xs
xsm
sm
md
lg

อมตะ บี.กริมฯทุ่มกว่า1.5แสนลบ.ใน5ปี ดันเป้าผลิตไฟฟ้า5พันเมกทั้งใน-ตปท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "อมตะ บี.กริม เพาเวอร์" ตั้งเป้า 5ปีมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 5 พันเมกะวัตต์  จากปัจุบันผลิตอยู่แล้ว 733 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ.อยู่แล้ว 2พันเมกะวัตต์ ซึ่งกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนั้นใช้เงินลงทุน 1.5 แสนล้านบาท พร้อมจ่อลงทุนในต่างประเทศทั้งเมียนมาร์ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย วางเป้าหมายผลิตในต่างประเทศแค่ 200-300เมกะวัตต์ ชี้ 1-2ปีนี้จะใช้เงินลงทุน 2หมื่นล้านบาทในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าSPP4 โรง โดยแหล่งทุนจะมาจากการขยายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ หรือนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น
    นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เปิดเผยภายหลังการเปิดโรงไฟฟ้าแห่งใหม่"อมตะ บี.กริม เพาเวอร์(ระยอง) 1 และ 2 อย่างเป็นทางการ ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง โดยมีพลอากาศเอกกำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานเปิดงานวานนี้ (24 ก.พ.)ว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายใน 5ปีข้างหน้า
จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 5 พันเมกะวัตต์  จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีโรงไฟฟ้าเปิดทำการแล้ว 6 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 733 เมกะวัตต์  และมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าSPP ให้ครบ 16 โรงในปี 2562 คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 2 พันเมกะวัตต์ ใช้เงินประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เป็นเวลา 25 ปีอยู่แล้ว
โรงไฟฟ้าเอสพีพีที่จะขยายเพิ่มเติมให้ครบ 16 โรงนั้นส่วนใหญ่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ทำให้การต่อต้านจากชุมชนในท้องถิ่นมีน้อย และไม่มีปัญหาการขอใบอนุญาต รง.4 เหมือนโรงไฟฟ้าที่อยู่นอกนิคมฯ  
     นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บี.กริม เพาเวอร์  กล่าวว่า เป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3 พันเมกะวัตต์เป็น 5 พันเมกะวัตต์ในอีก 5ปีข้างหน้านี้ จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท โดยบริษัทเล็งเห็นศักย ภาพธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) โดยบริษัทฯมองลู่ทางการลงทุนธุรกิจไฟฟ้านอกเหนือจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานทดแทน เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าพลังน้ำก็ให้ความสนใจเช่นกัน  โดยสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น
     "  เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 พันเมกะวัตต์ใน 5ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นหลัก การลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเท่าที่ประเมินคงไม่ถึง 200-300 เมกะวัตต์ ดังนั้นบริษัทฯคงต้องรอดูแผนพีดีพีใหม่ที่จะประกาศมาว่า จะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมมากน้อยแค่ไหน เพราะลำพังให้กฟผ.ลงทุนเองก็มีข้อจำกัด
ซึ่งบริษัทฯได้เตรียมพื้นที่ในการยื่นขอโรงไฟฟ้า SPP ใหม่หากเปิดรับซื้อรอบใหม่  เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าไอพีพีที่ไม่จำกัดว่าต้องเป็นโรงไฟฟ้าใช้ก๊าซฯ เนื่องจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่างซูมิโตโม ก็มีความเชี่ยวชาญโรงไฟฟ้าถ่านหินด้วยเช่นกัน "
     ทั้งนี้ บริษัทฯได้จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นศึกษาความเป็นไปได้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2-3 โครงการๆละ 40-50 เมกะวัตต์ จะมีความชัดเจนในปีนี้ โดยยอมรับว่าการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ปัจจัยสำคัญอยู่ที่เจ้าของที่ดิน เนื่องจากราคาที่ดินแพงมาก ทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทได้ปฏิเสธการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นไปแล้ว 1 โครงการ   
    นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังผลิต 160 เมกะวัตต์ โดยรัฐบาลเมียนมาร์จะเปิดประมูลสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวใกล้เมืองมัณฑะเลย์ โดยเบื้องต้นมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลถึง 18 ราย แต่รัฐบาลเมียนมาร์จะเลือก 5  รายจากชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ประมูลก่อนให้ยื่นรายละเอียดการเสนอราคาค่าไฟฟ้าอีกครั้ง คาดว่าเดือนหน้ารัฐบาลเมียนมาร์จะมีความชัดเจนออกมา อีกทั้งบริษัทฯยังสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเมียนมาร์ด้วย โดยยอมรับว่าเมียนมาร์เพิ่งเปิดประเทศ ทำให้กฎระเบียบยังไม่ชัดเจนทำให้มีความเสี่ยงในการจัดหาเงินกู้ก็ตาม
 ส่วนการลงทุนในมาเลเซียนั้น บริษัทฯสนใจโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำมีขนาดใหญ่ ทำให้เงินลงทุนสูงมาก คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
      นางปรียนาถ กล่าวต่อไปว่า การลงทุนใน 1-2ปีนี้ บริษัทฯจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 4หมื่นล้านบาทสำหรับสร้างโรงไฟฟ้าSPPอีก 4 โรง โดยจะเป็นเงินลงทุนในส่วนทุน ประมาณ 2.5-3 พันล้านบาท ซึ่งเงินส่วนทุนนี้ บางส่วนได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว แต่ยังมีเม็ดเงินอีก2 พันล้านบาทที่ต้องจัดหา โดยพิจารณาว่าอาจจะขยายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะบี.กริม เพาเวอร์(ABPIF) ที่มีขนาดกองทุนอยู่ 6.3 พันล้านบาท โดยขายโรงไฟฟ้าเข้ากองทุนฯ หรือจะนำบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าปีนี้จะมีความชัดเจนว่าจะเลือกแนวทางใด

     สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้  14,400 ล้านบาท เนื่องจากจะมีโรงไฟฟ้าที่จะเดินเครื่องพาณิชย์เพิ่มขึ้น 2 โรง และคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตขึ้นอีกในปี 2558 เนื่องจากยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างอีก 4 โครงการ โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางกะดี จังหวัดปทุมธานี 2 โครงการ และในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี อีก 2 โครงการ ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกใน 480 เมกะวัตต์  
     " ปัจจุบันรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 60% ของรายได้กลุ่มบี.กริม โดยปีที่แล้ว กลุ่มบี.กริม มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.4 หมื่นล้านบาท ส่วนปัญหาการเมืองที่ไม่สงบนั้น มีผลกระทบไม่มากนักเนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวเมื่อเทียบกับท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบในทันที  แต่ความผันผวนทางการเมืองในระยะยาวทำให้การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมลดลงด้วยเช่นกัน"
กำลังโหลดความคิดเห็น