xs
xsm
sm
md
lg

สงครามกลางเมือง...เป็นปัญหาความมั่นคง!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

การแก้ปัญหาทั้งหลายจักสำเร็จได้ก็ด้วยการรู้และเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ หาไม่แล้วนอกจากแก้ปัญหาไม่ได้ ยังจะซ้ำเติมและปล่อยให้ปัญหาลุกลามบานปลายจนกระทั่งอาจทำให้สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ดังที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวไว้ก็ได้

เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสอนอริยมรรคอันมีองค์แปดซึ่งเป็นหนทางในการดับทุกข์ว่า ต้องเริ่มที่สัมมาทิฐิคือความเห็นที่ถูกเสียก่อน หากไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะพูด จะทำอะไร ก็ไม่มีทางที่จะถูกต้องได้

ดังเช่นปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลุกลามบานปลายมาจนถึงวันนี้ ก็เพราะว่าไม่รู้ว่ามันเป็นปัญหาอะไร ถ้าเปรียบกับคนไข้ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร เมื่อไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็วางยารักษาไม่ถูก โรคนั้นก็ไม่หาย และบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

บ้านเมืองของเราในทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน กำลังเป็นกลียุคทุกหย่อมหญ้า อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนและเป็นอันตรายจากการถูกทำร้าย ถูกสังหารเป็นรายวัน ในใจกลางพระนครก็มีการทำสงครามต่อสู้กัน กลายเป็นสงครามกลางเมือง เป็นเรื่องที่เป็นประจักษ์แล้ว

สภาพอย่างนี้เป็นเรื่องอะไร? เป็นปัญหาอะไร? จำเป็นจะต้องได้รับการวินิจฉัยให้ถูกต้องเสียก่อน หาไม่แล้วก็จะพูดกันสุ่มสี่สุ่มห้า พูดกันบ้าๆ บอๆ พูดกันไปวันๆ ในขณะที่ประเทศไทยและคนไทยกำลังฉิบหายวายวอดอยู่ทุกวัน

สภาพที่เกิดขึ้นนี้ถ้าหากจะมองในแง่ปรัชญาทางสงครามดังที่ประธานเหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวไว้ว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และสงครามก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด ถ้ามองกันในบริบทนี้ก็ย่อมกล่าวได้ว่ายังอยู่ในบริบทของการเมือง แต่เป็นการเมืองที่หลั่งเลือด

เป็นการเมืองที่ประชาชนต้องหลั่งเลือดทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนแก่ และไม่ว่าประชาชน หรือทหาร หรือตำรวจ กำลังล้มหายตายจากอยู่ทุกวัน เลือดไทยต้องไหลหลั่ง การเมืองลักษณะนี้ก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด นั่นหมายความว่ามันเป็นสงคราม

ใครก็ตามหากจะพูดเรื่องการเมืองก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงบริบทของการเมืองกับสงครามดังกล่าวไว้ด้วย เพราะถ้าหากพูดเพียงแค่การเมืองเรื่องเลือกตั้งก็จะเป็นการไร้เดียงสาเกินไป

สถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรเล่า?

ประการแรก พรรคการเมืองและนักการเมืองล้วนประพฤติต่ำช้าสารเลว ผู้มีอำนาจทางการเมืองประพฤติตนฉ้อฉล โฉดชั่ว โกงบ้านกินเมือง ครั้งมโหฬารยิ่งกว่ายุคใดในประวัติศาสตร์ ถึงขั้นที่กล่าวกันโดยทั่วไปว่าโคตรโกงและโกงทั้งโคตร หรือถ้าจะใช้ข้อสรุปการตั้งข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ก็คือ “ทุจริตตลอดโครงการ และทุจริตทุกขั้นทุกตอน” และการโคตรโกงที่ว่านี้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติและประชาชน

เฉพาะผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวเท่าที่ตรวจพบก็มีจำนวนมหาศาลอย่างน้อย 425,000 ล้านบาท

มิหนำซ้ำ ยังใช้ญาติวงศ์พงศาของนักการเมือง ตลอดจนลูกจ้างและลิ่วล้อบริวารเข้าไปยึดครองกลไกอำนาจรัฐโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมยึดบ้านยึดเมืองเป็นของคนตระกูลเดียว จึงเป็นที่เกลียดแค้นชิงชังของมวลมหาประชาชน และไม่อาจอดทนให้ทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป

ประการที่สอง มวลมหาประชาชนทุกสาขาอาชีพจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จากทุกชนชั้น จากทุกชนชาติ จากทุกศาสนา ได้ประจักษ์ถึงความชั่วช้าเลวทราม การยึดบ้านยึดเมือง การโกงบ้านกินเมืองแล้ว จึงพร้อมใจกันขับไล่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มีการชุมนุมเดินขบวนอย่างเปิดเผยกว่า 6 ล้านคน และชุมนุมต่อสู้ยาวนานย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว เพื่อขับไล่ระบอบทักษิณให้สิ้นแผ่นดินไทย และไม่ยอมประนีประนอมหรือต่อรองที่จะให้ระบอบทักษิณมีอำนาจในแผ่นดินนี้อีกต่อไป

ประการที่สาม มีการเตรียมการและกำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในลักษณะกบฏภายในราชอาณาจักรและตั้งตนเป็นอริราชศัตรูอย่างชัดเจนดังต่อไปนี้

ข้อแรก มีการประกาศทั้งด้วยวาจาและด้วยป้ายโฆษณา ตลอดจนลายลักษณ์อักษรว่า กำลังดำเนินการแบ่งแยกประเทศไทยเป็นไทยเหนือ ไทยใต้ โดยจะตั้งเมืองหลวงใหม่ไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้โฆษณาประกาศทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และเอกสารนานาชนิด

ข้อสอง มีการประกาศและเตรียมการจัดตั้งกองกำลังอาวุธในชื่ออาสาสมัครตำรวจบ้านและมีการเดินสวนสนามโชว์ให้เห็นเป็นครั้งแรกนับพันคน โดยมีการตั้งอัตราถึง 80,000 คน เพื่อเป็นกองกำลังของรัฐไทยใหม่ ในการตั้งรัฐบาลไทยเหนืออีสานที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น

ข้อสาม มีการจัดตั้งกองกำลังอาวุธที่ประกอบด้วยอดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและอดีตอาสาสมัครทหารพราน เพื่อเป็นกองกำลังอาวุธทำการต่อสู้กับกองทัพไทย ให้กับประเทศไทยใหม่ที่กำลังจัดตั้งขึ้น

ข้อสี่ มีการประกาศเพิ่มอัตรากำลังหน่วยกำลังอาวุธขึ้นในทุกจังหวัดอีกจังหวัดละ 100 คน และมีการประกาศให้ระดมมวลชนที่สนับสนุนติดอาวุธ โดยข่มขู่ว่ามีผู้มีอาวุธขณะนี้แล้วถึง 10 ล้านคน

ข้อห้า มีการปฏิบัติการด้วยกำลังอาวุธต่อประชาชนที่มีความเห็นไม่ตรงกับพวกตน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง แกนนำประชาชน พระภิกษุ หรือประชาชนทั่วไป โดยใช้ระเบิดถล่ม ใช้ปืนยิง ใช้ไฟเผาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกวัน และบังอาจกระทำอย่างอุกอาจแม้กระทั่งการยิงระเบิด M79 ใส่ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ หมายสังหารหมู่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นับร้อยคน

ข้อหก มีปฏิบัติการด้วยกำลังอาวุธเข้าโจมตีหน่วยทหารที่ออกมาปฏิบัติการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยการจัดกระบวนหน่วยรบเข้าโจมตีหน่วยทหารอย่างอุกอาจ บางคืนเปิดการโจมตีต่อเนื่องถึง 4 ชั่วโมง และในคืนถัดมาก็เปิดการโจมตีพร้อมกันถึง 4 จุด แต่ละจุดใช้เวลาเป็นชั่วโมงในใจกลางพระนคร

สถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์สงครามกลางเมือง เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติอย่างร้ายแรง เป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างร้ายแรง เป็นภัยต่อประชาชนอย่างร้ายแรง และเป็นสถานการณ์สงครามที่กำลังขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นปัญหาความมั่นคงที่ผู้ก่อความรุนแรงมีความมุ่งหมายชัดเจนในการยึดครองประเทศไทยเป็นของตน และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับทุกผู้คน ไม่เว้นแม้กับเหล่าทหาร เพื่อยึดครองแผ่นดินนี้เป็นของตน

สภาพเช่นนี้เป็นอันพ้นวิสัยที่ประชาชนหรือพรรคการเมืองหรือนักการเมืองจะเจรจาทำความเข้าใจกันได้ หรือถ้าจะเจรจากันก็ไม่อาจบังเกิดผลหรือยุติความรุนแรงได้ในทันที

ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของกองทัพและทหารในการเข้าระงับยับยั้งหรือจัดการหยุดยั้งความรุนแรงทั้งหลาย หยุดยั้งสงครามกลางเมืองดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่เพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชนให้มีความปลอดภัยให้จงได้

ไม่เคยปรากฏว่าความกลัวเคยแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น