00 ถ้ามองกันอีกด้านหนึ่งกรณีปัญหานโยบายประชานิยมหลักอย่าง "จำนำข้าว" ที่แตกดังโพละแบบ "ฝีแตก" อยู่เวลานี้ ถ้าแยกออกมาจากความเดือดร้อนของพี่น้องชาวนาที่ตกเป็น"เหยื่ออำมหิต" ที่กำลังเกิดขึ้นก็ต้องบอกว่าปัญหาดังกล่าวกำลังทำให้การเมืองกลับเข้ามาสู่จุด "สมดุล" เกิดการถ่วงดุลกันแบบใกล้เคียงความเป็นจริงอีกครั้ง เพราะต้องยอมรับว่า หากไม่มีเรื่องปัญหาชาวนาประดังเข้ามาพร้อมกันแบบ "ได้จังหวะ" พอดี ลำพังการ "ตื่นรู้" ของมวลมหาประชาชนเพื่อผลักดันการปฏิรูปกันแบบขนานใหญ่ เส้นทางก็ยังยากลำบาก เนื่องจากยังมีพี่น้องชาวชนบท เกษตรกร ชาวนา ยัง"หลงไหล" อยู่กับ "ระบอบทักษิณ" ยังชื่นชมยินดีอยู่กับ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าถ้าถามว่า ลองนึกผลงานที่น่าประทับใจของรัฐบาลนี้มาสักอย่างสิว่ามีอะไรบ้าง ก็ยังนึกไม่ออก แต่ก็ยังสนับสนุนอยู่ร่ำไป
00 จนกระทั่งเกิดอาการฝีแตก เรื่องจำนำข้าวนี่แหละที่ในที่สุดได้นำปัญหาความเดือดร้อน "มากองอยู่ตรงหน้า" สารพัด ทั้งหนี้สินทั้งในและนอกระบบ เกิดลักษณะที่เรียกว่า "หนี้สินเป็นลูกโซ่" นั่นคือ เมื่อชาวนาไม่ได้เงินจากรัฐบาล ก็ไม่มีเงินไปจ่ายค่ารถเกี่ยวข้าว ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลงกับร้านค้า ทำให้การค้าการขายในหมู่บ้านไม่มีเงินหมุนเวียน ตามที่เศรษฐศาสตร์เรียกว่า "เงินไม่สะพัด" หมุนไม่ออก เช่น พ่อค้าส้มตำไก่ย่าง ขายของไม่ได้ เพราะคนในหมู่บ้านไม่มีกำลังซื้อ เงินก็ไม่หมุน ยิ่งนานวันก็ยิ่งจนตรอก
00 ตอนแรกอาจใช้วิธีใส่ร้ายตามถนัด นั่นคือ ก่อนหน้านี้จะเห็น รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง จอม"ไวท์ไลน์" อ้างว่าเป็นเพราะม็อบไปปิดกระทรวงการคลังเงินถึงจ่ายชาวนาไม่ได้ แต่ก็มีคนรู้ทัน สวนกลับไปว่า แล้วทำไมเงินเดือนรัฐมนตรีถึงได้ออกครบล่ะ และถึงอย่างไรความจริงก็ย่อมหนีความจริงไม่พ้น เพราะเมื่อตรวจสอบวันเวลาตามใบประทวนที่แจกให้ชาวนา "เอาไปกอด" ไว้ มันนาน 3-4 เดือน นั่นคือตั้งแต่เดือนตุลาคม นี่ก็ข้ามปีมาแล้ว และปัญหาก็คือรัฐบาล "หมด ปัญญา" จ่ายเงินให้ชาวนาแล้ว เพราะตอนนี้ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย ความหวังสุดท้ายที่จะ "กู้เงิน" อีก 1.3 แสนล้านบาท มาโปะจ่ายก็ถูกปิดลงสนิท เมื่อ กกต.ไม่ยอมเล่นด้วย ไม่ยอมพิจารณาอนุมัติ อ้างว่าไม่มีอำนาจ หากรัฐบาลรักษาการจะกู้ก็ทำได้ แต่ต้อง"เตรียมรับความเสี่ยง" เอาเอง ครั้นจะล้วงเอาเงินฝากจาก ธ.ก.ส. และออมสิน ก็ถูกพนักงานขัดขวาง หมดทางไป สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือ กำลังดิ้นรนไปปรึกษากฤษฎีกา หาทางเลี่ยงกม.ว่า กู้แล้วจะไม่ให้มีความผิดอย่างไร สิ่งที่คิดมีอยู่แค่นี้จริงๆ
00 อย่างที่ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เคยกล่าวเอาไว้ว่า บางครั้งต้องรอให้เกิดความฉิบหายก่อน เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ความเจ็บปวดด้วยตัวเอง เหมือนกับเรื่องจำนำข้าว ถ้าชาวนาไม่เจอกับตัวเอง ก็ยังคงหลงไหลอยู่กับรัฐบาลโจรพวกนี้ต่อไป ทั้งที่มีเสียงเตือน เสียงคัดค้านกันดังลั่น เพราะมันเป็นโครงการ"หลอกลวง" ทำไม่ได้ในความเป็นจริง มันอาจใช้ได้ผล ได้เงินในช่วงปีแรก ครั้งแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ต้องเจ๊งวันยังค่ำ เพราะซื้อแพงขายถูกกว่าครึ่ง แถมยังเป็นสินค้าเกษตรที่เสื่อมสภาพเร็ว มันก็ยิ่งไม่มีเหลือ เวลานี้แม้แต่จะคืนข้าวให้ชาวนาก็ทำไม่ได้ เพราะเสียหาย "มอดกิน" ไปหมดแล้ว ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ในเวลานี้จะได้เห็นชาวนาต่างออกมาประท้วงดุเดือดแบบไม่เกรงใจรัฐบาลมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่คนพวกนี้ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ล้วน"เป็นคนเสื้อแดง" เกือบทั้งสิ้น
00 เอาเข้าจริง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง อารมณ์ของชาวนาก็ยิ่งเดือดดาล เพราะหนี้สิน ปากท้องต้องกินต้องใช้ประจำวัน มันก็ยิ่งเครียด ถามว่าอารมณ์แบบนี้ชาวนายังจะเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาอีกหรือ ก็ยังมีบ้างที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่รับรองว่าจากปัญหาจำนำข้าวนี่แหละ จากเดิมที่เป็นพลังหนุนส่งให้พรรคนี้ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย คราวนี้อาจตรงกันข้าม ทำเป็นเล่นไป หากรณรงค์ให้ "โหวตโน" เชื่อว่าชาวนาจะเอาด้วยไม่น้อยเลยละ จะบอกให้ นี่แหละถึงได้บอกว่า หากเข้าใจว่าการชุมนุมของมวลมหาประชาชนที่กำลังขับไล่ระบอบทักษิณ แล้วปฏิรูปขนานใหญ่ ว่าเป็นมวลชนจากชนชั้นกลาง และคนมีเงินในเมือง แต่กรณีของชาวนาและเกษตรกร ล้วนเป็นคนในชนบท มันก็ถึงคราว"สองแรงบวก" เข้ามาพร้อมกัน กลายเป็นว่า เวลานี้ "ทักษิณ ชินวัตร" กำลังเสื่อมทุกทาง และอีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้การเมืองเข้าสู่จุดสมดุล นั่นคือ "มีความสูสี" มากขึ้น ไม่ใช่ "ชนะขาด" เหมือนเก่า อย่างไรก็ดี สำหรับ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เวลานี้ถือว่าหมดสภาพอย่างสิ้นเชิงแล้ว
00 การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วให้ "เฉลิม อยู่บำรุง" คุม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. มันช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก เพราะมวลชนเยาะเย้ยถากถาง ไม่มีใครกลัวเกรง และตัว ผอ.ศรส. ก็ต้องมุดหัว หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตลอดเวลา เพราะถูกปิดล้อม ความล้มเหลวมันส่อให้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว หลังจากที่ฝ่ายทหารไม่เล่นด้วย กลายเป็นว่าเวลานี้มีแต่รัฐบาลเท่านั้น ที่มี "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออก พ.ร.ก.โดยมิชอบ เพราะเป็นแค่รัฐบาลรักษาการ นายกฯรักษาการ ซึ่งต้องมีคนไปร้องว่า รัฐบาลเถื่อนบังคับใช้กม.อะไรไม่ได้ อีกต่สงหาก สรุปก็คือ ถ้าเหลิมเป็นเป็ด ก็กำลังเป็น "เป็ดง่อย" เข้าไปทุกทีแล้ว !!
00 จนกระทั่งเกิดอาการฝีแตก เรื่องจำนำข้าวนี่แหละที่ในที่สุดได้นำปัญหาความเดือดร้อน "มากองอยู่ตรงหน้า" สารพัด ทั้งหนี้สินทั้งในและนอกระบบ เกิดลักษณะที่เรียกว่า "หนี้สินเป็นลูกโซ่" นั่นคือ เมื่อชาวนาไม่ได้เงินจากรัฐบาล ก็ไม่มีเงินไปจ่ายค่ารถเกี่ยวข้าว ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลงกับร้านค้า ทำให้การค้าการขายในหมู่บ้านไม่มีเงินหมุนเวียน ตามที่เศรษฐศาสตร์เรียกว่า "เงินไม่สะพัด" หมุนไม่ออก เช่น พ่อค้าส้มตำไก่ย่าง ขายของไม่ได้ เพราะคนในหมู่บ้านไม่มีกำลังซื้อ เงินก็ไม่หมุน ยิ่งนานวันก็ยิ่งจนตรอก
00 ตอนแรกอาจใช้วิธีใส่ร้ายตามถนัด นั่นคือ ก่อนหน้านี้จะเห็น รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง จอม"ไวท์ไลน์" อ้างว่าเป็นเพราะม็อบไปปิดกระทรวงการคลังเงินถึงจ่ายชาวนาไม่ได้ แต่ก็มีคนรู้ทัน สวนกลับไปว่า แล้วทำไมเงินเดือนรัฐมนตรีถึงได้ออกครบล่ะ และถึงอย่างไรความจริงก็ย่อมหนีความจริงไม่พ้น เพราะเมื่อตรวจสอบวันเวลาตามใบประทวนที่แจกให้ชาวนา "เอาไปกอด" ไว้ มันนาน 3-4 เดือน นั่นคือตั้งแต่เดือนตุลาคม นี่ก็ข้ามปีมาแล้ว และปัญหาก็คือรัฐบาล "หมด ปัญญา" จ่ายเงินให้ชาวนาแล้ว เพราะตอนนี้ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย ความหวังสุดท้ายที่จะ "กู้เงิน" อีก 1.3 แสนล้านบาท มาโปะจ่ายก็ถูกปิดลงสนิท เมื่อ กกต.ไม่ยอมเล่นด้วย ไม่ยอมพิจารณาอนุมัติ อ้างว่าไม่มีอำนาจ หากรัฐบาลรักษาการจะกู้ก็ทำได้ แต่ต้อง"เตรียมรับความเสี่ยง" เอาเอง ครั้นจะล้วงเอาเงินฝากจาก ธ.ก.ส. และออมสิน ก็ถูกพนักงานขัดขวาง หมดทางไป สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือ กำลังดิ้นรนไปปรึกษากฤษฎีกา หาทางเลี่ยงกม.ว่า กู้แล้วจะไม่ให้มีความผิดอย่างไร สิ่งที่คิดมีอยู่แค่นี้จริงๆ
00 อย่างที่ สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เคยกล่าวเอาไว้ว่า บางครั้งต้องรอให้เกิดความฉิบหายก่อน เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ความเจ็บปวดด้วยตัวเอง เหมือนกับเรื่องจำนำข้าว ถ้าชาวนาไม่เจอกับตัวเอง ก็ยังคงหลงไหลอยู่กับรัฐบาลโจรพวกนี้ต่อไป ทั้งที่มีเสียงเตือน เสียงคัดค้านกันดังลั่น เพราะมันเป็นโครงการ"หลอกลวง" ทำไม่ได้ในความเป็นจริง มันอาจใช้ได้ผล ได้เงินในช่วงปีแรก ครั้งแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ต้องเจ๊งวันยังค่ำ เพราะซื้อแพงขายถูกกว่าครึ่ง แถมยังเป็นสินค้าเกษตรที่เสื่อมสภาพเร็ว มันก็ยิ่งไม่มีเหลือ เวลานี้แม้แต่จะคืนข้าวให้ชาวนาก็ทำไม่ได้ เพราะเสียหาย "มอดกิน" ไปหมดแล้ว ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ในเวลานี้จะได้เห็นชาวนาต่างออกมาประท้วงดุเดือดแบบไม่เกรงใจรัฐบาลมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่คนพวกนี้ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ล้วน"เป็นคนเสื้อแดง" เกือบทั้งสิ้น
00 เอาเข้าจริง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง อารมณ์ของชาวนาก็ยิ่งเดือดดาล เพราะหนี้สิน ปากท้องต้องกินต้องใช้ประจำวัน มันก็ยิ่งเครียด ถามว่าอารมณ์แบบนี้ชาวนายังจะเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาอีกหรือ ก็ยังมีบ้างที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่รับรองว่าจากปัญหาจำนำข้าวนี่แหละ จากเดิมที่เป็นพลังหนุนส่งให้พรรคนี้ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย คราวนี้อาจตรงกันข้าม ทำเป็นเล่นไป หากรณรงค์ให้ "โหวตโน" เชื่อว่าชาวนาจะเอาด้วยไม่น้อยเลยละ จะบอกให้ นี่แหละถึงได้บอกว่า หากเข้าใจว่าการชุมนุมของมวลมหาประชาชนที่กำลังขับไล่ระบอบทักษิณ แล้วปฏิรูปขนานใหญ่ ว่าเป็นมวลชนจากชนชั้นกลาง และคนมีเงินในเมือง แต่กรณีของชาวนาและเกษตรกร ล้วนเป็นคนในชนบท มันก็ถึงคราว"สองแรงบวก" เข้ามาพร้อมกัน กลายเป็นว่า เวลานี้ "ทักษิณ ชินวัตร" กำลังเสื่อมทุกทาง และอีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้การเมืองเข้าสู่จุดสมดุล นั่นคือ "มีความสูสี" มากขึ้น ไม่ใช่ "ชนะขาด" เหมือนเก่า อย่างไรก็ดี สำหรับ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เวลานี้ถือว่าหมดสภาพอย่างสิ้นเชิงแล้ว
00 การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วให้ "เฉลิม อยู่บำรุง" คุม มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. มันช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก เพราะมวลชนเยาะเย้ยถากถาง ไม่มีใครกลัวเกรง และตัว ผอ.ศรส. ก็ต้องมุดหัว หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตลอดเวลา เพราะถูกปิดล้อม ความล้มเหลวมันส่อให้เห็นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว หลังจากที่ฝ่ายทหารไม่เล่นด้วย กลายเป็นว่าเวลานี้มีแต่รัฐบาลเท่านั้น ที่มี "สถานการณ์ฉุกเฉิน" นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออก พ.ร.ก.โดยมิชอบ เพราะเป็นแค่รัฐบาลรักษาการ นายกฯรักษาการ ซึ่งต้องมีคนไปร้องว่า รัฐบาลเถื่อนบังคับใช้กม.อะไรไม่ได้ อีกต่สงหาก สรุปก็คือ ถ้าเหลิมเป็นเป็ด ก็กำลังเป็น "เป็ดง่อย" เข้าไปทุกทีแล้ว !!