคัญทั้ง 3 เวที จับความได้ว่า เน้นไปที่ 5 ประเด็นหลัก
1. บอกให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เพราะเป็นการเลือกตั้งของประชาชน และเตือนองค์กรอิสระทั้งหลายว่า ไม่ควรคิดจะล้มล้างการเลือกตั้ง หากทำคนเสื้อแดงจะไม่ยอมเด็ดขาด
2. พยายามปลุกเร้าว่า ให้คนเสื้อแดงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางการเมือง หากมีการเป่านกหวีดระดมพลเมื่อไหร่ให้เตรียมพร้อมเข้ากรุงเทพมหานครทันที
3. สร้างความเชื่อว่า มีบุคคลบางกลุ่มคอยหนุนหลังสุเทพ และกปปส.ในลักษณะเป็นเครือข่าย แต่ก็ยังเป็นกลุ่มอำมาตย์เช่นเดิม แต่รอบนี้มีตัวละครใหม่เข้ามาร่วมด้วย แต่เป้าหมายยังคงเดิมคือ จ้องทำลายรัฐบาลและคนเสื้อแดง โดยมีองค์กรอิสระบางแห่ง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมมือด้วย
4. เปิดศึกเข้าใส่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. แบบไม่มีอ้อมค้อม เกรงใจ หลังไม่พอใจที่ พลเอกประยุทธ์ แสดงท่าทีช่วยเหลือ กปปส. เช่น การส่งทหารไปตั้งบังเกอร์รอบกรุงเทพมหานคร 176 จุด หรือการที่ พลเอกประยุทธ์ สั่งให้ทหารออกมาเอาผิดกับคนเสื้อแดงในพื้นที่เชียงใหม่ และพะเยา ในเรื่องป้ายแยกประเทศ จนเวทีแถลงข่าว นปช. และเวทีปราศรัยใหญ่เสื้อแดง ถล่ม พลเอกประยุทธ์ไม่ยั้ง และยังมีแกนนำนปช.หลายคนพยายามปราศรัยฝังความคิดกับคนเสื้อแดงว่าให้ระวัง ทหารอาจออกมาทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อให้เสื้อแดงเตรียมพร้อม
และ 5. ยกก้นตัวเองว่าเสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นนักประชาธิปไตย และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่เคยมีความคิดเรื่องการแยกประเทศ เพราะคนเสื้อแดง คือคนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว จะไปแยกประเทศได้อย่างไร
ทั้ง 5 ประเด็นข้างต้น คือ “สาร”หลักๆ ทางการเมืองในช่วง1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพวกแกนนำ นปช. จัดสร้างขึ้นมา แล้วส่งต่อไปยังกลุ่มเสื้อแดงทั่วประเทศ
เรื่องความเชื่อทางการเมือง ก็เป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละคนกันไป แต่ก็เชื่อว่า เสื้อแดงไม่ได้เชื่อแกนนำนปช.ไปทุกเรื่อง อาจเลือกเชื่อในบางเรื่อง ร่วมเคลื่อนไหวด้วยในบางคราว แต่จะให้ร่วมหัวจมหางทุกอย่างแบบในอดีต สมัยช่วงปี 53 ดูแล้ว ก็เชื่อว่า คนเสื้อแดงหลายคนก็ตาสว่างกันไปมากแล้ว หลังเห็นอะไรหลายอย่างชัดเจนขึ้น
ได้เห็น ธาตุแท้ของ ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนแกนนำนปช.ที่เป็นอดีตส.ส.เพื่อไทยคราวที่แล้วที่ไปร่วมกันทำคลอดร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่หักหลังคนเสื้อแดงเพื่อเอาตัวรอดหวังประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ
ก็น่าคิดว่า หรือเพราะเสื้อแดง “ตาสว่าง”กันไปเยอะ เลยทำให้แนวร่วมเสื้อแดงช่วงหลัง ดูจะไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ แม้เวทีใหญ่เสื้อแดงที่อุดรธานี-ขอนแก่น-เชียงใหม่ จะมีคนมามาก แต่ก็เป็นการมาเพราะเป็นพื้นที่หลักของเสื้อแดง อีกทั้งว่ากันตามจริง ควรจะมีคนมากกว่าที่เห็นเสียด้วยซ้ำ
เรื่อง มวลชนเสื้อแดง เวลานี้มีมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้ไม่น้อย หลังเกิดกรณีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ และผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน-กลาง ที่คะแนนของเพื่อไทย หายไปเยอะ แม้ทางแกนนำนปช. จะพยายามบอกว่า เสื้อแดงมวลชนไม่ได้ลด ยังคงเดิม แต่ความจริงหลายอย่างมันก็โกหกไม่ได้
ดูได้จากการชุมนุมเสื้อแดงในกรุงเทพฯเ มื่อปลายเดือนพ.ย.56 ที่รัชมังคลากีฬาสถาน ที่มีการสั่งพวกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยทุกจังหวัดให้ขนคนมากันให้มากๆ แต่ก็พบว่าการชุมนุมดังกล่าว เสื้อแดงก็ยังมาไม่มาก หรืออย่างอาทิตย์ที่แล้วที่แกนนำนปช. มีการตั้งขบวนแรลลี่จากอุดรธานีเข้าขอนแก่น โดยมีการแล่นผ่านหลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ก็เห็นชัดว่าตลอดเส้นทางจากอุดรธา นีถึงขอนแก่น ก็มีเสื้อแดงมาคอยต้อนรับร่วมขบวนน้อยกว่าที่หลายคนคิดมาก
อาจจะเพราะเหตุที่ มวลชนเสื้อแดง แม้ยังอยู่ แต่ก็ลดลงไปมาก อันนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้แกนนำนปช.เลยไปจัดกิจกรรมในพื้นที่อุดรธานี-ขอนแก่น-เชียงใหม่ คือ นอกจากเพื่อขู่ กปปส.ว่า เสื้อแดงพร้อมลั่นกลองรบทุกเมื่อแล้ว ก็ยังทำเพื่อจะขอเช็คแนวร่วมฝั่งตัวเอง ในฐานที่มั่นใหญ่ในภาคเหนือ-อีสาน ก่อนว่ามีมากแค่ไหนจะได้ประเมินกำลังตัวเองถูก
อีกทั้งยังมีกรณีคนในทำเนียบรัฐบาล และเป็นแกนนำนปช. ส่วนกลางอย่าง สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่มีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ด้วย ออกไประดมมวลชนในรูปแบบของการเปิดรับสมัครประชาชนเป็นแนวร่วม “อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตย” ( อพปช.) ที่ สุภรณ์ ตั้งตัวเองเป็นประธานอพปช. โดยเริ่มทำกันไปแล้วที่ มหาสารคาม และนครราชสีมา พื้นที่เลือกตั้งของ สุภรณ์ ซึ่งเจ้าตัวตั้งเป้าว่า จะสร้างกองกำลัง อพปช.ทั่วประเทศให้ได้ประมาณ 6 แสนคน
เรื่องเป้า 6 แสนคน เป็นไปไม่ได้แน่นอน แค่ราคาคุยมากกว่า แต่หลักหมื่นต้นๆ อาจเป็นไปได้ แต่ก็น่าคิดว่าเป็นประชาชนกลุ่มไหนที่ไปสมัครเป็นกองกำลังอพปช. คนที่ไปสมัครมีตัวตนจริงหรือเปล่า แล้วที่มาสมัครแต่ละคน มาด้วยเหตุผลใด มาเพราะมีการไปบอกว่า จะได้ค่าจ้างหากยกพวกเข้ากรุงเทพฯ แต่ตอนนี้มาลงชื่อไว้ก่อนให้ สุภรณ์ ได้หน้า กลายเป็นคนมีพาวเวอร์ สามารถจัดตั้งมวลชนของตัวเองได้หลักหมื่น หรือมาเพราะคิดว่าเป็นเสื้อแดงเฉยๆ ก็ไม่ได้อะไร แต่หากมาเป็น อพปช. ด้วยอาจมีงานอื่นให้ทำ ดีกว่าใส่เสื้อแดงร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างเดียว
**มันน่าคิดตรงที่ว่า ในเมื่อแกนนำ นปช.-เสื้อแดง บอกว่าพวกตัวเองมีมวลชนเป็นล้าน ทุกคนพร้อมเสียสละต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ยอมตาย-ยอมเจ็บ-ยอมลำบาก หากมีสถานการณ์คับขัน เช่น มีการทำรัฐประหาร แล้วเหตุใดไม่คิดจะให้มวลชนเสื้อแดงเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาธิปไตย ทำไมต้องใช้วิธีการเกณฑ์คน-ระดมคน อย่างที่แรมโบ้ทำ แล้วไม่รู้จะเอาไปฝึกการใช้อาวุธ เตรียมการจะก่อเหตุรุนแรงอะไรหรือไม่
หรือที่ต้องใช้วิธี เตรียมระดมคน จัดตั้งมวลชนขึ้นมาในรูปแบบ อพปช. เพราะฝ่ายเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รู้ดีว่า มวลชนเสื้อแดงเวลานี้ไม่เหมือนในอดีต คนส่วนหนึ่งหายไป ส่วนที่ยังอยู่ ก็ไม่พร้อมจะสู้แบบฟังแกนนำทุกอย่าง สั่งอะไรมาก็ทำหมดเหมือนก่อนหน้านี้ เลยรับสมัครคนแบบเป็นทางการเพื่อหวังเอาปริมาณคนมาเติมส่วนที่หายไป ขณะเดียวกันก็หวังใช้มวลชนจัดตั้งเหล่านี้ ทำภารกิจบางอย่าง
**นี่คือ สิ่งที่น่าสงสัยกับการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในเวลานี้ ?
แต่ในการหยามหยันที่พวกรัฐบาลเพื่อไทย กำลังลำพองคิดว่า กปปส.กำลังจะแพ้แล้ว ทั้งที่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด กลับพบว่า เพื่อไทย-นปช.-คนเสื้อแดง ก็ดูจะหวั่นเกรงการถอยไปตั้งหลักอยู่สวนลุมพินีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.ไม่ใช่น้อย
เห็นได้จากการแสดงออกหลายอย่างของฝ่ายแกนนำรัฐบาล-แกนนำนปช. ในช่วงที่ผ่านมา หากเพื่อไทย-เสื้อแดง มองว่า กปปส.ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่มีราคาแล้ว ก็ไม่เห็นต้องให้สัมภาษณ์ หรือปราศรัยข่มสุเทพ และกปปส.รายวันเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายรัฐบาล-เสื้อแดง ก็ยังหวั่นเกรงกปปส. อยู่ลึกๆ ว่าจะเคลื่อนทัพต่อไปอย่างไร เพื่อรุกฆาตยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงตั้งหลักเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในช่วงนี้ จึงต้องติดตามแบบคลาดสายตาไปไม่ ได้เช่นกัน
ที่น่าสนใจ จะพบว่า “สาร” ที่แกนนำนปช. และพวกอดีตส.ส.เพื่อไทย สายเสื้อแดงที่พยายามจะสื่อผ่านสื่อเสื้อแดงทั้งหลาย ผ่านการแถลงข่าวรายวัน และการปราศรัยของแกนนำนปช.บนเวทีปราศรัยใหญ่ ซึ่งแกนนำได้ระดมเดินสายในพื้นที่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของเสื้อแดงคือ “อีสาน-ล้านนา” คืออุดรธานี-ขอนแก่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และล่าสุดที่บริเวณศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ อ.เมืองฯ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา
“สาร”ของแกนนำนปช. ที่สื่อผ่านเวทีปราศรัยสำคัญทั้ง 3 เวที จับความได้ว่า เน้นไปที่ 5 ประเด็นหลัก
1. บอกให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เพราะเป็นการเลือกตั้งของประชาชน และเตือนองค์กรอิสระทั้งหลายว่า ไม่ควรคิดจะล้มล้างการเลือกตั้ง หากทำคนเสื้อแดงจะไม่ยอมเด็ดขาด
2. พยายามปลุกเร้าว่า ให้คนเสื้อแดงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางการเมือง หากมีการเป่านกหวีดระดมพลเมื่อไหร่ให้เตรียมพร้อมเข้ากรุงเทพมหานครทันที
3. สร้างความเชื่อว่า มีบุคคลบางกลุ่มคอยหนุนหลังสุเทพ และกปปส.ในลักษณะเป็นเครือข่าย แต่ก็ยังเป็นกลุ่มอำมาตย์เช่นเดิม แต่รอบนี้มีตัวละครใหม่เข้ามาร่วมด้วย แต่เป้าหมายยังคงเดิมคือ จ้องทำลายรัฐบาลและคนเสื้อแดง โดยมีองค์กรอิสระบางแห่ง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมมือด้วย
4. เปิดศึกเข้าใส่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. แบบไม่มีอ้อมค้อม เกรงใจ หลังไม่พอใจที่ พลเอกประยุทธ์ แสดงท่าทีช่วยเหลือ กปปส. เช่น การส่งทหารไปตั้งบังเกอร์รอบกรุงเทพมหานคร 176 จุด หรือการที่ พลเอกประยุทธ์ สั่งให้ทหารออกมาเอาผิดกับคนเสื้อแดงในพื้นที่เชียงใหม่ และพะเยา ในเรื่องป้ายแยกประเทศ จนเวทีแถลงข่าว นปช. และเวทีปราศรัยใหญ่เสื้อแดง ถล่ม พลเอกประยุทธ์ไม่ยั้ง และยังมีแกนนำนปช.หลายคนพยายามปราศรัยฝังความคิดกับคนเสื้อแดงว่าให้ระวัง ทหารอาจออกมาทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อให้เสื้อแดงเตรียมพร้อม
และ 5. ยกก้นตัวเองว่าเสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เป็นนักประชาธิปไตย และเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่เคยมีความคิดเรื่องการแยกประเทศ เพราะคนเสื้อแดง คือคนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว จะไปแยกประเทศได้อย่างไร
ทั้ง 5 ประเด็นข้างต้น คือ “สาร”หลักๆ ทางการเมืองในช่วง1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพวกแกนนำ นปช. จัดสร้างขึ้นมา แล้วส่งต่อไปยังกลุ่มเสื้อแดงทั่วประเทศ
เรื่องความเชื่อทางการเมือง ก็เป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละคนกันไป แต่ก็เชื่อว่า เสื้อแดงไม่ได้เชื่อแกนนำนปช.ไปทุกเรื่อง อาจเลือกเชื่อในบางเรื่อง ร่วมเคลื่อนไหวด้วยในบางคราว แต่จะให้ร่วมหัวจมหางทุกอย่างแบบในอดีต สมัยช่วงปี 53 ดูแล้ว ก็เชื่อว่า คนเสื้อแดงหลายคนก็ตาสว่างกันไปมากแล้ว หลังเห็นอะไรหลายอย่างชัดเจนขึ้น
ได้เห็น ธาตุแท้ของ ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนแกนนำนปช.ที่เป็นอดีตส.ส.เพื่อไทยคราวที่แล้วที่ไปร่วมกันทำคลอดร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่หักหลังคนเสื้อแดงเพื่อเอาตัวรอดหวังประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ
ก็น่าคิดว่า หรือเพราะเสื้อแดง “ตาสว่าง”กันไปเยอะ เลยทำให้แนวร่วมเสื้อแดงช่วงหลัง ดูจะไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ แม้เวทีใหญ่เสื้อแดงที่อุดรธานี-ขอนแก่น-เชียงใหม่ จะมีคนมามาก แต่ก็เป็นการมาเพราะเป็นพื้นที่หลักของเสื้อแดง อีกทั้งว่ากันตามจริง ควรจะมีคนมากกว่าที่เห็นเสียด้วยซ้ำ
เรื่อง มวลชนเสื้อแดง เวลานี้มีมากน้อยแค่ไหน เป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้ไม่น้อย หลังเกิดกรณีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ และผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน-กลาง ที่คะแนนของเพื่อไทย หายไปเยอะ แม้ทางแกนนำนปช. จะพยายามบอกว่า เสื้อแดงมวลชนไม่ได้ลด ยังคงเดิม แต่ความจริงหลายอย่างมันก็โกหกไม่ได้
ดูได้จากการชุมนุมเสื้อแดงในกรุงเทพฯเ มื่อปลายเดือนพ.ย.56 ที่รัชมังคลากีฬาสถาน ที่มีการสั่งพวกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยทุกจังหวัดให้ขนคนมากันให้มากๆ แต่ก็พบว่าการชุมนุมดังกล่าว เสื้อแดงก็ยังมาไม่มาก หรืออย่างอาทิตย์ที่แล้วที่แกนนำนปช. มีการตั้งขบวนแรลลี่จากอุดรธานีเข้าขอนแก่น โดยมีการแล่นผ่านหลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ก็เห็นชัดว่าตลอดเส้นทางจากอุดรธา นีถึงขอนแก่น ก็มีเสื้อแดงมาคอยต้อนรับร่วมขบวนน้อยกว่าที่หลายคนคิดมาก
อาจจะเพราะเหตุที่ มวลชนเสื้อแดง แม้ยังอยู่ แต่ก็ลดลงไปมาก อันนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้แกนนำนปช.เลยไปจัดกิจกรรมในพื้นที่อุดรธานี-ขอนแก่น-เชียงใหม่ คือ นอกจากเพื่อขู่ กปปส.ว่า เสื้อแดงพร้อมลั่นกลองรบทุกเมื่อแล้ว ก็ยังทำเพื่อจะขอเช็คแนวร่วมฝั่งตัวเอง ในฐานที่มั่นใหญ่ในภาคเหนือ-อีสาน ก่อนว่ามีมากแค่ไหนจะได้ประเมินกำลังตัวเองถูก
อีกทั้งยังมีกรณีคนในทำเนียบรัฐบาล และเป็นแกนนำนปช. ส่วนกลางอย่าง สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ที่มีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ด้วย ออกไประดมมวลชนในรูปแบบของการเปิดรับสมัครประชาชนเป็นแนวร่วม “อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตย” ( อพปช.) ที่ สุภรณ์ ตั้งตัวเองเป็นประธานอพปช. โดยเริ่มทำกันไปแล้วที่ มหาสารคาม และนครราชสีมา พื้นที่เลือกตั้งของ สุภรณ์ ซึ่งเจ้าตัวตั้งเป้าว่า จะสร้างกองกำลัง อพปช.ทั่วประเทศให้ได้ประมาณ 6 แสนคน
เรื่องเป้า 6 แสนคน เป็นไปไม่ได้แน่นอน แค่ราคาคุยมากกว่า แต่หลักหมื่นต้นๆ อาจเป็นไปได้ แต่ก็น่าคิดว่าเป็นประชาชนกลุ่มไหนที่ไปสมัครเป็นกองกำลังอพปช. คนที่ไปสมัครมีตัวตนจริงหรือเปล่า แล้วที่มาสมัครแต่ละคน มาด้วยเหตุผลใด มาเพราะมีการไปบอกว่า จะได้ค่าจ้างหากยกพวกเข้ากรุงเทพฯ แต่ตอนนี้มาลงชื่อไว้ก่อนให้ สุภรณ์ ได้หน้า กลายเป็นคนมีพาวเวอร์ สามารถจัดตั้งมวลชนของตัวเองได้หลักหมื่น หรือมาเพราะคิดว่าเป็นเสื้อแดงเฉยๆ ก็ไม่ได้อะไร แต่หากมาเป็น อพปช. ด้วยอาจมีงานอื่นให้ทำ ดีกว่าใส่เสื้อแดงร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างเดียว
**มันน่าคิดตรงที่ว่า ในเมื่อแกนนำ นปช.-เสื้อแดง บอกว่าพวกตัวเองมีมวลชนเป็นล้าน ทุกคนพร้อมเสียสละต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ยอมตาย-ยอมเจ็บ-ยอมลำบาก หากมีสถานการณ์คับขัน เช่น มีการทำรัฐประหาร แล้วเหตุใดไม่คิดจะให้มวลชนเสื้อแดงเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาธิปไตย ทำไมต้องใช้วิธีการเกณฑ์คน-ระดมคน อย่างที่แรมโบ้ทำ แล้วไม่รู้จะเอาไปฝึกการใช้อาวุธ เตรียมการจะก่อเหตุรุนแรงอะไรหรือไม่
หรือที่ต้องใช้วิธี เตรียมระดมคน จัดตั้งมวลชนขึ้นมาในรูปแบบ อพปช. เพราะฝ่ายเพื่อไทย และแกนนำ นปช. รู้ดีว่า มวลชนเสื้อแดงเวลานี้ไม่เหมือนในอดีต คนส่วนหนึ่งหายไป ส่วนที่ยังอยู่ ก็ไม่พร้อมจะสู้แบบฟังแกนนำทุกอย่าง สั่งอะไรมาก็ทำหมดเหมือนก่อนหน้านี้ เลยรับสมัครคนแบบเป็นทางการเพื่อหวังเอาปริมาณคนมาเติมส่วนที่หายไป ขณะเดียวกันก็หวังใช้มวลชนจัดตั้งเหล่านี้ ทำภารกิจบางอย่าง
**นี่คือ สิ่งที่น่าสงสัยกับการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงในเวลานี้ ?