ASTVผู้จัดการรายวัน - แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กโลกยังโตต่อ 3.3 %ขณะที่ไทยยังผันผวนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจคาดโตได้เพียง 2.5% สหวิริยาฯมั่นใจปีนี้ผลดำเนินธุรกิจดีขึ้นจากปีก่อนขาดทุน 7 พันล้านบาท หลังตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศไทยฟื้นตัวดีขึ้น และราคาเหล็กแท่งแบนสูงขึ้น ลดผลขาดทุนจากโรงถลุงที่อังกฤษ
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า ในปี 2557 ความต้องการบริโภคสินค้าเหล็กของโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 หรือเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1,523 ล้านตัน ซึ่งอัตราการเติบโตของความต้องการเหล็กของประเทศจีนในปี 2557 ยังคงคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.6 รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ บราซิล และกลุ่มสหภาพยุโรป
ขณะที่แนวโน้มการบริโภคเหล็กในไทยสำหรับปี 2557 จะมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งภาวะตลาดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เหล็ก เช่น ก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรมก่อสร้างหากได้แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ได้ ทั้งนี้ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2557ไทยจะมีปริมาณการใช้เหล็ก 18 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากปี 2556
สำหรับบริษัทฯนั้น คาดว่าธุรกิจในปีนี้จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งการเติบโตของยอดขาย การลดต้นทุน ส่วนต่างราคาที่ดีขึ้น รวมทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต หลังจากบริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องมานานนับตั้งแต่การเข้าไปซื้อ ธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ
โดยในไตรมาส 1/2557 ตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดใน เดือนพฤศจิกายนเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุ ตลาดเหล็กแท่งแบนทั่วโลกตึงตัวเมื่อปริมาณความต้องการจากภูมิภาคอเมริกา เหนือเริ่มมีมากขึ้น ขณะที่สินแร่เหล็กและถ่านโค้ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทฯยังคงได้รับแรงกดดันด้านราคาจากสถานการณ์อุปทานล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรของธุรกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น คาดว่าผลขาดทุนของธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะน้อยลงอีกจากการที่บริษัทมุ่งมั่น พยายามลดต้นทุน ทั้งจากการเพิ่มปริมาณการผลิตเหล็กแท่งแบนและอัตราการใช้ PCI และจากโครงการต่างๆ เพื่อปรับลดต้นทุน ที่เรากำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2556 บริษัท มีรายได้รวม 6.53 หมื่นล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 7.05พันล้านบาท ขาดทุนลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1.59 หมื่นล้านบาท โดยปี 2556 บริษัท มีปริมาณการขายเหล็กรวม 3.24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และ 31 ตามลำดับ โดยบริษัทฯได้รับเปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิตเหล็กขั้นกลางเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจร
โดยเหล็กแท่งแบนซึ่งได้จากโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ ก็เป็นทีต้องการของตลาดโลกโดยจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 40 ให้กับบริษัทภายนอก ทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ปรับตัวดีขึ้นมาก เป็นผลจากโรงถลุงเหล็กขารดทุนลดลงเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง โดยยังมีปัญหาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ยังสูงอยู่ และธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนได้พลิกมีกำไรอีกครั้งจากการบริหารค่ารีดที่ดีขึ้น
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า ในปี 2557 ความต้องการบริโภคสินค้าเหล็กของโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 หรือเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1,523 ล้านตัน ซึ่งอัตราการเติบโตของความต้องการเหล็กของประเทศจีนในปี 2557 ยังคงคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.6 รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กหลักของโลกเช่น สหรัฐฯ บราซิล และกลุ่มสหภาพยุโรป
ขณะที่แนวโน้มการบริโภคเหล็กในไทยสำหรับปี 2557 จะมีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งภาวะตลาดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เหล็ก เช่น ก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งอุตสาหกรรมก่อสร้างหากได้แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ได้ ทั้งนี้ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2557ไทยจะมีปริมาณการใช้เหล็ก 18 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากปี 2556
สำหรับบริษัทฯนั้น คาดว่าธุรกิจในปีนี้จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งการเติบโตของยอดขาย การลดต้นทุน ส่วนต่างราคาที่ดีขึ้น รวมทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต หลังจากบริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุนต่อเนื่องมานานนับตั้งแต่การเข้าไปซื้อ ธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ
โดยในไตรมาส 1/2557 ตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดใน เดือนพฤศจิกายนเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุ ตลาดเหล็กแท่งแบนทั่วโลกตึงตัวเมื่อปริมาณความต้องการจากภูมิภาคอเมริกา เหนือเริ่มมีมากขึ้น ขณะที่สินแร่เหล็กและถ่านโค้ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทฯยังคงได้รับแรงกดดันด้านราคาจากสถานการณ์อุปทานล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรของธุรกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น คาดว่าผลขาดทุนของธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะน้อยลงอีกจากการที่บริษัทมุ่งมั่น พยายามลดต้นทุน ทั้งจากการเพิ่มปริมาณการผลิตเหล็กแท่งแบนและอัตราการใช้ PCI และจากโครงการต่างๆ เพื่อปรับลดต้นทุน ที่เรากำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2556 บริษัท มีรายได้รวม 6.53 หมื่นล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 7.05พันล้านบาท ขาดทุนลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1.59 หมื่นล้านบาท โดยปี 2556 บริษัท มีปริมาณการขายเหล็กรวม 3.24 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และ 31 ตามลำดับ โดยบริษัทฯได้รับเปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิตเหล็กขั้นกลางเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจร
โดยเหล็กแท่งแบนซึ่งได้จากโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ ก็เป็นทีต้องการของตลาดโลกโดยจำหน่ายคิดเป็นร้อยละ 40 ให้กับบริษัทภายนอก ทำให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ปรับตัวดีขึ้นมาก เป็นผลจากโรงถลุงเหล็กขารดทุนลดลงเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง โดยยังมีปัญหาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ยังสูงอยู่ และธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนได้พลิกมีกำไรอีกครั้งจากการบริหารค่ารีดที่ดีขึ้น