ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ดุเดือดเลือดพล่านระหว่าง “ลุงกำนัน” และ “นางยกฯยิ่งลักษณ์” ที่เดินทางใกล้ถึงจุดแตกหัก ขึ้นอยู่กับว่า มะม่วงฝ่ายไหนจะหล่นจากต้นก่อนกัน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องใหญ่เรื่องโตในยุทธจักรดงขมิ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อในวันมาฆบูชา 14 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา เมื่อสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้ลงนามในคำสั่งประกาศคณะธรรมยุตเรื่อง “การครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม” ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนพุทธศาสนิกชนตลอดจนพระสงฆ์ต่างพากันสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น หรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่
ทั้งนี้ เนื่องเพราะเป็นที่รับรู้ว่าการครองจีวรของคณะสงฆ์ในประเทศไทยคือธรรมยุตและมหานิกายนั้น มีความแตกต่างกัน โดยสีจีวรของคณะธรรมยุตในปัจจุบันจะใช้จีวร “สีกรัก” ซึ่งเป็นสีแก่นขนุนหรือสีน้ำตาลเข้ม ขณะที่มหานิกายจะใช้สีเหลืองทอง ส่วนสีพระราชนิยมเป็นสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสีจีวรของทั้งสองนิกาย ซึ่งโดยปกติเป็นสีที่คณะสงฆ์ทั้ง 2 นิกายใช้เมื่อได้รับนิมนต์เข้าร่วมงานพระราชพิธี
นอกจากนั้น จากการตรวจค้นข้อมูลพบว่า จีวรของพระสงฆ์ในพุทธศาสนานั้นมีความแตกต่างกันไป ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทยเอง แต่ถ้าหากยึดถือตามข้อมูลหรือหลักฐานที่ได้เคยมีการบันทึกไว้ก็จะพบเรื่องนี้เคยมีปัญหาเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน
ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 บันทึกว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุย้อมสีจีวรต่างกันไป พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม 6 อย่าง คือ น้ำย้อมเกิดแต่รากหรือเหง้า 1 น้ำย้อมเกิดแต่ต้นไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่เปลือกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ใบไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ดอกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ผลไม้ 1”
นั่นหมายความว่า สีจีวรมิใช่เรื่องที่จำเป็นต้องบังคับให้เป็นสีเดียวกันแต่ประการใด
เหตุผลที่รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตอธิบายเอาไว้ในประกาศก็คือ
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธามั่งคงในพระพุทธศาสนา ทรงมีพระราชดำริในการที่จะให้พระภิกษุสงฆ์ครองผ้าไตรจีวรที่มีสีเหมือนกัน เพื่อความเรียบร้อยงดงาม จึงได้ทรงนำผ้าสีต่างๆ มาถวาย และมีพระราชปุจฉากับพระมหาเถระ จนได้ผ้ามีสีที่ถูกต้องไม่ผิดพระวินัย เป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว จึงโปรดให้เจ้าพนักงานในพระองค์จัดผ้าไตรจีวรสีตามพระราชดำริพระราชทานถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ในงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวาระต่างๆ ซึ่งพระภิกษุสงฆ์เมื่อรับพระราชทานถวายแล้ว ได้ครองจีวรสีดังกล่าว ฉลองพระราชศรัทธามาโดยลำดับ ผ้าไตรจีวรที่พระราชทานถวายนั้น ทราบกันในนามว่า "จีวรสีพระราชนิยม"
“ทั้งนี้ ในการประชุมเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดคณะธรรมยุต วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ณ วัดอาวุธวิกสิตาราม กรุงเทพมหานคร ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยมและมีมติอนุโมทนาในพระราชศรัทธาและเห็นชอบให้พระภิกษุสามเณร คณะธรรมยุตครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยมเสมอกันและให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารคณะธรรมยุตพิจารณา จากนั้นคณะกรรมการบริหารคณะธรรมยุต ได้ประชุมครั้งที่ 5/2556 วันที่ 31 ตุลาคม 2556 ณ สำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง วัดบวรฯ ได้พิจารณาตามข้อเสนอของเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด มีมติเห็นชอบและให้มีประกาศคณะธรรมยุต เรื่อง ให้พระภิกษุสามเณรคณะธรรมยุตครองผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม ตั้งแต่วันวิสาขบูชา 2557 ซึ่งตรงกับวันที่ 13 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไป”
หลายคนมองว่า นี่เป็นเกมการเมืองภายในของทั้ง 2 นิกาย
ดร.สวัสดิ์ อโณทัย คณบดีคณะปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์อยากให้คณะสงฆ์ที่จะเข้าพระราชพิธี ครองจีวรสีเดียวกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงได้มีมติมหาเถรสมาคมออกมา ว่า เวลาพระสงฆ์ทั้ง 2 นิกายเข้าวัง ก็จะต้องครองจีวรสีพระราชนิยม เพื่อเป็นการสร้างความประนีประนอมระหว่างธรรมยุตและมหานิกาย ซึ่งการที่ธรรมยุต ประกาศใช้จีวรสีพระราชนิยมเป็นสีประจำคณะธรรมยุต เป็นการแสดงชิงไหวชิงพริบทางการเมืองศาสนา หากพระธรรมยุตยึดสีพระราชนิยมเป็นของตนเอง แล้วต่อไปเข้าพิธี มหานิกายต้องอนุวัตตามที่ธรรมยุตปฏิบัติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประนีประนอมความต่างของสีจีวรแต่ละนิกาย ด้วยการสร้างความกลมกลืนในเวลาเข้าพระราชพิธีด้วยการครองจีวรสีเดียวกัน โดยพระองค์ไม่ได้มีการบังคับให้เปลี่ยน เมื่อมีประกาศดังกล่าวออกมา มีคำถาม พระมหานิกายจะปฏิบัติเช่นไร โดยมติ มส.ให้มหานิกายต้องครองจีวรสีพระราชนิยมเวลาเข้าวัง ทางคณะสงฆ์มหานิกายก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ซึ่งมหานิกายมีพระมากกว่า 2 แสนรูป แต่ธรรมยุตมีเพียงประมาณ 3 หมื่น ทำให้คนส่วนน้อยต้องมาอนุวัตตามคนส่วนใหญ่ นี่คือวิธีการเดินเกมการเมืองสัญลักษณ์ทางศาสนา”
ขณะที่พระหลายรูปเห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะ “พระป่า” ที่ยึดถือและปฏิบัติตามแนวทางของพ่อแม่ครูบาอาจารย์และสังกัดอยู่ภายใต้การปกครองของคณะธรรมยุต
พระครูนิรมิตวิทยากร (วิทยา กิจฺจวิชโช) เจ้าอาวาสวัดดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน ในฐานะเจ้าคณะตำบลแม่สูน(ธ) อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีความเห็นเมื่อได้รับทราบข่าวจากสื่อว่า หากคำสั่งให้เปลี่ยนสีจีวรมีการบังคับใช้จริงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ เท่ากับทำลายล้างวงกรรมฐานเลยทีเดียว ทั้งนี้ เพราะหลักปฏิบัติของพระกรรมฐานสายวัดป่าต้องยึดถือปฏิปทาตามแนวของครูบาอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ดำเนินมากว่า 100 ปี แต่ถ้าจะมีคำสั่งมาลบล้างปฏิปทาของครูบาอาจารย์ให้สูญสิ้นไปในยุคนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน เพราะการนุ่งห่มจีวรของพระกรรมฐานสายวัดป่าต้องมีสีเดียวเท่านั้นคือ สีแก่นขนุนเข้ม หรือสีกรัก พระสายนี้ทุกรูปจะไม่นุ่งห่มผ้าที่ผลิตจากโรงงานทุกชนิด วัดป่าสายปฏิบัติกรรมฐานทุกวัดปัจจุบันก็ต้องมีเตาต้มสีสำหรับย้อมผ้าโดยใช้แก่นขนุนของต้นแก่มาต้มเคี่ยวจนได้สีที่ต้องการ จากนั้นจึงย้อมผ้าขาวบังสุกุลให้เป็นสีแก่นขนุนแล้วนำมาตัดเย็บเป็นสบง อังสะ จีวร เพื่อนำมานุ่งห่มตามพระวินัยบัญญัติ หากจะมีคำสั่งบังคับให้ต้องนุ่งห่มสีอื่นหรือจีวรที่ผลิตจากโรงงานพระวงกรรมฐานที่สืบทอดกันมาช้านานก็ต้องหมดสิ้นไม่มีเหลือ
เช่นเดียวกับพระธรรมฐิติญาณ (ศรีจันทร์) วัดบึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด ในฐานะเจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต ที่กล่าวว่า ได้รับทราบประกาศของคณะธรรมยุตแล้ว ซึ่งพระสายวิปัสสนากรรมฐาน หรือสายพระป่า ยังคงยึดธรรมเนียมปฏิบัติครูบาอาจารย์ที่มีมาแต่โบราณ ไม่เปลี่ยนสีครองจีวร ในส่วนของวัดบึงพลาญชัยก็ต้องดูกาลเทศะ โดยจะครองจีวรก็ต่อเมื่อมีพระราชพิธีหรือความเหมาะสม
“พระสายวิปัสสนากรรมฐานจะยึดพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะใครบวชก่อนหลังจะเคารพกันที่พรรษา ถึงแม้จะมีสมณศักดิ์สูงก็ต้องไหว้พระที่พรรษามากกว่า ถึงแม้จะไม่มีสมณศักดิ์ก็ตาม ขณะที่การครองจีวรก็เช่นกัน จะยึดธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมาจากรุ่นครูบาอาจารย์ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้หารือกับสมเด็จพระวันรัต ก่อนที่จะมีประกาศนี้ ถึงข้อปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งท่านก็ว่า ไม่ได้เป็นการบังคับ" พระธรรมฐิติญาณ (ศรีจันทร์) กล่าว
แต่กระนั้นก็ดี ก็มีพระสายธรรมยุตหลายรูปที่เห็นดีเห็นงามกับประกาศนี้ หนึ่งในนั้นคือ พระพรหมมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม(ธรรมยุต) กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ที่ประกาศชัดเจนว่า “ในส่วนของวัดก็คงดำเนินการเปลี่ยนสีครองจีวร ตามประกาศคณะธรรมยุต เพื่อสนองพระราชศรัทธา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหมู่คณะสงฆ์ และเมื่อมีประกาศคณะธรรมยุตออกมาแล้วคงต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตามก็คงจะต้องมีการพิจารณากันว่า จะมีการดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ อาตมาอยากจะบอกว่า การเปลี่ยนสีจีวร เป็นเพียงแต่ปลีกย่อย อยากให้ยึดแนวทางปฏิบัติตามพระวินัยจะดีกว่า ส่วนหากใครจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ก็ให้ดูตามความเหมาะสมหรือตามอัธยาศัย”
ทว่า สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่า ปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลงเมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้มีหลายฝ่ายมองว่าการเปลี่ยนสีจีวรของคณะธรรมยุตเป็นสีพระราชนิยมเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองของคณะสงฆ์นั้น ยืนยันว่า ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเพียงการมุ่งเน้นเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในคณะธรรมยุตเท่านั้น
“ประกาศดังกล่าวจะเน้นในส่วนของพระสงฆ์คามวาสีหรือพระที่อยู่ในเมืองที่จะต้องครองจีวรไปในสีเดียวกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการรับกิจนิมนต์ต่างๆ เพราะที่ผ่านมาการรับกิจนิมนต์ของพระสงฆ์คณะธรรมยุตมีการครองจีวรคนละสีกัน ส่วนพระอรัญวาสีหรือพระสงฆ์ที่อยู่นอกเมืองหรือพระป่านั้น ได้มีหมายเหตุในประกาศดังกล่าวไว้แล้วว่า ยังให้ครองจีวรเช่นเดิมตามปฏิบัติของครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะรับกิจนิมนต์เข้ามาในเมืองก็ไม่ต้องเปลี่ยนจีวรเป็นสีพระราชนิยม เว้นแต่ได้รับกิจนิมนต์เข้าร่วมในงานพระราชพิธี”เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตชี้แจง
เพราะถ้าไม่มีความชัดเจน และไม่มีการแก้เกมที่ทันท่วงทีจากความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่ายุทธจักรดงขมิ้นจะเกิดความร้าวฉานครั้งใหญ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะภายในคณะธรรมยุต ระหว่างพระสายป่ากับพระสายปกครอง