xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองไทยเปลี่ยนไป

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

หลังจากจดๆ จ้องๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดรัฐบาลก็เริ่มปฏิบัติเข้า “ขอคืนพื้นที่” หรือสลายการชุมนุม และก็เป็นไปตามคาด การดำเนินการดังกล่าวทำให้คนตายและบาดเจ็บหลายคน และคาดว่านับวันสถานการณ์ก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น

ผู้ชุมนุมที่เป็นคนกรุงเทพฯ ก็เป็น “นักเรียนไป-มา” คือไปเช้าเย็นกลับ ส่วนผู้ที่มาจากต่างจังหวัดก็เป็น “นักเรียนประจำ” คือกินนอนอยู่กับสถานที่การชุมนุม แม้ว่าจะมีการจับกุมแกนนำได้ แต่ศาลก็สั่งปล่อย ซึ่งผมคิดว่านำไปสู่การยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มศาลอาญา เมื่อวันก่อนนับว่าเป็นการกระทำที่ทั้งอุกอาจและอุบาทว์ เพราะ 100 กว่าปีที่มีศาลมา ศาลก็เพิ่งจะถูกทำร้ายคุกคามในครั้งนี้เอง

จากการสดับตรับฟังข่าวก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ DSI ลุแก่อำนาจมาก โดยเฉพาะการไปขอให้ธนาคารอายัดบัญชีธนาคารของบุคคลหลายคน โดยไม่มีการเรียกบุคคลนั้นมาสอบสวนเสียก่อน ธนาคารเองก็บ้าจี้ยอมทำตาม ผมคิดว่า DSI นี้ นับวันก็ดูจะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกลั่นแกล้งคน ยุบเสียได้ก็จะเป็นการดี และโดยที่หน่วยงานนี้สังกัดกระทรวงยุติธรรม ก็นับว่าเป็นเสนียดจัญไรกับกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงที่ดีเป็นอันมาก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่าง นับตั้งแต่การใช้ธนาคารออมสินออกเงินกู้ให้ ธ.ก.ส.ทำให้ผู้คนแห่ไปถอนเงิน นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนหมดความเชื่อถือในตัวรัฐบาลแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังนิ่งเฉยอยู่ ทำให้เราเห็นว่ารัฐบาลประชาธิปไตยนั้น ไม่ได้หมายความถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นเพียง “เครื่องมือ” ของการขึ้นสู่อำนาจ ทำให้รัฐบาลมีอำนาจ แต่อำนาจนั้นจะเป็นอำนาจที่ชอบธรรม และรัฐบาลมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใดนั้น อยู่ที่อีกเงื่อนไขหนึ่ง นั่นก็คือ การที่รัฐบาลทำงานโดยมุ่งถึงประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่หรือไม่ นี่คือเป้าหมายที่สำคัญ และความเป็นประชาธิปไตยก็วัดได้จากเรื่องนี้ ไม่ใช่มาจากการเลือกตั้ง

รัฐบาลนี้ได้อำนาจมาเพราะมีเสียงข้างมาก แต่นับวันการดำเนินนโยบายก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมิได้ทำการโดยมุ่งต่อความผาสุกของคนส่วนใหญ่ และทำความผิดพลาดในทุกระดับของการบริหารราชการคือ ในระดับการเลือกสรรแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการก็มิได้ใช้ระบบคุณธรรม แต่ทำโดยเห็นแก่พรรคพวกจนข้าราชการที่ดีหมดอาลัยตายอยาก

ในระดับนโยบาย รัฐบาลดำเนินนโยบายประชานิยมที่ทำให้รัฐสูญเสียเงินจำนวนมาก นโยบายเช่นการรับจำนำข้าวที่ล้มเหลว ขาดทุนหลายแสนล้านบาท และยังไม่สามารถจ่ายเงินให้ชาวนาได้

ในระดับการปฏิบัติงาน การทำโครงการต่างๆ เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันเกือบทุกขั้นตอน การเรียกเงินกินเปล่าเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20-30% บางแห่งก็สูงกว่านั้น

ภายใต้ระบบที่ฟอนเฟะเช่นนี้ ประเทศชาตินับวันก็ยิ่งล่มจม แต่นักการเมืองรวยขึ้น เพราะคอยแสวงหาผลประโยชน์ มีคนกล่าวว่า “เจ๊ ด.”ได้เงินจากโครงการรับจำนำข้าวไปหลายหมื่นล้านบาท

แม้ว่าประชาชนนับล้านจะออกมาต่อต้านรัฐบาลอย่างสงบแต่ก็ไม่เป็นผล ฝ่ายทหารเองก็ทำตัวลอยอยู่เหนือปัญหา ทำให้การเมืองอยู่ในภาวะชะงักงัน ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสอย่างมหาศาล สถานการณ์เลวร้ายทางการเมืองยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เพราะบ้านเมืองไม่ได้มีแต่ปัญหาทางการเมืองที่แก้ไขได้ แต่มีปัญหาของความแตกแยกในหมู่ประชาชน และการสิ้นศรัทธาที่มีต่อรัฐบาล นับว่าความแตกแยกนี้ก็ยิ่งขยายวงกว้าง และเป็นรอยลึกอยู่แทบทุกครอบครัวก็ว่าได้

วันก่อนผมดูทีวีเห็นเด็กอายุ 5-6 ขวบขึ้นไปอ่านบทกวี ความแตกแยกครั้งนี้ลงไปถึงเด็กๆ แล้ว เด็กๆ ได้มีการเรียนรู้ทางการเมืองมากขึ้น ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจการเมืองก็เป็นแนวหน้า วันก่อนผมพบ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อาจารย์บอกว่า แต่เดิมเราเคยเห็นแต่มวลชนมาจากคนรากหญ้าระดับล่าง แต่คราวนี้มวลชนเป็นคนชั้นกลาง ซึ่งโดยปกติจะไม่มาร่วมเคลื่อนไหวบนท้องถนน และไม่อยู่นานเช่นนี้ ปรากฏการณ์นี้แสดงว่าสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

จะว่าไปแล้ว ชนชั้นกลางย่อมได้รับผลกระทบจากนโยบายประชานิยม และการคอร์รัปชันมากที่สุดเพราะชนชั้นกลางเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเป็นผู้เสียภาษีมากที่สุด ย่อมมีความอ่อนไหว และรังเกียจการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม

การตื่นตัวของชนชั้นกลาง และการมีความเข้าใจกับระบอบประชาธิปไตยในทางที่ถูกต้อง มีผลทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอันมาก ประชาชนเริ่มเข้าใจแล้วว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่เป็นการทำงานโดยมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่มากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น