ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณมีเรื่องใหญ่ที่จะต้องพลิกตำราหายุทธวิธีต่อไปว่า ทำอย่างไรถึงจะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และไล่ระบอบทักษิณให้พ้นจากอำนาจไปได้ เพราะวันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ยังคงใช้ความหน้าด้านเป็นอาวุธอยู่เหมือนเดิม ไม่ยอมลาออก ไม่ยอมลงจากอำนาจ ทั้งๆ ที่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนให้เห็นแล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้แบบไม่มีข้ออ้างใดๆ
แต่เมื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหว ตลอดรวมถึงการปราศรัยของนายสุเทพ รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ กลับไม่พบว่า มีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวเพื่อเผด็จศึกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอะไรชัดเจน จนคำถามเก่าๆ ที่เคยจางหายไปก่อนหน้านี้กลับมาเป็นประเด็นในกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้งว่า “แล้วยังงัย”
วันนี้ หลัง ปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2557 สิ่งที่สังคมตลอดรวมถึงมวลมหาประชาชนสัมผัสได้ก็คือ การประกาศยุบเวทีของ กปปส.ไป 2 เวทีด้วยกันคือ เวทีห้าแยกลาดพร้าว เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเปิดการจราจรบนสะพานพระราม 8 ให้ประชาชนสัญจรไปมาได้ นอกจากนั้น การประกาศปิดสถานที่ราชการต่างๆ ก็ดูเหมือนว่า กปปส.จะผ่อนคลายลงไป โดยหน่วยงานราชการต่างๆ หลายต่อหลายหน่วยงานสามารถเปิดทำงานได้
เสมือนหนึ่งนายสุเทพและกปปส.กำลังส่งสัญญาณให้เห็นว่า ภารกิจสำคัญได้จบสิ้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมๆ กับผลของการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นความพ่ายแพ้ของระบอบทักษิณ
หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ นายสุเทพและกปปส.ไม่สามารถใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของมวลมหาประชาชนในการปฏิวัติประชาชนเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรลงได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และการชุมนุมภายใต้การนำของนายสุเทพในขณะนี้เป็นเพียงเพื่อการชุมนุมกดดันเพื่อรอให้องค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ฯลฯ ลงดาบเชือดให้พ้นไปจากอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน
ดังนั้น มวลมหาประชาชนจึงต้องทำความเข้าใจในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เปลี่ยนแปลงไป
ที่สำคัญคือไม่อาจเร่งรัดหรือกดดันอะไรมากไปกว่านี้ ขณะเดียวกันก็จะต้องอดทนรอไปเรื่อยๆ จนกว่าวันแห่งชัยชนะจะมาถึงตามทฤษฎีมะม่วงหล่นของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมี
5 กุมภาพันธ์ 2557 นายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัยโดยระบุชัดเจนว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์คือบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนไม่เอารัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ รวมทั้งพูดย้ำติดต่อกันทั้ง 2 วันคือวันที่ 4 กุมภาพันธ์และวันที่ 5 กุมภาพันธ์ว่า ได้ดำเนินการตามคำแนะนำของ “นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ” อดีตผู้พิพากษาหั้วหน้าคณะในศาลฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผมได้ทำหนังสือตามที่นางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา แนะนำข้อกฎหมายว่าการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ดำเนินการไม่สำเร็จเพราะจัดการเลือกตั้งไม่ได้พร้อมกันในวันเดียว ซึ่งรัฐบาลได้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว และตามกฎหมายเขียนไว้ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่ามีรัฐบาลใหม่ แต่มีปัญหาว่าจะไม่มีรัฐบาลเกิดขึ้นแน่นอน และเป็นหน้าที่ของ กปปส.ที่ต้องแจ้งให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งหยุดปฏิบัติการ เพราะหมดหน้าที่แล้ว รวมทั้งในจดหมายยังขอให้ กปปส.แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าคณะรัฐมนตรีหมดอำนาจหน้าที่แล้ว การปฏิบัติการใดๆ หรือทำตามคำสั่งผิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญาเป็นการส่วนตัว ที่ผ่านมาพยายามใช้อำนาจที่ไม่มีอำนาจ อย่างวันนี้ออกหมายจับแกนนำ 19 คน ผมไม่สะเทือนเพราะก่อนหน้านี้ออกหมายจับข้อหากบฏอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดแล้วแต่ก็ยังจับไม่ได้ ผมไม่ได้หนีไปไหน ไม่ต้องตกใจกับการออกประกาศหมายจับ 19 คน แม้จะจับได้ก็ไม่ได้มีโทษรุนแรงอะไร ยังมีมวลชนอีกล้านคนสู้ต่อไปได้ ไม่มีปัญหา”
“ผมทำหนังสือเป็นความเห็นทางกฎหมายของนางยินดีส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ โดยลงชื่อนายสุเทพ เทือกสุพรรณ เลขาธิการ กปปส. พร้อมบอกให้รู้ว่า กปปส.แจ้งมายังท่านให้ทราบว่าคณะรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติการ การดำเนินการใดๆ ต่อไปนี้ผิดรัฐธรรมนูญ ใครดำเนินการตามต้องรับผิดชอบแพ่งและอาญา นอกจากนี้ยังส่งหนังสือดังกล่าวถึงนายสุรพงษ์ โตวิจักขณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผอ.ศรส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสินแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รวมทั้งนายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)”นายสุเทพกล่าว
นี่คือความชัดเจนที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวของ กปปส.ภายใต้การนำของนายสุเทพ
ขณะที่ “การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่ถูกใช้เป็นม็อตโต้ในการเคลื่อนไหว ก็มีความชัดเจนจากปากของนายสุเทพเช่นกัน
“ภารกิจปิดสถานที่ราชการยังคงมีอยู่ต่อไป และต่อไปนอกจากชาวนาแล้ว ข้าราชการก็จะทวงหนี้ด้วย เพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน ที่ผ่านมารัฐบาลตั้งหน่วยงานมาจัดการผู้ชุมนุมก็ไม่สำเร็จ ตำรวจชั้นผู้น้อยก็ไม่อยากสลายการชุมนุม ทหารก็ไม่ยุ่งด้วย เหลือแต่ว่าเมื่อทุกคนในประเทศเห็นพ้องว่ามวลมหาประชาชนชนะ คนที่ลังเลอยู่ก็ออกมายืนเคียงข้างมวลมหาประชาชน อีกฝ่ายเหลืออีกไม่กี่คน ขั้นตอนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และระบอบทักษิณใกล้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นขอเรียกร้องให้ช่วยทำพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศไทยให้ชัดเจน โจทย์ใหญ่ๆ 4-5 เรื่องได้บอกไปแล้ว และเมื่ออำนาจไปอยู่ในมือประชาชนตามมาตรา 3 ต้องทำทันที เราไม่ได้สู้อำนาจ เราสู้เพื่อประเทศไทยดีขึ้น พอตั้งรัฐบาลประชาชน สภาประชาชน เราก็ยื่นพิมพ์เขียวและกลับบ้าน เราไม่ต้องการตำแหน่ง ไม่ต้องการตั้งพรรคการเมือง แต่ออกมาเพราะชาติบ้านเมืองวิบัติเสียหาย เราก็แค่นั่งดูเท่านั้น”นายสุเทพแจกแจงถึงเป้าหมายและความสำเร็จที่รออยู่เบื้องหน้า โดยใช้คำว่าขั้นตอนการขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณใกล้สำเร็จแล้ว
แน่นอน ดูจากสภาพของรัฐบาลในขณะนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณใกล้ถึงกัลปาวสานทุกที แต่ก็เชื่อว่า ไม่น่าจะใช่ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานับเป็นเดือนๆ ตราบใดที่กองทัพภายใต้การนำของ “บิ๊กถั่งเช่า” ทั้งหลายยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาล เพราะการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระก็ใช่ว่าจะเร่งรัดได้ดั่งใจปรารถนา
ทั้งนี้ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันที่สังคมได้ตกผลึกความคิดกันแบบไม่ต้องสงสัยแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกนั้น ยืนอยู่ข้างประชาชนหรือยืนอยู่ข้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะการที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 12 แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานครคือประจักษ์พยานที่เป็นคำตอบของคำถามทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมา แม้จะไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การออกไปใช้สิทธิครั้งนี้
พล.อ.ประยุทธ์จะไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครหรือโหวตโน กากบาทหมายเลข 15 เลือกพรรคเพื่อไทย หรือเจตนาทำบัตรเสียด้วยการเขียนข้อความว่า “รักนะจุ๊บๆ” หรืออะไรก็ตาม
เนื่องเพราะก่อนวันเลือกตั้ง นายสุเทพประกาศชัดเจนว่า ให้มวลมหาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง “ใช้สิทธิ” ไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือโนโหวตให้ได้ยินกันทั้งแผ่นดิน ขณะที่ขี้ข้าระบอบทักษิณทั้งธาริต เพ็งดิษฐ์ หรือเจ๊ธิดาแดง-ธิดา ถาวรเศรษฐ ก็ประกาศชัดเจนเช่นกันว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้
การไปใช้สิทธิเลือกตั้งย่อมมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์มิได้ยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชนที่มีนายสุเทพเป็นแกนนำ หรือถ้าจะยืนอยู่ก็ยืนแบบแทงกั๊ก-ตีกินไปวันๆ เท่านั้น ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นที่ออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพราะบรรดาบิ๊กๆ ของกองทัพต่างตบเท้าไปเลือกตั้งกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่เดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งพื้นที่ จ.นนทบุรีเป็นการส่วนตัวพร้อมครอบครัว เช่นเดียวกับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปใช้สิทธิในพื้นที่ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศเดินทางไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งที่ 33 เขตเลือกตั้งที่ 13 โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม.
นี่คือปัญหาใหญ่ที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส.จะต้องนำไปขบคิด เพราะวันนี้ แม้ กปปส.จะชนะระบอบทักษิณในสมรภูมิเลือกตั้งในทุกประตู แต่ในสถานการณ์การสู้รบจริง กปปส.ก็ยังไม่สามารถแสวงหาชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่และอย่างไร