xs
xsm
sm
md
lg

ภาพชายชุดดำฝั่งโกตี๋ซัดตร.อ้างม็อบไล่ยิง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - โลกออนไลน์แฉภาพนิ่ง-คลิป ชายชุดดำฝั่ง"โกตี๋"ยิงถล่มผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.แจ้งวัฒนะ จากฝั่งไอทีสแควร์ ตบหน้าข้อมูลตำรวจโยนบาปกปปส.ไล่ยิงฝ่ายเดียว ทบ.โต้คำวิจารณ์พาดพิงทหาร ย้อนจับตาอาวุธที่แดงปล้นปี 53 ยังคืนไม่ครบ ชี้คำพูด"โกตี๋"กล่าวหาลอยๆ ไร้หลักฐาน เตรียมศึกษากฎหมายเพื่อฟ้องร้อง "มัลลิกา" แฉ "โกตี๋ "เผ่นกบดานเขมร หลังก่อเหตุปะทะหลักสี่ "เหลิม- ตร." เร่งตัดตอน หยันผบ.ตร.ไร้อำนาจ อยู่ภายใต้คำบงการของ"เหลิม"

วานนี้ (3 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 2 ก.พ. ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยพร่ภาพถ่ายและคลิปวิดีโออีกมุมหนึ่ง จากเหตุการณ์กลุ่มสนับสนุนการเลือกตั้งและพรรคเพื่อไทยนำโดย นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง ได้นำกองกำลังติดอาวุธเข้าโจมตีผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. บริเวณแยกหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อช่วงบ่ายถึงเย็นวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2557

ทั้งนี้ จากภาพนิ่งและวิดีโอที่มีการเผยแพร่ ปรากฏหน้าตาคนร้ายพร้อมอาวุธปืน บ้างสวมหมวกกันน็อก บ้างสวมหมวกไอ้โม่งดำ ปะปนอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะในส่วนของคลิปวิดีโอก็ปรากฏภาพหน้าตาคนร้ายที่เป็นมือปืนอย่างชัดเจน และยังเห็นตำรวจที่หมอบคลานถืออาวุธปืนอีกด้วย ซึ่งเป็นบริเวณจุดเดียวกันกับที่ในคลิปปรากฏหน้ามือปืนอย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเผยแพร่ภาพดังกล่าว หลังจากเมื่อวันที่ 2 ก.พ. พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบร่องรอยกระสุนจำนวนมาก แต่ไม่สามารถระบุขนาดและชนิดของปืนที่ใช้ยิงได้ รวมถึงกองพิสูจน์หลักฐาน (สพฐ.) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจอทั้งปลอกกระสุนและหัวกระสุน โดยปลอกกระสุนพบในแนวของ กลุ่ม กปปส.หัวถนนแจ้งวัฒนะตรงทิศใต้ ส่วนหัวกระสุนพบแถบตึกไอทีสแควร์ ซึ่งมีกลุ่มผู้คัดค้านการชุมนุมอยู่ แต่ไม่พบปลอกบริเวณผู้คัดค้านการชุมนุม ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของ รอง ผบช.น.ดังกล่าวถือว่าขัดแย้งต่อข้อเท็จจริง ภาพนิ่ง และคลิปที่มีการเผยแพร่กันเป็นอย่างมาก

***แนะจับตาแดงปล้นปืน 53 คืนยังไม่ครบ

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการใช้อาวุธของทหารในเหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณแยกหลักสี่ว่า จากเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงที่ผ่านมาพบว่า มีบางคนวิจารณ์ว่าคนใช้อาวุธมีความชำนาญพิเศษ และอาวุธที่ใช้คล้ายของทางทหาร เหมือนต้องการชี้นำให้สังคมรู้สึกว่าทหารอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ขอเรียนว่าอาวุธปืนบางชนิดทั้งปืนพก ปืนคาร์บิน อาวุธสงครามที่เห็นในสื่อนั้นมีใช้กันอยู่หลายหน่วยทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทหารเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันขอให้มั่นใจว่ากองทัพบกมีระบบการเก็บรักษาอาวุธที่เข้มงวดมาก และการปฏิบัติภารกิจในช่วงนี้จะไม่มีการนำอาวุธติดตัวออกปฏิบัติงาน แต่สิ่งที่ยังเป็นข้อกังวลและต้องระมัดระวังให้สังคมต้องช่วยกันจับตาดูเพราะมีอาวุธปืนอีกจำนวนหลายกระบอกที่เคยถูกกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยึดไปตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปี 53 ซึ่งปัจจุบันยังตามคืนมาได้ไม่ครบ โดยทางกองทัพบกจะได้ประสานผู้เกี่ยวข้องในคดี เพื่อเร่งดำเนินการต่อไป

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สำหรับเหตุปะทะที่หลักสี่ ทางเจ้าหน้าที่ที่ทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ยืนยันว่ามีการยิงจากหลายทิศทาง ดังนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนจะหาข้อสรุปต่อสังคม มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบเกี่ยวกับการยอมรับ และความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมาย ที่สำคัญการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือคดีทุกคดีควรรอให้ผ่านการสืบสวนสอบสวนตามกระบวนการอย่างถูกต้องก่อนจึงจะนำมาเปิดเผยต่อสังคม ดังนั้นขออย่าเพิ่งด่วนสรุปเพราะอาจเป็นการขยายความขัดแย้ง โดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีอาจนำไปบิดเบือน และจะทำให้เจ้าหน้าที่อาจวิเคราะห์สถานการณ์ไม่ตรงจุด และมีผลต่อความไม่เป็นธรรมขึ้นได้

***ตบปาก “โกตี๋” กล่าวหา “บิ๊กตู่” สั่งฆ่า

พร้อมกล่าวถึงกรณีที่นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำ นปช.ปทุมธานี ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ กล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) สั่งฆ่านั้นว่า อยากให้นายวุฒิพงศ์ระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีลักษณะพาดพิง ผบ.ทบ. ถือเป็นการให้ร้ายด้วยข้อความรุนแรง ยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆ ของกองทัพบกในช่วงที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบของกฎมายและรัฐธรรมนูญ และไม่เคยมีการปฎิบัตินอกกฎหมาย

ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการส่งทหารไปช่วยศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศรส.) เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน ก็มีคำสั่งที่เข้มงวดจาก ผบ.ทบ.ว่าห้ามพกพาอาวุธเข้าพื้นที่ หรือแม้แต่เหตุการณ์การปะทะกันบริเวณแยกหลักสี่ ท่ามกลางการใช้อาวุธยิงตอบโต้กันไปมาของทั้งสองฝ่าย ทหารที่ออกไประงับเหตุการณ์และช่วยเหลือประชาชน ก็ออกไปมือเปล่า แม้รู้ว่าการออกไปแบบปราศจากอาวุธเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายก็ตาม

“พล.อ.ประยุทธ์มีนโยบายอย่างชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยมองว่า ทหารจะต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกฝ่าย โดยไม่มีการแบ่งแยก และต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยมองว่าการใช้ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาในปัจจุบันนี้ได้ คำกล่าวอ้างเป็นคำพูดลอยๆ ของนายโกตี๋ ที่คิดเองเออเอง โดยไร้เหตุผล พยานหลักฐาน ถือว่าสร้างความเสียหายให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ และความเสื่อมเสียให้กับกองทัพเป็นอย่างมาก และขอให้นายโกตี๋หยุดกระทำพฤติกรรมดังกล่าว” พ.อ.วินธัยกล่าว

รองโฆษกกองทัพบกกล่าวอีกว่า กองทัพบกกำลังศึกษาข้อกฎหมาย เพื่อดำเนินการทางเอาผิดทางด้านกฎหมาย พร้อมทั้งให้สังคมย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของนายวุฒิพงศ์ในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร กองทัพบกไม่อยากให้ค่ากับคนแบบนั้น เพียงแต่คำพูดดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กองทัพและ ผบ.ทบ. ตลอดจนสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม

***พฐ.ตรวจวิถีกระสุน ระบุยิงมาทั้งสองฝั่ง

ด้านพล.ต.อ.จรัมพรสุระ มณี ที่ปรึกษา (สบ10) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ โดยใช้วิธีตรวจวิถีกระสุนด้วยการใช้แสง เลเซอร์ยิง และใช้แท่งเหล็กประกอบ เครื่องมือคำนวณ เข้าตรวจตามจุดที่มีภาพปรากฏบนสื่อต่างๆใช้เวลาประมาณ 1 ชม.เศษ

พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กล่าวว่า มาตรวจให้ครบถ้วน พบมีร่องรอย กระสุน 48 รอยจากอาวุธ 7 ชนิด ประกอบด้วย 1.ปืนลูกซอง 2.ปืนขนาด.38 3.ปืนขนาด 9 มม. 4.ปืนขนาด.45 5. ปืนคาร์บิ้น 6.ปืน ความเร็วสูงที่ใช้กระสุน ขนาด .223 7.ปืนอาร์ก้า ใช้กระสุน ขนาด 7.62 พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กล่าวว่ามีการยิงมาจากสองฝากฝั่งของผู้ชุมนุม แต่ไม่ขอตอบคำถามนักข่าวว่า ฝั่งไหนใช้อาวุธรุนแรงกว่ากัน ซึ่งจากนี้จะนำไปประเมินความสัมพันธ์ของชนิดอาวุธปืนกับรอยกระสุน ประกอบภาพถ่ายจากสื่อต่างๆ เพื่อสรุปว่ายิงมาจากจุดไหนด้วยปืนอะไร ซึ่งต้องเวลาสักระยะ ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มาตรวจเพื่อหักล้างกับข้อมูลของทางทหารใช่หรือไม่ พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี กล่าวว่า ไม่ใช่ตำรวจทำตาม หลักนิติวิทยาศาสตร์ วิถีกระสุนจะเป็นตัวอธิบายและตำรวจที่ตรวจที่เกิดเหตุชำนาญด้านวิถีกระสุนโดยเฉพาะ ยืนยันว่าตำรวจให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

พล.ต.อ.จรัมพร กล่าวต่อว่าตนไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ยิงมีความชำนาญหรือไม่ แต่อาจมีคลิปวิดีโอการฝึกการใช้อาวุธ ต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้สื่อข่าวสามารถไปค้นคว้าหาข้อมูลมาประกอบก็ได้

***"มัลลิกา" แฉ "โกตี๋ "เผ่นกบดานเขมร

น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้มีการพระราชทานเพลิงศพ นายสุทิน ธราทิน ที่ถูกสังหารหน้าวัดศรีเอี่ยม แต่ จนถึงขณะนี้กลับไม่มีความคืบหน้าในคดีแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มีการชี้เป้าให้เจ้าหน้าที่รับทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง มีหลักฐานจากคลิปจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนายยิ้ม ที่อยู่ในเหตุการณ์วัดศรีเอี่ยม ยังมาก่อเหตุเพิ่มเติมที่หลักสี่อีกด้วย จึงเห็นว่ามีความเชื่อมโยง เป็นคนกลุ่มเดียวกัน แต่ตำรวจไม่มีการควบคุมตัว ปล่อยให้ขบวนการนี้ทำผิดซ้ำซากลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย

ทั้งนี้ตนทราบมาว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. แทบจะไม่มีอำนาจบังคับบัญชาที่แท้จริง เพราะมีคนที่ควบคุมอยู่ 3 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา เลขาฯรมว.แรงงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบ.ชน. โดยฟังข้อมูลไม่รอบด้าน มีการฟังข้อมูลจากฝ่ายแดงมากเกินไป

นอกจากนี้ ยังเริ่มมีการใช้เอ็ม 79 อีกครั้ง หลังจากที่มีการยิงถล่มกลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ กปปส. แต่การชุมนุมคนเสื้อแดง ไม่เคยโดนเลย จึงสรุปได้ว่าผู้ที่ใช้อาวุธดังกล่าวคือพวกฮาร์ดคอร์เสื้อแดง อีกทั้งยังมีข้อมูลว่า ผู้กระทำเป็นจ่านอกราชการคนหนึ่ง ที่จะได้ค่าจ้างครั้งละ 3-5 หมื่นบาท

"มีกระแสข่าวว่าขณะนี้ นายโกตี๋ ถูกส่งตัวไปที่กัมพูชา จึงขอตั้งคำถามไปถึงร.ต.อ.เฉลิมว่า เหตุใดจึงรีบชี้นำว่า นายโกตี๋ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่หลักสี่ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ขอถามว่า มีการนำนายโกตี๋ไปที่กัมพูชาเก็บไว้ที่บ้านเขยของใคร หรือไม่ และนายโกตี๋ เป็นเด็กในปกครองที่รัฐบาลคุ้มกันอยู่ใช่หรือไม่ เพราะหากนายโกตี๋ไม่เกี่ยว เหตุใดนครบาลจึงรีบตัดตอนนายโกตี๋ออกไป จึงขอฝากไปยัง ผบ.ตร.ว่า ควรจะใช้ชีวิตราชการที่เหลือทำหน้าที่เพื่อชาติ ไม่ใช่ปล่อยให้ พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ดำเนินการเพื่ออนาคตทางการเมืองหลังเกษียณของตัวเอง เพราะจะทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายทั้งระบบ" รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

***“อดุลย์” บำเหน็จ “ด.ต.คงเพชร” 2 แสน

จากเหตุที่ ด.ต.คงเพชร เพชรกันหา ผบ.หมู่สืบสวน บก.น.2 ซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ที่บริเวณหน้าสโมสรกองทัพบก ก่อนถูกการ์ด กปปส.จับตัวได้และรุมทำร้าย เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้น ด.ต.คงเพชรได้ถูกส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ราชวิถี ก่อนย้ายไปรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า

ต่อมา ในวันศุกร์ที่ 31 ม.ค. มีรายงานว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้าเยี่ยม ด.ต.คงเพชร ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยเว็บไซต์ fm911bkk.com ของสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ FM 91.0MHz กองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเผยแพร่ข่าวและภาพการเข้าเยี่ยมดังกล่าว ระบุว่า

“เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 31 มกราคม 2557 ผู้สื่อข่าวรายงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ด.ต.คงเพชร เพชรกันหา ผบ.หมู่ กก.สส.บก.น.2 หลังถูกกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ทำร้ายหน้าสโมสรทหารบก ณ หอผู้ป่วยอาการหนักอุบัติเหตุ หรือ ไอซียู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

“พล.ต.อ.อดุลย์ เปิดเผยว่า อาการของ ด.ต.คงเพชร เพชรกันหา พ้นขีดอันตรายแล้ว ตนได้มีการสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางเล็กน้อย ซึ่งการดำเนินคดีต่างๆ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตามหากอาการของ ด.ต.คงเพชร ดีขึ้นกว่านี้ก็อาจขอตัวไปรักษาอาการต่อที่ โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นได้มอบเงินสวัสดิการ กว่า 2 แสนบาทช่วยเหลือแก่ครอบครัวก่อน” เว็บไซต์ของกองตำรวจสื่อสารระบุ

เมื่อข่าวและภาพดังกล่าวเผยแพร่ออกได้สร้างความสับสน และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากพยานหลักฐาน และพยานบุคคลซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุยืนยันตรงกันว่า ด.ต.คงเพชร เป็นผู้ลั่นไกปืนใส่ผู้ชุมนุมก่อน อย่างเช่น คำยืนยันของเครือข่ายอาสาสมัครทางการแพทย์ ซึ่งได้ส่งหน่วยแพทย์และกู้ภัยอาสาเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. ที่ระบุว่า “หลังจากเสียงปืนดังขึ้น มีคนเจ็บ และมีคนเห็นว่ามีคนยิงปืน ทุกคนไม่กลัวพยายามตามจับคนที่ยิงปืนให้ได้ (ตอนนั้นไม่มีใครทราบว่าคนที่ยิงเป็นตำรวจเพราะเค้าใส่เสื้อวินมอเตอร์ไซค์) เรื่องจริงคือ ตำรวจนายนี้ไม่ได้ถูกการ์ดทำร้ายก่อนหน้าที่ยิงปืนแต่อย่างใด(ซึ่งข่าวที่ออกมาจาก ศรส.ก่อนหน้านี้ว่าถูกการ์ดทำร้ายก่อนนั้นบิดเบือนจากความจริง) ผู้ชุมนุมตามจับคนที่ยิงปืนได้ ด้วยความโกรธผู้ชุมนุมบางคนจึงรุมประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บที่ศีรษะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทีมอาสาทางการแพทย์จึงเข้าไปพาตัวออกมาเพื่อนำส่งผู้บาดเจ็บ รวมถึงคนร้ายด้วย (อย่างที่บอกว่าเราไม่เคยแบ่งแยกในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เป็นใครเราก็ต้องช่วยค่ะ)” เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ เครือข่ายอาสาสมัครทางการแพทย์โพสต์ยืนยันเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด วานนี้ (3 ก.พ.) ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตอบข้อสงสัยดังกล่าวผ่านทวิตเตอร์ ?@PoliceSpokesmen ของผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ โดยยืนยันว่า ในการเข้าเยี่ยม ด.ต.คงเพชร ของ พล.ต.อ.อดุลย์ ผบ.ตร. เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 31 ม.ค.นั้น มีการมอบเงินจำนวน 205,000 บาทให้ด้วย โดยเป็นเงินกองทุนสวัสดิการ และเงินตรวจเยี่ยม

“จากภาพดังกล่าว เป็นการที่ ผบ.ตร.เดินทางไปเยี่ยม ด.ต.คงเพชรฯ และได้มอบเงินกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 200,000 บาท และเงินตรวจเยี่ยม จำนวน 5,000 บาท ครับ” ทวิตเตอร์ของทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุ

ก่อนหน้านี้ฝั่งตำรวจได้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ในวันที่เกิดเหตุ ด.ต.คงเพชร ได้รับมอบหมายให้ออกมาหาข่าว แต่ถูกผู้ชุมนุมค้นตัว เมื่อเห็นว่าไม่ปลอดภัยจึงวิ่งหนี แต่ก็ถูกผู้ชุมนุมไล่ตาม จึงได้ชักปืนยิงเพื่อป้องกันตัว อย่างไรก็ตาม ทางผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่งการให้ ด.ต.คงเพชร พกพาอาวุธแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น