xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผายลมมารดาเจ้า? บิ๊กถั่งเช่า จันทร์ส่องหล้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- “ประชาชนตีกัน มีการบาดเจ็บล้มตาย จลาจล รัฐบาลต้องรับผิดชอบในหลักการ”

นั่นคือคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกที่ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557

และวันนี้มวลมหาประชาชนได้ลุกขึ้นมาเพื่อทวงถามคำพูดที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เคยประกาศไว้

“ทหารออกมา…..”

“ทหารออกมา.....”

เสียงของมวลมหาประชาชนดั่งกระหึ่มไปทั่วทั้งเวทีชุมนุมบริเวณแยกปทุมวันของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ กปปส. หลังจาก “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ขึ้นปราศรัยหลังจากเกิดเหตุการณ์สังหารโหด “นายสุทิน ธราทิน” แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(กปท.) หนึ่งในองค์กรแนวร่วมของ กปปส. ขณะปฏิบัติภารกิจหยุดยั้งการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 มกราคม 2557 ณ บริเวณโค้งวัดศรีเอี่ยม ช่วงวงแหวนแยกศรีเอี่ยม ถ.ศรีนครินทร์ แขวงและเขตบางนา

และเสียงเรียกร้องให้ทหารออกมาก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่องทุกวันด้วยหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะรักษาคำพูดของตนเองยิ่งชีพ

ประมาณว่า เสียชีพอย่าเสียสัตย์

แน่นอน เสียงเรียกทหารให้ออกมา มิใช่ต้องการให้ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง

หากแต่ต้องการให้ทหารออกมาดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากได้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า “ตำรวจ” ภายใต้การนำของ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่สามารถคุ้มครองและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายได้

เพราะนี่ไม่ใช่การสูญเสียครั้งแรกที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของมวลมหาประชาชน หากแต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่เหตุการณ์นองเลือดที่ ทำให้ “ทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว” นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงถูกยิงตายอย่างอนาถเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 ตามต่อด้วยเหตุการณ์ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดนเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556 ที่ทำให้ “วสุ สุฉันทบุตร” ต้องเสียชีวิต การตายของ “ยุทธนา องอาจ” การ์ด คปท. รวมถึงการตายของ “ประคอง ชูจันทร์” จากเหตุการณ์ขว้างระเบิดบนถนนบรรทัดทอง

ทว่า สิ่งที่สังคมได้รับทราบจากปากของผู้นำเหล่าทัพกลับสร้างความผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก

27 มกราคม 2557 หลังเป็นประธานในพิธีวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบ 56 ปี พล.อ.ธนะศักดิ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุเพียงแค่ว่าว่า “เรื่องของเมื่อวานก็เป็นเรื่องของเมื่อวาน แต่วันนี้ก็เป็นเรื่องของวันนี้”

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามในเรื่องเดียวกัน โดยมีสีหน้าเคร่งเครียด และเดินทางกลับ กทม.ทันที ไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันที่ทางโรงเรียนเตรียมทหารจัดเตรียมไว้ จากนั้นก็ให้ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกตั้งโต๊ะแถลงข่าวโดยระบุว่า ผู้เป็นลูกพี่รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีความเป็นห่วง ตลอดจนมี่ความกังวลต่อเรื่องการใช้ความรุนแรงต่อกันมาโดยตลอด โดยทาง ผบ.ทบ.ไม่อยากให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ทั้งนี้ ท่าทีของผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์นั้นกำลังถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพราะเป็นท่าทีมิได้รู้ร้อนรู้หนาวต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ที่สำคัญคือเป็นท่าทีที่มิได้ตอบสนองต่อคำร้องขอของนายสุเทพผู้ซึ่งให้ความเคารพยำเกรงและไม่เคยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทหารออกมาจากปากให้ได้ยิน ด้วยการ “อุตส่าห์” บากหน้าอ้อนวอนทหารอย่างเป็นทางการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อยากฝากไปถึง ผบ.3 เหล่าทัพ หากเป็นมือปืนจากเขมร แปลกว่าล่วงล้ำอธิปไตย พี่น้องทหารต้องจัดการ หรือหากเป็นวายร้าย นักเลงอันธพาล ตำรวจชุบเลี้ยงไว้ ผมก็ขอให้ ผบ.3 เหล่าทัพจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหารคุ้มครองประชาชนหากเห็นว่าเราใช้สิทธิ์ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ อาทิ การตั้งด่านบริเวณการชุมนุมเพื่อตรวจค้นอาวุธสกัดจับคนร้าย เพราะคนร้ายสามารถผ่านด่านตำรวจได้ทั้งหมด”

“ไม่ได้ให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่ให้ออกมาคุ้มครองผู้บริสุทธิ์และยืนเคียงข้างประชาชน หากทหารคนใดเห็นการปราศรัยของผม ขอไปแจ้ง ผบ. 3 เหล่าทัพว่าประชาชนขอการคุ้มครองจากทหาร พร้อมกับตัดสินใจมาอยู่ข้างประชาชนได้แล้ว”นายสุเทพกล่าวบนเวที กปปส.ที่แยกปทุมวัน

แต่ปรากฏว่า ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่นายสุเทพเรียกประการใด

ซ้ำร้ายถัดจากนั้นอีกแค่ 2 วันคือวันที่ 28 ธันวาคม 2557 ก็ปรากฏ “มือสังหาร” ซึ่งต่อมาภายหลังปรากฏว่าเป็น “ตำรวจ” ใช้อาวุธปืนยิงมวลชน กปปส.ที่เคลื่อนขบวนไปที่สโมสร ทบ.ซึ่งเป็นสถานที่ที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ใช้เป็นสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยเหตุเกิดกลางวันแสกๆ และเหตุเกิด ณ สถานที่ตั้งของหน่วยทหารอีกต่างหาก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงกับทำให้นายสุเทพกล่าวอย่างตรงไปตรงมาถึงทหารอย่างไม่เกรงใจเป็นครั้งที่สองว่า “คนร้ายปลอมตัวเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาทำร้ายพวกเรา เอาปืนยิงคนของเราโดนที่ท้องด้วยปืน 11 มม.หน้าสโมสรกองทัพบกในเวลากลางวันเหมือนเดิม แต่โชคดีที่อาการปลอดภัย ไม่ถึงชีวิต กำลังรอผ่าตัดที่ รพ.รามาธิบดี อีกคนยิงเข้าที่ขา แต่บังเอิญพกไฟแช็คที่กระเป๋าเลยรอด คนของเราวิ่งไล่ตะครุบจับคนร้ายได้ เจอของกลาง แม็กกาซีนปืน 11 มม. วิทยุสื่อสาร กุญแจมือ ระเบิดปิงปอง 4 ลูก ชัดเจนว่าคนร้ายที่มายิงเราวันนี้เป็นตำรวจแน่นอน เหตุการณ์ยิงประชาชนเกิดขึ้นหลายครั้ง อยากเรียกร้องให้ผู้บัญชาการทหาร 3 เหล่าทัพออกมาปกป้องประชาชน อยากถามว่าทหารทนได้อย่างไรที่มีคนร้ายออกมายิงสังหารประชาชนทุกวันกลางเมืองหลวง โดยเฉพาะครั้งนี้สถานที่เกิดเหตุคือ หน้าสโมสรกองทัพบก จึงขออนุญาตฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ว่าวันนี้คนร้ายมันลูบหน้าทหารบกโดยตรง เป็นการหยามเกียรติ ถือว่ายังดีที่คนร้ายไม่เข้าไม่ยิงในเขตทหารให้รู้แล้วรู้รอด”

ทว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้เคยทำตามที่เคยประกาศสร้างภาพเอาไว้แต่ประการใด

เสียงเรียกร้องให้ทหารออกมาจึงมิต่างอะไรจากคำพูดที่ผ่านเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาเท่านั้น

สิ่งที่สังคมได้ยินก็คือ คำแถลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวแทน พล.อ.ประยุทธ์คือ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบกที่พูดซ้ำไปซ้ำมาและวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ว่า กองทัพบกให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของประชาชน และจะดูแลประชาชนภายใต้กรอบขอบเขตความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สถานการณ์ในขณะนี้เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ปัจจุบันกองทัพบกมีการประสานกับศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) เพื่อปรับระบบและมาตรการให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นให้ได้อย่างดีที่สุด โดยเฉพาะได้ปรับการวางกำลังทหารให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น สำหรับเหตุความรุนแรงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เร่งคลี่คลายเพื่อนำผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการ ซึ่งขณะนี้คงจะมีความคืบหน้ามาตามลำดับ

“ขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่า ทหารไม่มีอำนาจพิเศษ ภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน ขออย่าได้มาตำหนิติเตียนทหารให้มากนัก ทหารยังคงต้องปฏิบัติงานชายแดน งานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ส่วนกำลังที่ว่างเว้นจากภารกิจดังกล่าวยังคงต้องมีการฝึกหรือเตรียมการเรื่องต่างๆ รวมทั้งงานปกติประจำ ณ ที่ตั้งหน่วย ก็มาทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งยังต้องจัดกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยสนับสนุนการเลือกตั้ง”

“พล.อ.ประยุทธ์ ห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายอย่างมีสติ และใช้ปัญญาช่วยแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังต้องคำนึงถึงความมั่นคงของสถาบันหรือองค์กรหลักของชาติต่าง ๆ สถาบันทหาร ตำรวจ รวมทั้งความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัวด้วย สถานการณ์ที่ คนไทยกำลังขัดแย้งกัน กำลังต่อสู้กัน ขอให้คิดดูว่าอยู่ในความรับผิดชอบของใครหรือของคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน สำหรับทหารนั้น ถูกออกแบบไว้ต่อสู้กับอริราชศัตรูจากนอกประเทศเป็นหลัก แต่เมื่อใดเกิดการจลาจลขึ้นในประเทศ หรือ มีกองกำลังต่างชาติเข้ามา ทหารจึงจะมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ ทหารจะไม่ทำตามคำพูดหรือคำปลุกปั่นยุยงของใครก็ตามที่จะให้ทหารทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง”รองโฆษก ทบ.แถลงแก้ตัวแทนนายหลังถูกก่นด่า

แปลไทยเป็นไทยก็คือ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ออกมาและจะไม่ให้ความช่วยเหลือตามคำร้องขอของมวลมหาประชาชน

การที่ พ.อ.วินธัยชักแม่น้ำทั้งห้ามาแก้ตัวมาทหารได้จัดกำลังกว่า 5,000 นายเพื่อสนับสนุนการทำงานของศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ก็ชัดเจนแล้วว่า ทหารคือผนังทองแดงกำแพงเหล็กอันสำคัญยิ่งที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังยืนหยัดอยู่ได้ ทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์คือปราการด่านสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เกรงกลัวการชุมนุมขับไล่ของมวลมหาประชาชน

ถามว่า ถ้าทหารยืนอยู่ข้างประชาชนจริงโดยมีกำลังเพ่นพ่านอยู่ทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล เหตุอันใดจึงเกิดเหตุร้ายขึ้นรายวัน และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับอีกต่างหาก

ทหารกว่า 5,000 นายของ พล.อ.ประยุทธ์ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนหรือ

พล.อ.ประยุทธ์ใช้ทหารไปทำอะไรทำไมถึงปล่อยให้มีการฆ่านายสุทิน ธราทินกลางวันแสก และปล่อยให้ดาบตำรวจคงเพชรชักปืนไล่ยิงประชาชนหน้าสโมสร ทบ.

นี่คือคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นแม้แต่ประโยคเดียว

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปตรวจสอบคำพูด ตลอดรวมถึงปฏิกิริยาของผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะพบว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยแสดงท่าทีที่สร้างความชุ่มชื่นใจให้กับผู้ร่วมชุมนุมเป็นอย่างมาก

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557

“ผมขออย่างเดียว อย่าให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทหารต้องดูแลประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายไม่ให้บาดเจ็บล้มตาย ไม่ได้ดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมต้องดูแลคนทั้งประเทศ การปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส. ต้องคอยดูว่า จะเกิดอะไร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร เพราะไม่ใช่ กปปส. หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายมีทางออกร่วมกัน หรือใครจะหวังให้ฆ่ากันตายหมด ใครก็ตามที่ทำให้เกิดความรุนแรงคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ จำไว้ ไม่ว่าพวกไหนก็แล้วแต่ ถ้าออกมาเมื่อไร ประชาชนตีกัน มีการบาดเจ็บล้มตาย จลาจล รัฐบาลต้องรับผิดชอบในหลักการ”

ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังจำคำพูดที่ออกจากปากตัวเองได้หรือไม่

ถ้าจำไม่ได้ นี่คือการตอกย้ำให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่ความจำสั้นให้กลับมามีความจำยาวขึ้นบ้าง

แต่ถ้าจำไม่ได้ ก็แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์สักแต่พูดไปวันๆ หาสาระและความน่าเชื่อถืออันใดไม่ได้ ต้องการเพียงสร้างภาพสร้างราคาให้กับตนเองเท่านั้น โดยประพฤติตนเสมือนคำพูดที่นิยมใช้กันในยุทธจักรนิยายจีนว่า “ผายลมมารดาเจ้า” เช่นนั้นหรือ?

หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ก็คิดเลียนแบบนายทหารรุ่นพี่อย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่เคยประกาศไว้หลังการรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2535 ว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้าย พล.อ.สุจินดาก็ไม่รักษาคำพูดตนเอง กระทั่งกลายเป็นที่มาของวลีทางการเมืองอันเป็นอมตะว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ”

วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้หัวใจของตนเองตอบคำถามมวลมหาประชาชนว่า เป็นเช่นข้อกล่าวหาข้างต้นหรือไม่

เพราะเป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ความรุนแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกวัน ถ้าโชคดีก็รอดชีวิต ถ้าโชคร้ายก็ถึงขั้นบาดเจ็บและล้มตาย

แถม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ยังประกาศข่มขู่ท้าทายกฎหมายของบ้านเมืองเอาไว้อีกต่างหากว่า “ขอเตือนผู้ชุมนุมจะมีการยิงกันเกิดขึ้นอีก เนื่องจากเหตุผล 3 ประการ คือ เคียดแค้นที่ กปปส.ขัดขวางการเลือกตั้ง การชุมนุมไม่ได้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ และการปิดสะพานพระราม 8 สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ผ่านไปมา คิดว่าไม่เกิน 7 วันจะโดนแน่คนเขาอึดอัด แต่ยืนยันรัฐบาลไม่ทำ”

การข่มขู่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์และทหารไม่ทำอะไร นอกจากแสดงความเสียใจและสร้างภาพเรียกคะแนนไปวันๆ นั่นย่อมมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมมิได้เกรงกลัว พล.อ.ประยุทธ์ที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 7 มกราคม 2557 แต่ประการใด ประหนึ่งไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่อย่างไรอย่างนั้น

นี่ไม่นับรวมถึง “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยังคง “ไว้ใจไอ้ตู่มาก” เฉกเช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังคงใช้สายตามองด้วยความเอ็นดูโดยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นคงไม่อนุญาตให้ใช้สโมสร ทบ.เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมจึงเกิดการฆ่านายสุทิน ธรรมทินกลางวันแสกๆ

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไม “ดต.คงเพชร เพชรกังหา” ถึงกล้ายิงปืนเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมหน้าสโมสร ทบ.ซึ่งเป็นเขตทหาร

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมถึงมีการยิง M 79 เข้าใส่ผู้ชุมนุมที่แยกลาดพร้าวเป็น “ครั้งแรก” และเชื่อว่า จะมีครั้งต่อๆ ไป

ขณะเดียวกันถ้าหากย้อนกลับไปถึงคำประกาศกร้าวเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 256 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่วสุ สุฉันทบุตรเสียชีวิต หลังถูกถามถึงโอกาสในการทำรัฐประหารว่า “ไม่มีปิด ไม่มีเปิด สถานการณ์ทุกสถานการณ์เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สถานการณ์เป็นตัวกำหนด” ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์อันนำมาซึ่งการตอบโต้จากรัฐบาลและคนเสื้อแดงอย่างเอิกเกริกในครั้งนั้น ทำไปพระแสงด้ามยาวอันใด

ทำไปเพื่อช่วยกระตุ้นให้คนเสื้อแดงที่ล่มสลายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วยคำว่ารัฐประหารหรือไม่

หรือทำไปเพื่อสร้างค่า สร้างราคาให้กับตัวเอง โดยหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง “อะไรบางประการ” จากรัฐบาลและนายใหญ่แห่งดูไบ

เพราะวันนี้ พิสูจน์ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงเป็นพล.อ.ประยุทธ์คนเดิม และเป็นพล.อ.ประยุทธ์คนดีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้ยืนอยู่เคียงข้างมวลมหาประชาชนประการใด แม้จะมีความพยายามทำให้เห็นเช่นนั้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์แล้ว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ก็ต้องตอบคำถามเช่นกันว่า เสียงเรียกให้ทหารออกมาปกป้องประชาชน ทหารออกมาเคียงข้างประชาชนนั้น เป็นการพูดในลักษณะของ “ผายลมมารดาเจ้า” ด้วยหรือไม่ เพราะชัดเจนแล้วว่า เสียงเรียกร้องของนายสุเทพไม่ได้รับการตอบสนองจาก พล.อ.ประยุทธ์อย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อนำปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ไปเปรียบเทียบกับหน่วยงานราชการอื่นๆ เช่น นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือ พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ(นสร.) จะเห็นได้ว่า เทียบกันไม่ติด

ทว่า นายสุเทพก็ไม่เคยกระทำการอันใดเพื่อกดดันทหาร โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ มากกว่าคำพูดที่ลอยไปลอยมาหาแก่นสารสาระอะไรไม่ได้

สุดท้ายคงต้องถามหัวใจของ พล.อ.ประยุทธ์อีกครั้งว่า ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์คิดอย่างไรกับป้ายไวนิลที่ถูกนำมาติดไว้ที่บริเวณสะพานลอยหน้าโรงเรียนบุญสิษฐ์วิทยา ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา ด้วยข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศ”

ป้ายนี้แสดงเจตจำนงชัดเจนโดยมิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า “คนเสื้อแดงต้องการแยกประเทศ”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาผู้บัญชาการทหารบกที่มีหน้าที่รักษาขอบขัณฑสีมาของประเทศจะยอมให้เป็นเช่นนั้นหรือ เพราะนี่ไม่ใช่ป้ายที่ติดไว้เล่นๆ เพื่อสร้างสถานการณ์ทางการเมือง หากเป็นความคิดที่แพร่ระบาดในหมู่คนเสื้อแดงอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้

หรือพล.อ.ประยุทธ์จะหายใจทิ้งไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรและรอวันเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายน

หรือเสียงตะโกนของมวลมหาประชาชนว่า “ทหารออกมา” จะสัมฤทธิ์ผลในสิ้นเดือนกันยายน อันเป็นวันเกษียณอายุราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเช่นนั้นหรือ


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
วสุ สุฉันทบุตร ประคอง ชูจันทร์และสุทิน ธราทิน 3 ตัวอย่างของผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองจากฝีมือของฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างเหี้ยมโหด
กำลังโหลดความคิดเห็น