ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ว่ากันว่า วันที่ 4 มีนาคมนี้ คือเดดไลน์ ตามปฏิทินการเมืองที่ รัฐบาลภายใต้การนำของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”รักษาการนายกรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดการเป็น รัฐบาลรักษาการ
เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 127 ระบุไว้ชัดเจนว่า ภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เมื่อทำไม่ได้ก็จบ สิ้นสภาพ
ส่วนผู้จะทูลเกล้าฯขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนต่อไปตามรัฐธรรมนูญ ก็ตกเป็นผู้ถือครองรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้ถือครองอำนาจสูงสุด คือ ประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3
นี่คือมุมที่นักวิชาการ กูรู ผู้รู้ด้านกฎหมายทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชน ฟันธงขีดเส้นกันไว้
ซึ่ง“สมชัย ศรีสุทธยากร”กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้ทันก่อนวันที่ 4 มีนาคม แน่นอนแล้ว ดังนั้นการจะเปิดสภาเพื่อโหวตนายกฯ เป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ “เครือข่ายแม้ว”หลับกี่ตื่นฝันก็คงไม่มีวันเป็นจริง
หนำซ้ำก่อนการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ กกต. พยายามเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้ง แต่เป็น“ยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย-คนเสื้อแดง”ยืนยันด้วยตัวเองว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ต้องเลือกตั้ง
โดยอ้างกับกกต.ว่า รัฐธรรมนูญไม่เปิดช่องให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ปรึกษาหารือกับ กกต.แล้ว แต่ เครือข่ายแม้ว ก็ตะแบงอ้างหลักตามรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้นเมื่อถึงเงื่อนตายที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเปิดสภาภายใน 30 วัน หลังการเลือกตั้ง เพื่อการหานายกฯใหม่ “เครือข่ายแม้ว”ถึงกับอ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าที่จะออกพูดมากอีก เพราะดื้อดึงเดินหน้าเข้าภาวะเดดล็อกเอง
ในใจ“ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-ลิ่วล้อ”เวลานี้คงคิดนึกย้อนเวลากลับไปตอบรับข้อเสนอ กกต. ให้เลื่อนเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เพราะอย่างน้อยก็ยังอยู่ในตำแหน่ง “รัฐบาลรักษาการ”ได้แบบไร้กำหนด
น่าเสียดายแทน “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-ลิ่วล้อ” ที่หน้ามืดตามัว สมองตื้อ จนคิดอ่านการเมืองพลาด โดนไล่ต้อนเกือบเข้ามุมในที่สุด
ไทม์มิ่งดูเหมือนจะเข้าล็อกของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่เสนอ นายกฯ ตามมาตรา 3 มานานแล้ว
ในมุมมองข้อกฎหมายของมือกฎหมายรุ่นเดอะ ที่ป้อนข้อมูลให้หลังเวที กปปส. รู้ว่า ที่สุด “รัฐบาลเถื่อน”ก็หาเรื่องเดินเข้าสู่จุดวิกฤตเสียเอง แบบไม่ต้องออกแรง จังหวะการเมืองไทยเข้าสู่ “เทิร์นนิ่งพอยท์ ”จุดหักเห ครั้งสำคัญอีกครา
เหลือก็แค่วัดใจ ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดในพรรคเพื่อไทยว่า จะยอมถอยได้มากแค่ไหน หรือจะสู้ โดยให้ ลิ่วล้อ ข้าทาสออกมาตายแทน เพื่อรักษาอำนาจเอาไว้เหมือนที่ถนัด
ซึ่งคนอย่างทักษิณ อ่านใจไม่ยาก เพราะประวัติศาสตร์เขียนไว้ชัดเจนว่า ยี่ห้อนี้ หากยังมีช่องให้สู้ ก็จะสู้สุดใจ ไม่มีทางจะยกธงขาวยอมแพ้ก่อนเวลาอันควรจับสัญญาณแล้วเชื่อว่า ทักษิณกระหายอยากเห็น “เลือดนองแผ่นดินไทย”อยู่แล้ว โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของเครือข่ายแม้ว ที่สะท้อนตรงกันว่างานนี้ทักษิณ เอาจริง
ความเคลื่อนไหวหนึ่งคือส่ง น้องรัก “ยิ่งลักษณ์”กลับไปซบไออุ่นอยู่ในเขตปลอดภัยต่อการสู้รบ เพราะในพื้นที่ภาคเหนือ ถือเป็นถิ่นฐานเสียงของทักษิณอยู่แล้ว
ยิ่งลักษณ์ จึงอยู่ในเขตเซฟตี้โซนแบบสุดๆ มีสาวกห้อมล้อมเป็นเกราะกำบัง
เคลื่อนไหวสองคือทักษิณ สั่งการทางลับให้ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) จัดเตรียมขุมกำลังให้พร้อม ตั้งหลักให้เร็วที่สุด เพื่อต่อสู้กับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ววัน
มีข่าวเล็ดลอกมาว่า ทักษิณได้ส่งเสบียง-ท่อน้ำเลี้ยง เฉียด 100 ล้านบาท ผ่านชายชื่อย่อ“ส.”แจกจ่ายให้กับ แกนนำคนเสื้อแดงเสร็จสรรพ ให้เคลื่อนไหวปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อกล่อม “สาวก”เข้าร่วมกับ นปช. ให้มากที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปเรื่อยๆ
แต่ขึ้นอยู่กับว่า “น้ำเลี้ยง”งวดนี้จะแจกจ่ายลงไปในระดับปฏิบัติการเท่าไร เพราะระดับแกนนำรู้อยู่เต็มอกว่า งวดนี้ “ระบอบแม้ว”เดินต่อยาก หลายคนจึงเลือก“อมตุ่ย”ไว้เป็นเสบียงในยามยาก หรือเป็นทุนรอน หากต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ในเวลาอันใกล้นี้
เคลื่อนไหวสาม ตามที่เห็นและปรากฏอยู่ตามหน้าฉาก บรรดาลิ่วล้อ นักวิชาการสายแดง และคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาเคลื่อนไหว สร้างความสับสนวุ่นวาย ป่วนอารมณ์ “มวลชน”ให้เข้าใจผิด ป่วนสถานการณ์ให้ลุกเป็นไฟ อยู่เรื่อยๆ วาดภาพให้ ประชาชนหลอนกันทั้งประเทศ
ทั้งหมดคือความเคลื่อนไหวที่เห็นกันชัดเจนแล้วว่าทักษิณ สั่ง ลิ่วล้อ ข้าทาส อุ่นเครื่องเพื่อรอวัน ว. เวลา น. เคลื่อนพลรุกเข้าใส่ ขั้วตรงข้าม แบบไม่หวั่นเกรงกัน
ส่วน“แนวรบ”มีข่าวออกมาว่า ทักษิณ อนุมัติเปิดศึกเต็มรูปแบบ หลังสรุปแผนกับ “นายพลเฒ่า-นักรบรับจ้าง”เสร็จเรียบร้อย ซึ่งตามหน้าฉาก นายพลเฒ่าที่ว่า เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”ผู้ซึ่งมีชื่อ เมื่อมีสงครามเกิดตลอด
แต่หลังฉากบรรดานายพลเฒ่า ยังมีอีกหลายหน่อ บางคนติดหนี้ “นายใหญ่”ที่ต้องตอบแทน บางคนคิดจะเป็นใหญ่หากชนะ “สงคราม”ปรากฏตัวเดินสายกันควั่ก อาทิ “นายพล ช.”ยังอยากกลับมาเป็นใหญ่ “นายพล อ.” เบอร์หนึ่งสายมาเฟีย แม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่สมุน-ลูกน้อง ที่ชุบเลี้ยงเอาไว้เป็น “สายโหด” ทั้งนั้น เมื่อมหามิตรอย่างทักษิณ ต้องการความช่วยเหลือ ก็ยากจะปฏิเสธ
แผนเบื้องต้นที่ทักษิณวางเกมกับเหล่า นายพลเฒ่า ให้กองกำลังผสมระหว่าง “ตำรวจแดง-แดงฮาร์ดคอร์-นักรบรับจ้างจากต่างชาติ-ชายชุดดำ" เปิดสงครามกองโจรในพื้นที่กรุงเทพฯ เต็มรูปแบบ
ทว่า นายพลเฒ่า-นักรบรับจ้าง ได้สายตรงแจ้งกับนายใหญ่ว่า กำลังคนยังไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มอีก เพราะแต่ละชุดปฏิบัติการต้องมีทีมระวังหลัง และทีมสนับสนุน แถมเงินสนับสนุนต้องมากพอที่จะสร้างแรงจูงใจได้ แว่วว่าทักษิณ ไม่อิดออดรอช้า ไฟเขียวให้ทันที
นอกจากนี้ทักษิฯยังสั่งให้ “หมอแคนเมืองขอนแก่น”เตรียมการประกาศพื้นที่ปลดปล่อย แบ่งแยกประเทศภาคเหนือ/ภาคอีสาน โดยใช้ช่วงเวลาหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำตัดสินว่า“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”สิ้นสภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 127 และ 172 หรือวันที่ ป.ป.ช. สั่งชี้มูลความผิดโครงการรับจำนำข้าว และให้ ยิ่งลักษณ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่
คาดการณ์กันว่าไทม์มิ่งช่วงนั้น น่าจะหลังวันที่ 4 มีนาคม 2557 ไม่นาน โดยให้ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่ยอมรับคำตัดสินของ ป.ป.ช. แล้วประกาศแยกตัวออกจาก“ประเทศไทย”หวังพลิกเกมครั้งใหญ่
งานนี้ทักษิณ ให้คำมั่นสัญญารับรองกับ ลิ่วล้อ-ลูกสมุนทั้งหลายว่า ได้สั่งให้ ตำรวจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งถือเป็นคำมั่นสัญญาที่เปิดทางให้ลิ่วล้อ-ลูกสมุน เคลื่อนไหวตามภารกิจได้สะดวกโยธิน ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องถูกจับกุมใดๆ ทั้งสิ้น
แผนทั้งหมดของทักษิณ คงมีใครบางคนใน “กองทัพ”ได้กลิ่น จึงรีบส่งข่าวให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. ทำให้ “บิ๊กตู่”อยู่นิ่งไม่ได้ สั่ง การให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในทุกจังหวัด ซึ่งสวมหมวก “ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร”อยู่ด้วย ต้องรายงานสถานการณ์ทั้งทางเปิด-ทางลับ ต่อ กอ.รมน.
หากตรวจพบว่า จังหวัดใดมีความเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นภัยต่อความมั่นคง อาจจะต้องถูกจับตามองทุกความเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาคเหนือ-ภาคอีสาน
แผนปฏิบัติการแยกประเทศเพื่อยึดอำนาจให้อยู่ในมือของทักษิณ สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมือง ประเทศรอวันลุกเป็นไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้