ASTVผู้จัดการรายวัน- ผบ.ทบ.เมิน“โกตี๋”ปูดข่าวสั่งฆ่า งงปืนทหารอยู่ในคลังจะออกมาได้ยังไง มีแต่ที่หายไปช่วงเผาเมือง จวกพูดอะไรตรวจสอบด้วย ยันกองทัพไม่เกี่ยวบู๊ เตือนไม่ได้ทำผิดไม่ต้องร้อนตัว ปัดถูกบีบทำรัฐประหาร แกะรอย “โกตี๋” กร่างสั่ง “กองกำลังชุดดำ-ตำรวจ” ยิงกบาลกบฏ กปปส.
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (4 ก.พ.) ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธี วันสถาปนา นรด. ครบรอบ 66 ปี ถึงกรณีที่ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำกลุ่มนปช.ปทุมธานี ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ทหารไล่ล่าและสังหาร ว่า เขาเป็นใคร ตนไม่ให้ความสนใจขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรนอกกฎหมายได้อยู่แล้ว ควรไปคิดว่า ควรเชื่อเขา หรือเชื่อตน ส่วนจะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องว่ากันไป
สำหรับเหตุการณ์การใช้อาวุธในการปะทะที่บริเวณแยกหลักสี่นั้นก็จะต้องมีการตรวจสอบทั้งสองฝ่าย ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธที่ใช้เป็นของทหารนั้นออกมาได้อย่างไร เพราะปืนทหารทุกกระบอก ต้องอยู่ในคลัง ถ้าจะเอาออกมามี 2 อย่าง คือ ขโมยออกมา หรือไม่ใช่ของทหาร แต่เอามาจากที่อื่น ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่าปืนหายออกไป มีแต่ปืนที่หายไปตั้งแต่ปี 53 และยังไม่ได้คืน ขอให้ช่วยกันหาว่า ปืนเอ็ม 16 และทราโว่ อยู่ที่ไหน
“การจะพูดอะไร หรือเป็นข่าวอะไร ขอให้ตรวจสอบด้วย การเป็นทหารไม่ใช่ว่านึกอยากทำอะไรก็ทำ ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าเราไม่ยึดถืออะไร ทำตามชอบใจ คงไม่ใช่กองทัพ และจะอันตราย ยืนยันว่า ทหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปะทะ วันนี้อยากให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือข่าว ที่เผยแพร่กันในโซเชียลมีเดีย โดยมีข้อเท็จจริงไม่ถึง 20 % ส่วนใหญ่เป็นการเขียนแล้วแต่ว่าชอบข้างไหน โดยไม่คำนึงถึงผลเสียว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับบุคคล หรือองค์กรที่ถูกกล่าวอ้าง โดยเฉพาะกองทัพบกที่ทำงานเยอะ วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังคับขันอยู่ อยากให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาไปในทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย และอย่าสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดกฎหมายแล้วไม่ใช้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และให้อีกพวกหนึ่งใช้วิธีการนอกกฎหมายมากระทำต่อผู้ทำผิดกฎหมาย ถามว่าถูกต้องหรือไม่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปบ้างไหม ดังนั้นขอเตือนไว้เสียก่อน ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่ต้องร้อนตัว ไม่ต้องไปกล่าวอ้างอะไรทั้งสิ้น เท่าที่ทราบมีการแจ้งดำเนินคดีมาก ถ้ากลับมาตำรวจคงต้องจับ”ผบ.ทบ. กล่าว
เมื่อถามว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเพราะคนไม่เคารพกฎหมาย ปี 53 ก็มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่แก้ไขไมได้ แต่จำเป็นต้องใช้ เพราะเมื่อสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว บางครั้งก็เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่โจรผู้ร้ายปกติ เนื่องจากครั้งนี้เป็นเรื่องความขัดแย้ง
ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายมากๆ ความขัดแย้งก็ยังไม่ลดลง ขอให้ไปหาว่า ความขัดแย้งอยู่ที่ไหน ใครจะต้องแก้ และแก้อย่างไร จะทำอย่างไรให้ลดความรุนแรงให้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ ความถูกต้อง ความเป็นธรรมในการดำเนินการ ตนไม่มองว่าใครผิด หรือใครถูก แต่มองว่าใครผิดกฎหมาย ก็ถือว่าผิดทั้งนั้น ถ้าวันนี้ยังไม่ถูกดำเนินคดี วันหน้าก็ต้องถูกดำเนินคดี วันนี้ที่ยุ่ง เพราะเรื่องคดีทั้งนั้น อย่าบอกว่าไม่กลัวกฎหมาย เพราะถ้าไม่กลัวกฎหมาย ก็ต้องยอมมาติดคุก ยอมมาสู้คดีกัน ก็จบ
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส. พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีต ผบ.ทบ. และอดีตนายทหารระดับสูง จัดตั้งกลุ่มรัฐบุคคล เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ท่านเกษียณอายุไปแล้ว ท่านคงนัดเจอกันบ้าง เพราะมีความห่วงใยชาติบ้านเมือง แต่ท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกตน ไม่ได้มาสั่งอะไร มีแต่ให้กำลังใจ ท่านก็แค่นั่งกินกาแฟ และแสดงความคิดเห็น อาจไม่รู้จะคุยอะไรกัน จึงคุยเรื่องบ้านเมือง เรื่องกองทัพบ้าง ส่วนท่านจะพูดอะไร เป็นความคิดเห็นของท่าน ท่านหมดหน้าที่จากกองทัพไปแล้ว คิดว่าท่านคงไม่มาสั่งอะไรใคร แต่ความคิดของคน ห้ามกันไม่ได้ ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่สงบ ทุกคนมีสิทธิ์คิด แต่ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้ถูกต้อง เหมือนกองทัพบกที่พยายามทำให้ถูกต้อง
เมื่อถามถึงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่ของตน หน้าที่ของตนคือ ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน ซึ่งวันเลือกตั้ง ถือว่ามีความเรียบร้อยน่าพอใจอยู่ในระดับหนึ่ง และถือว่าดีที่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่ประเมินไว้
เมื่อถามว่า กดดันหรือไม่ ที่มีผู้ใหญ่หลายฝ่ายกดดันให้กองทัพทำรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าใครจะมากดดันตน ผู้ใหญ่ที่ไหน ไม่มี อย่าพูดให้ท่านเสียหาย สื่อเขียนไปเรื่อยเปื่อย ทำให้คนเหล่านั้นเสียหาย ตนโตมาถึงบัดนี้คงไม่มีใครมาบังคับ ตนทำงานด้วยระบบ และกติกา คงไม่ฟังอะไรที่นอกเหนือจากกติกาของกองทัพบก ดังนั้นไม่มีใครชักจูงตนได้
" ผมรับราชการทหารมา 30 กว่าปี ดูแลประเทศชาติมาเยอะ ผ่านศึกสงครามชายแดนมาพอสมควร แต่จะมาด่าผม หรือทหารเป็นหมูเป็นหมา มันไม่ใช่ กรุณาให้เกียรติกัน เมื่อท่านไม่ให้เกียรติผม ผมก็ไม่ให้เกียรติท่าน ดังนั้นช่วยกันรักษากฎหมายเท่าที่สามารถทำได้ให้มากที่สุด และให้ความเป็นธรรมกับทุกส่วน " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
***แกะรอย “โกตี๋” กร่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์กลุ่มสนับสนุนการเลือกตั้งและพรรคเพื่อไทยนำโดย นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้นำกองกำลังติดอาวุธเข้าโจมตีผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. บริเวณแยกหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อช่วงบ่ายถึงเย็นวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2557 โดยผู้สื่อข่าว ASTV ผู้จัดการ ได้ตรวจสอบภายหลังจาก “โกตี๋” หรือนายวุฒิพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการอินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะที่หลักสี่ พร้อมปฏิเสธอยู่เบื้องหลังเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ตอนหนึ่ง นายวุฒิพงศ์อ้างว่า “จึงอนุญาตให้นำรถโมบายที่มีเครื่องเสียงไป แต่ตนเองไม่ได้เดินทางร่วมไปด้วย เพราะติดการสอบปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีเหตุการณ์คลอง 5 อยู่ภายในสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองตั้งแต่เที่ยง แต่ได้ขออนุญาตตำรวจออกไปพบกับมวลชนที่วัดหลักสี่จริง แต่ไปเพื่อพูดคุยกับมวลชนว่าตนเองติดภารกิจ และไม่สามารถอยู่ร่วมในการเดินขบวนของกลุ่มได้ เพราะต้องกลับไปสอบปากคำต่อ ก่อนจะเดินทางกลับมาที่ สน.ดอนเมือง และ เมื่อสอบปากคำเสร็จก็เดินทางออกจาก สน.ดอนเมือง ซึ่งแกนนำมวลชนที่ออกไปปะทะกับกลุ่ม กปปส. มีชื่อ ดาบเปี๊ยก กับ ลุงนวย”
เมื่อผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ ตรวจสอบต่อไปก็พบว่า เฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อว่า Cathay Mee ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ระบุว่า “โกตี๋.....อยู่เบื้องหลังเหตุปะทะหลักสี่” ซึ่งในรายงานชิ้นดังกล่าว ในช่วงที่ 1.02-1.38 ปรากฏภาพและเสียงนายวุฒิพงศ์ขึ้นปราศรัยบนรถพร้อมเครื่องขยายเสียง โดยมีการ์ดและชายชุดดำรุมล้อมอยู่จำนวนหนึ่ง
“โกตี๋กับทีมงาน วันนี้พี่น้องไม่ต้องห่วง ทุกอย่างพร้อม 200 คน นี่ครับพร้อมแน่นอน เฉพาะของผมนะครับ 200 คน นี่คือนักรบ (เสียงปรบมือ) ... อันดับที่หนึ่ง อันดับที่สอง วันนี้ครับ ผมรู้ว่าพวกมันนี่ฟังอยู่ครับ มีครับมี ในนี้มีเยอะ ... วันนี้ครับหัวมึงต้องหายแน่นอนครับ ถ้ามึงยังยึดเขตหลักสี่อยู่” นายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ กล่าวบนเวทีโดยมีช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจับภาพเอาไว้ได้
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ในเว็บไซต์ thaivoice.org ยังมีการเผยแพร่คลิปการปราศรัยของนายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ ก่อนวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. โดยระบุชื่อคลิปว่า “โกตี๋ สั่งให้ตำรวจ พกอาวุธ ยิงพวกที่มาขัดขวางการเลือกตั้ง” โดยในคลิปนายวุฒิพงศ์ได้กล่าวบิดเบือนถึง เหตุการณ์ที่ ด.ต.คงเพชร เพชรกันหา ผบ.หมู่สืบสวน บก.น.2 ใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่บริเวณหน้าสโมสรกองทัพบก ก่อนถูกการ์ด กปปส.จับตัวได้และรุมทำร้าย เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 ม.ค. โดยนายวุฒิพงศ์กล่าวปลุกระดมด้วยข้อความที่เป็นเท็จว่า ในเหตุดังกล่าว ด.ต.คงเพชร หรือดาบติ มิได้เป็นผู้ยิงปืนแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ชุมนุม กปปส.หมั่นไส้ตำรวจจึงเข้ามารุมทำร้าย ด.ต.คงเพชรแล้วยิงกันเองจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น ตำรวจทุกคนเมื่อไปหาข่าวในกลุ่ม กปปส.จึงต้องพกพาอาวุธไปด้วย ขณะที่ในวันเลือกตั้งขอให้ประชาชนพกพาอาวุธไปด้วย เพราะการยิงผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.นั้นถือเป็นการยิงกบฏ ซึ่งไม่มีความผิด
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ในสื่อสังคมออนไลน์ยังมีการแพร่กระจายภาพถ่ายที่ระบุว่า พบนายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ ในรถตู้คันหนึ่งติดสติกเกอร์การ์ตูนภาพ “โกตี๋” โดยเป็นการพูดคุยกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่หันหลังพูดคุยกันอยู่ โดยภาพถ่ายดังกล่าวมีการเผยแพร่ก่อนที่นายโกตี๋จะอ้างว่าได้หนีไปประเทศกัมพูชา โดยหนีไปเอง อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดช่องพาหลบหนีจะเดินทางไปโดยสะดวกได้อย่างไร เพราะนายวุฒิพงศ์ก็มีคดีความอยู่ในศาลหลายคดี
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (4 ก.พ.) ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธี วันสถาปนา นรด. ครบรอบ 66 ปี ถึงกรณีที่ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำกลุ่มนปช.ปทุมธานี ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ทหารไล่ล่าและสังหาร ว่า เขาเป็นใคร ตนไม่ให้ความสนใจขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรนอกกฎหมายได้อยู่แล้ว ควรไปคิดว่า ควรเชื่อเขา หรือเชื่อตน ส่วนจะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องว่ากันไป
สำหรับเหตุการณ์การใช้อาวุธในการปะทะที่บริเวณแยกหลักสี่นั้นก็จะต้องมีการตรวจสอบทั้งสองฝ่าย ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธที่ใช้เป็นของทหารนั้นออกมาได้อย่างไร เพราะปืนทหารทุกกระบอก ต้องอยู่ในคลัง ถ้าจะเอาออกมามี 2 อย่าง คือ ขโมยออกมา หรือไม่ใช่ของทหาร แต่เอามาจากที่อื่น ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่าปืนหายออกไป มีแต่ปืนที่หายไปตั้งแต่ปี 53 และยังไม่ได้คืน ขอให้ช่วยกันหาว่า ปืนเอ็ม 16 และทราโว่ อยู่ที่ไหน
“การจะพูดอะไร หรือเป็นข่าวอะไร ขอให้ตรวจสอบด้วย การเป็นทหารไม่ใช่ว่านึกอยากทำอะไรก็ทำ ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าเราไม่ยึดถืออะไร ทำตามชอบใจ คงไม่ใช่กองทัพ และจะอันตราย ยืนยันว่า ทหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปะทะ วันนี้อยากให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือข่าว ที่เผยแพร่กันในโซเชียลมีเดีย โดยมีข้อเท็จจริงไม่ถึง 20 % ส่วนใหญ่เป็นการเขียนแล้วแต่ว่าชอบข้างไหน โดยไม่คำนึงถึงผลเสียว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับบุคคล หรือองค์กรที่ถูกกล่าวอ้าง โดยเฉพาะกองทัพบกที่ทำงานเยอะ วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังคับขันอยู่ อยากให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาไปในทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย และอย่าสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดกฎหมายแล้วไม่ใช้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และให้อีกพวกหนึ่งใช้วิธีการนอกกฎหมายมากระทำต่อผู้ทำผิดกฎหมาย ถามว่าถูกต้องหรือไม่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปบ้างไหม ดังนั้นขอเตือนไว้เสียก่อน ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่ต้องร้อนตัว ไม่ต้องไปกล่าวอ้างอะไรทั้งสิ้น เท่าที่ทราบมีการแจ้งดำเนินคดีมาก ถ้ากลับมาตำรวจคงต้องจับ”ผบ.ทบ. กล่าว
เมื่อถามว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเพราะคนไม่เคารพกฎหมาย ปี 53 ก็มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่แก้ไขไมได้ แต่จำเป็นต้องใช้ เพราะเมื่อสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว บางครั้งก็เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่โจรผู้ร้ายปกติ เนื่องจากครั้งนี้เป็นเรื่องความขัดแย้ง
ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายมากๆ ความขัดแย้งก็ยังไม่ลดลง ขอให้ไปหาว่า ความขัดแย้งอยู่ที่ไหน ใครจะต้องแก้ และแก้อย่างไร จะทำอย่างไรให้ลดความรุนแรงให้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจ ความถูกต้อง ความเป็นธรรมในการดำเนินการ ตนไม่มองว่าใครผิด หรือใครถูก แต่มองว่าใครผิดกฎหมาย ก็ถือว่าผิดทั้งนั้น ถ้าวันนี้ยังไม่ถูกดำเนินคดี วันหน้าก็ต้องถูกดำเนินคดี วันนี้ที่ยุ่ง เพราะเรื่องคดีทั้งนั้น อย่าบอกว่าไม่กลัวกฎหมาย เพราะถ้าไม่กลัวกฎหมาย ก็ต้องยอมมาติดคุก ยอมมาสู้คดีกัน ก็จบ
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส. พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีต ผบ.ทบ. และอดีตนายทหารระดับสูง จัดตั้งกลุ่มรัฐบุคคล เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ท่านเกษียณอายุไปแล้ว ท่านคงนัดเจอกันบ้าง เพราะมีความห่วงใยชาติบ้านเมือง แต่ท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกตน ไม่ได้มาสั่งอะไร มีแต่ให้กำลังใจ ท่านก็แค่นั่งกินกาแฟ และแสดงความคิดเห็น อาจไม่รู้จะคุยอะไรกัน จึงคุยเรื่องบ้านเมือง เรื่องกองทัพบ้าง ส่วนท่านจะพูดอะไร เป็นความคิดเห็นของท่าน ท่านหมดหน้าที่จากกองทัพไปแล้ว คิดว่าท่านคงไม่มาสั่งอะไรใคร แต่ความคิดของคน ห้ามกันไม่ได้ ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่สงบ ทุกคนมีสิทธิ์คิด แต่ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้ถูกต้อง เหมือนกองทัพบกที่พยายามทำให้ถูกต้อง
เมื่อถามถึงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่ของตน หน้าที่ของตนคือ ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน ซึ่งวันเลือกตั้ง ถือว่ามีความเรียบร้อยน่าพอใจอยู่ในระดับหนึ่ง และถือว่าดีที่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่ประเมินไว้
เมื่อถามว่า กดดันหรือไม่ ที่มีผู้ใหญ่หลายฝ่ายกดดันให้กองทัพทำรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าใครจะมากดดันตน ผู้ใหญ่ที่ไหน ไม่มี อย่าพูดให้ท่านเสียหาย สื่อเขียนไปเรื่อยเปื่อย ทำให้คนเหล่านั้นเสียหาย ตนโตมาถึงบัดนี้คงไม่มีใครมาบังคับ ตนทำงานด้วยระบบ และกติกา คงไม่ฟังอะไรที่นอกเหนือจากกติกาของกองทัพบก ดังนั้นไม่มีใครชักจูงตนได้
" ผมรับราชการทหารมา 30 กว่าปี ดูแลประเทศชาติมาเยอะ ผ่านศึกสงครามชายแดนมาพอสมควร แต่จะมาด่าผม หรือทหารเป็นหมูเป็นหมา มันไม่ใช่ กรุณาให้เกียรติกัน เมื่อท่านไม่ให้เกียรติผม ผมก็ไม่ให้เกียรติท่าน ดังนั้นช่วยกันรักษากฎหมายเท่าที่สามารถทำได้ให้มากที่สุด และให้ความเป็นธรรมกับทุกส่วน " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
***แกะรอย “โกตี๋” กร่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์กลุ่มสนับสนุนการเลือกตั้งและพรรคเพื่อไทยนำโดย นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งได้นำกองกำลังติดอาวุธเข้าโจมตีผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. บริเวณแยกหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อช่วงบ่ายถึงเย็นวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2557 โดยผู้สื่อข่าว ASTV ผู้จัดการ ได้ตรวจสอบภายหลังจาก “โกตี๋” หรือนายวุฒิพงศ์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการอินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะที่หลักสี่ พร้อมปฏิเสธอยู่เบื้องหลังเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ตอนหนึ่ง นายวุฒิพงศ์อ้างว่า “จึงอนุญาตให้นำรถโมบายที่มีเครื่องเสียงไป แต่ตนเองไม่ได้เดินทางร่วมไปด้วย เพราะติดการสอบปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีเหตุการณ์คลอง 5 อยู่ภายในสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองตั้งแต่เที่ยง แต่ได้ขออนุญาตตำรวจออกไปพบกับมวลชนที่วัดหลักสี่จริง แต่ไปเพื่อพูดคุยกับมวลชนว่าตนเองติดภารกิจ และไม่สามารถอยู่ร่วมในการเดินขบวนของกลุ่มได้ เพราะต้องกลับไปสอบปากคำต่อ ก่อนจะเดินทางกลับมาที่ สน.ดอนเมือง และ เมื่อสอบปากคำเสร็จก็เดินทางออกจาก สน.ดอนเมือง ซึ่งแกนนำมวลชนที่ออกไปปะทะกับกลุ่ม กปปส. มีชื่อ ดาบเปี๊ยก กับ ลุงนวย”
เมื่อผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ ตรวจสอบต่อไปก็พบว่า เฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อว่า Cathay Mee ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ระบุว่า “โกตี๋.....อยู่เบื้องหลังเหตุปะทะหลักสี่” ซึ่งในรายงานชิ้นดังกล่าว ในช่วงที่ 1.02-1.38 ปรากฏภาพและเสียงนายวุฒิพงศ์ขึ้นปราศรัยบนรถพร้อมเครื่องขยายเสียง โดยมีการ์ดและชายชุดดำรุมล้อมอยู่จำนวนหนึ่ง
“โกตี๋กับทีมงาน วันนี้พี่น้องไม่ต้องห่วง ทุกอย่างพร้อม 200 คน นี่ครับพร้อมแน่นอน เฉพาะของผมนะครับ 200 คน นี่คือนักรบ (เสียงปรบมือ) ... อันดับที่หนึ่ง อันดับที่สอง วันนี้ครับ ผมรู้ว่าพวกมันนี่ฟังอยู่ครับ มีครับมี ในนี้มีเยอะ ... วันนี้ครับหัวมึงต้องหายแน่นอนครับ ถ้ามึงยังยึดเขตหลักสี่อยู่” นายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ กล่าวบนเวทีโดยมีช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสจับภาพเอาไว้ได้
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ในเว็บไซต์ thaivoice.org ยังมีการเผยแพร่คลิปการปราศรัยของนายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ ก่อนวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. โดยระบุชื่อคลิปว่า “โกตี๋ สั่งให้ตำรวจ พกอาวุธ ยิงพวกที่มาขัดขวางการเลือกตั้ง” โดยในคลิปนายวุฒิพงศ์ได้กล่าวบิดเบือนถึง เหตุการณ์ที่ ด.ต.คงเพชร เพชรกันหา ผบ.หมู่สืบสวน บก.น.2 ใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่บริเวณหน้าสโมสรกองทัพบก ก่อนถูกการ์ด กปปส.จับตัวได้และรุมทำร้าย เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 ม.ค. โดยนายวุฒิพงศ์กล่าวปลุกระดมด้วยข้อความที่เป็นเท็จว่า ในเหตุดังกล่าว ด.ต.คงเพชร หรือดาบติ มิได้เป็นผู้ยิงปืนแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ชุมนุม กปปส.หมั่นไส้ตำรวจจึงเข้ามารุมทำร้าย ด.ต.คงเพชรแล้วยิงกันเองจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น ตำรวจทุกคนเมื่อไปหาข่าวในกลุ่ม กปปส.จึงต้องพกพาอาวุธไปด้วย ขณะที่ในวันเลือกตั้งขอให้ประชาชนพกพาอาวุธไปด้วย เพราะการยิงผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.นั้นถือเป็นการยิงกบฏ ซึ่งไม่มีความผิด
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ในสื่อสังคมออนไลน์ยังมีการแพร่กระจายภาพถ่ายที่ระบุว่า พบนายวุฒิพงศ์ หรือโกตี๋ ในรถตู้คันหนึ่งติดสติกเกอร์การ์ตูนภาพ “โกตี๋” โดยเป็นการพูดคุยกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่หันหลังพูดคุยกันอยู่ โดยภาพถ่ายดังกล่าวมีการเผยแพร่ก่อนที่นายโกตี๋จะอ้างว่าได้หนีไปประเทศกัมพูชา โดยหนีไปเอง อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเปิดช่องพาหลบหนีจะเดินทางไปโดยสะดวกได้อย่างไร เพราะนายวุฒิพงศ์ก็มีคดีความอยู่ในศาลหลายคดี