ASTVผู้จัดการรายวัน- “ซีเอ็ด” แท็กทีม “อัมรินทร์” โขกราคารับจัดจำหน่ายหนังสือเพิ่มอีก 5% อ้างเหตุผลเดิมต้นทุนเพิ่ม ค่าแรง 300 บาท/วันเป็นชนวนหลัก ฟากสำนักพิมพ์รายย่อยครวญต้องก้มหน้าแบกรับต้นทุนต่อไป วงการชี้งานนี้รายย่อยรายเล็กต้องล้มหายตายจากแน่นอน นายกPUBAT ขวาง พร้อมเจรจาหาทางออกสรุปเหลือขึ้น 2-3-% ฟันธงตลาดรวมหนังสือทั้งปีทรงตัวที่30,000ล้านบาท สำนักพิมพ์ล้มมากกว่า 20 รายเกิดใหม่ไม่ถึง10ราย
ตลาดหนังสือในประเทศไทยว่ากันว่ามีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และมีการเติบโตทุกปีโดยเฉลี่ย 5-10% เนื่องจากภาคเอกชนพยายามรณรงค์ส่งเสริมการอ่านมากขึ้น รวมทั้งการจัดงานหนังสือต่างๆทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
แต่ไม่วายว่า อุตสาหกรรมหนังสือนี้ ก็ต้องเผชิญกับปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ค่าการผลิตต้นทุนที่สูงขึ้นตามกระดาษหรือน้ำหมึก รวมไปถึงค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าลิขสิทธิ์ ค่าจัดพิมพ์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะปรับราคาขึ้นได้ง่ายๆ การเผชิญกับค่าขนส่ง ค่าจัดจำหน่าย ค่าจัดวาง หรือแม้แต่การเผชิญกับเทคโนโลยีที่มากระแทกตลาดหนังสือเล่ม อย่างดิจิตอลบุ๊ค
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนี้ตลาดหนังสือคงต้องเข้าสู่ภาวะวิกฤติอีกครั้ง เมื่อเสือนอนกินอย่างผู้ที่ทำหน้าที่รับจัดส่งและจำหน่ายหนังสือประกาศลั่น ว่า ต้องเพิ่มค่าธรรมเนียมในการจัดส่งหนังสือใหม่ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 2 ค่ายใหญ่แห่งวงการ คือ ซีเอ็ดและอัมรินทร์ ที่ขอขึ้นค่าธรรมเนียมและการจัดจำหน่ายหนังสือซีเอ็ด หรือชื่อเต็มทางการคือ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) มีชื่อย่อทางการค้า คือ ซีเอ็ด (SE-ED) เจ้าของร้านซีเอ็ด อัมรินทร์ หรือชื่อเต็มทางการคือ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านนายอินทร์ เนื่องจากทั้งสองค่ายนี้เป็นเชนใหญ่ของร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ในประเทศไทย มีบทบาทและถือครองตลาดรวมกันมากกว่า 50% แล้ว ทั้งในแง่จขำนวนร้านเชนหนังสือ หรือสัดส่วนรายได้ของตลาดรวม จึงมีบทบาทและมีอำนาจในการต่อรองและกำหนดทิศทางตลาดรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เรื่องของการกำหนดค่าธรรมเนียมในการขายและจัดส่ง
ขณะที่สำนักพิมพ์รายย่อยน้อยใหญ่ ต่าางก็ต้องพึ่งพาเครือข่ายของสองค่ายนี้เป็นหลัก แทบจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเพราะล่าสุดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมา ทั้งซีเอ็ดและนายอินทร์ ในเครืออัมรินทร์ซึ่งเป็นเชนร้านหนังสือขนาดใหญ่และรับจัดจำหน่ายหนังสือให้ กับสำนักพิมพ์ต่างๆนั้น ต่างพากันส่งเรื่องไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ เพื่อขอปรับราคารับจัด จำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% จากเดิมที่เรียกเก็บไม่น้อยอยู่แล้วถึง 40% จากราคาหน้าปกหนังสือแต่ละปก
เหตุผลหลักที่ทั้งสองค่ายนำมากล่าวอ้างเพื่อความชอบธรรมก็ยังคงเป็นเหตุผล เดิมๆ ที่ว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น ค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มเป็น 300บาทต่อวัน ขณะที่ค่ายนานอินทร์ก็มีเหตุผลใหม่เพิ่มเข้ามาที่ว่า ร้านนายอินทร์ กลายมาเป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งของอัมรินทร์ซึ่งจะต้องดำเนินงานบริหารจัดการให้ มีรายได้ของตัวเอง ให้มีกำไรเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆในเครือ ทำให้ต้องมีการบริหาร จัดการธุรกิจใหม่ จึงขอปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สำนักพิมพ์รายย่อยอ่วม
นายวิทยา ร่ำรวย บรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดรวมของหนังสือในไทยกำลังมีต้นทุนดำเนินการที่สูงขึ้น มาก ทั้งจากต้นทุนโดยตรงและโดยอ้อม โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนค่าธรรมเนียม การจัดจำหน่ายหนังสือ เพราะในช่วงปลายปี2556ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณ จากเชนร้านหนังสือรายใหญ่ที่รับจัดจำหน่ายหนังสือได้เริ่มเรียกเก็บค่า ธรรมเนียม จากร้านหนังสือรวมทั้งสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่ใช้บริการ เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 45% เทียบกับราคาปกหนังสือ ครั้งนี้เรียกเก็บกันแบบไม่เอิกเกริก ในหลายวิธีการทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย
แม้ว่าปริมาณที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้นครั้งใหม่นี้จะมี 5% แต่เมื่อรวมกับของเดิมแล้วก็ปาเข้าไปถึง 45% ซึ่งเป็นปริมาณที่มากโขเอาการอยู่ ว่ากันง่ายๆ ก็คือ เกือบจะครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ขายได้แต่ละเล่ม ต้องให้กับซีเอ็ดหรือนายอินทร์ที่เป็น คนจัดจำหน่ายไปเกือบ 50% แล้ว ครึ่งครึ่งเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือเจ้าของหนังสือก็ได้แค่หยิบมือเดียว เพราะต้องแบ่งให้กับอีกหลายส่วน นายวิทยาย้ำว่า การปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายครั้งนี้ สำนักพิมพ์รายย่อยและสำนักพิมพ์รายใหม่จะได้รับผลกระทบโดยตรง หลังจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทจัดจำหน่ายหนังสือรายใหญ่ทั้ง 2 ราย คือซีเอ็ดและอัมรินทร์ มีความพยายามที่จะขอปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่ม โดยอ้างถึงค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่มเป็น 300 บาทต่อวัน แต่ไม่สำเร็จ
“ครั้งก่อนทั้งสองบริษัทจะเลือกใช้วิธีการส่งจดหมายแจ้งปรับราคาจัดจำหน่าย ขึ้นไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ครั้งนี้ต่างคนต่างทำและเลือกที่จะใช้วิธีโยนหินถามทาง โดยการใช้โทรศัพท์แทนกิอนและเลือกเฉพาะสำนักพิมพ์รายเล็กหรือเป็นรายๆไป”
ทั้งนี้ในส่วนของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ถือเป็นคู่ค้ากับทางซีเอ็ดมายาวนานจึงยังไม่มีการปรับราคาจัดจำหน่ายเพิ่ม เพราะสามารถเจรจาต่อรองกันได้ด้วยเหตุผล แต่สำหรับสำนักพิมพ์อื่นๆอาจจะได้รับผลกระทบต้องจ่ายค่าจัดจำหน่ายเพิ่มด้วย เช่นกัน
“ปัจจุบันบริษัทที่ทำธุรกิจรับจัดจำหน่ายหนังสือรายหลักๆทั่วประเทศมีอยู่ ประมาณ 3-4 ราย เช่น ซีเอ็ด อัมรินทร์ เพ็ชรไทย เป็นต้น โดยเฉพาะ 2 รายแรกนั้นเป็นรายใหญ่ถือครองตลาดมากสุด ดังนั้นหากรายใหญ่มีการปรับขึ้นราคาจัดจำหน่ายเพิ่ม ผู้รับจัดจำหน่ายรายเล็กก็มีแนวโน้มที่อาจจะปรับราคาขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”
ส่วนอัตราในการปรับขึ้นนั้นอาจจะแตกต่างกันไปเพราะต้นทุนของแต่ละสำนักพิมพ์ แตกต่างกัน ยอดขายก็แตกต่างกันด้วย ซึ่ง2 ค่ายใหญ่คือ ซีเอ็ดและอัมรินทร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกสำนักพิมพ์ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ส่วนเพ็ชรไทยลูกค้าหลักคือสำนักพิมพ์ขนาดเล็กและรายย่อย ดังนั้นการปรับราคาจัดจำหน่ายจึงน่าจะแตกต่างกัน
ดิ้นหาช่องทางขายใหม่หนีค่าธรรมเนียมโหด
ทั้งนี้หากมีการปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจริง เชื่อว่า 1.สำนักพิมพ์รายย่อยจะมีการปรับตัวหาช่องทางขายใหม่ๆเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะมา เน้นวิธีการขายตรงกันมากขึ้น หรือการใช้กลยุทธ์ขายผ่านออนไลน์ เป็นต้น โดยจำนวนหนังสือบนแผงหนังสือจะมีจำนวนลดลง เวลาในการวางอยู่บน แผงหนังสือก็จะน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากปัจจุบันร้านหนังสือมีขนาดจำกัดค่าเช่าร้านหนังสือสูงขึ้น
สำนักพิมพ์รายใหญ่ได้เปรียบมากกว่า ดังนั้นสำนักพิมพ์รายเล็กจะให้ความ สำคัญในการออกหนังสือมากขึ้น มีการคัดกรองหรือออกหนังสือในรูปแบบนิช มาร์เก็ตมากขึ้น
2.ทิศทางตลาดหนังสือจะมีโอกาสเติบโตในช่องทางE-bookสูงขึ้น หากต้นทุนในการวางจำหน่ายในร้านหนังสือสูงขึ้น จากปัจจุบันอีบุ๊คอาจจะยัง มีขนาดเล็กอยู่ แต่ทิศทางของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้สมาร์ทโฟนและแท็ปเลทมากขึ้น และนิยมอ่านข้อมูลจากกัดเจ็ตเหล่านี้ ล้วนเป็นโอกาสให้อีบุ๊คมีโอกาสเติบโตได้
อย่างไรก็ตามมองว่าปีนี้ตลาดหนังสือกำลังอยู่ในช่วงขาลงยิ่งมีการปรับราคา การจัดจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นด้วยแล้ว สำนักพิมพ์รายเล็กและรายใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดนี้จะอยู่ลำบาก ส่วนสำนักพิมพ์ที่มีขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ยังอยู่ได้ จากฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิม แต่แนวโน้มภาพรวมการเปิดตัวหนังสือใหม่ในปีนี้จะมีเกิดขึ้น น้อยลงหรือพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น
“ตามความคิดเห็นส่วนตัว มองว่าหนังสือเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นมากนักตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสินค้าเอ็นเตอร์เทนเม้นท์อื่นๆ ขณะเดียวกันพอจะมีการปรับราคาขึ้นบ้างลูกค้าก็จะไม่ซื้อ มองว่ามีราคาแพงทั้งที่เทียบกับสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ หนังสือยังมีราคาที่ถูกกว่ามากอีกทั้งหากมีการปรับราคาหนังสือขึ้นก็จะทำให้ทั้งระบบของตลาดหนังสือมีการ ปรับราคาขึ้นตามด้วยเช่นกัน การปรับราคาหนังสือจึงไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่สิ่วที่เราหลีกหนีไม่ได้คือ การขึ้นราคาของผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่” นายวิทยากล่าว
หนังสือเด็กเจ็บตัวมากสุด
ด้านนางริสรวล อร่ามเจริญ อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ในนามกรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด กล่าวให้ความเห็นว่า หนังสือที่บริษัทผลิตจะเป็นหนังสือสำหรับเด็ก อีกทั้งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้จัดจำหน่ายเองทั้งหมด และอาจจะเลือกใช้บริการจากบริษัท จัดจำหน่ายหนังสือไปยังต่างจังหวัดบ้างเพียงเล็กน้อยแล้วแต่กรณีดังนั้นบริษัทฯจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาจัดจำหน่ายหนังสือขึ้นจาก 2 บริษัทใหญ่
แต่ทั้งนี้มองว่าในภาพรวมจะส่งลกระทบต่อวงการอย่างมาก ทุกสำนักพิมพ์และหนังสือทุกประเภทต่างก็จะได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนจะกระทบมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตหนังสือเป็นหลัก เช่น กลุ่มหนังสือสำหรับเด็กอาจจะกระทบมากหน่อย เนื่องจากมีขั้นตอน การผลิตหลายขั้นตอน ต้นทุนการผลิตจึงสูงกว่าอีกทั้งกำไรต่อเล่มก็น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มหนังสือประเภทอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาข้อตกลงกับผู้จัด จำหน่ายหนังสือให้ด้วยว่าจะยอมให้ปรับขึ้นราคามากน้อยเพียงใด
PUBATออกโรงเจรจา สรุปปรับขึ้น 2-3%
นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือ แห่งประเทศไทย หรือ PUBAT กล่าวว่า จากกรณีที่ทางเชนร้านหนังสือ 2 เชนใหญ่คือ ซีเอ็ด และอัมรินทร์ ถือเป็นรายใหญ่ในการรับจัดจำหน่ายหนังสือนั้น ได้เริ่มปรับราคาการจัดจำหน่ายหนังสือไปบ้างแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มกราคมที่ผ่านมา จากเดิมเรียกเก็บอัตรา 40% มาเป็น 42-43% ในเบื้องต้นทาง 2 ค่ายใหญ่ต้องการปรับเพิ่มอีก 5% แต่ทางสมาคมฯพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นอัตราที่เพิ่มมากเกินไป จึงได้พยายามเจรจาต่อรองหาทางออกร่วมกันกับ 2 ค่ายและผู้ใช้บริการ 2 ค่ายนี้ โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้สำนักพิมพ์รายเล็กรายย่อย ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้การเจรจาต่อรองสามารถบรรลุผลในระดับหนึ่ง โดยสรุปตัวเลขที่จะเรียกเก็บเพิ่มใหม่คราวนี้อยู่ที่ 2-3% เท่านั้น โดยสำนักพิมพ์ทุกขนาดได้ถูกปรับราคาขึ้นเหมือนกันหมดไม่เว้นแม้แต่สำนัก พิมพ์ขนาดใหญ่อย่างแจ่มใส ก็ตาม
2เชนใหญ่ฮุบส่วนแบ่งมากสุด
ปัจจุบันหนังสือ 1 เล่ม เมื่อสามารถขายได้แล้ว จะต้องทำการแบ่งรายได้ออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ 1.สายส่งหรือผู้จัดจำหน่าย จะได้ส่วนแบ่ง 42-43% มากที่สุด 2. เป็นต้นทุนการผลิต ประมาณ 30% 3. ผู้เขียน จะได้ส่วนแบ่งประมาณ 10% และ 4. ผู้ผลิตหรือเจ้าของสำนักพิมพ์ จะได้ประมาณ 17-18% จะเห็นได้ว่า วงจรของรายได้หนังสือนั้นสายส่งจะได้มากสุด มีอำนาจมากสุดในระบบ หากสายส่งมีการปรับราคาขึ้นอีกธุรกิจหนังสือก็จะอยู่ยาก ซึ่งปัจจุบันรายได้จากการขายหนังสือมาจาก 2 ช่องทางหลัก คือ 1.มาจากช่องทางร้านหนังสือ 50% ซึ่งก็ยากที่จะปฎิเสธว่ามาจากร้านนายอินทร์ กับร้านซีเอ็ดเป็นช่องทางหลัก 2.มาจาการขายเองผ่านช่องทางอื่นๆ 20% ส่วนอีก 30% นั้นคือส่วนที่เหลือเป็นส่วนต่างของหนังสือที่ไม่สามารถขายได้หรือถูกตีกลับ นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของผู้จัดจำหน่ายแต่อย่างใดตามสัญญา
ขณะเดียวกันต้นทุนด้านกระดาษเองปีนี้ก็ต้องแบกรับต้นทุนเช่นกัน เพราะรู้ว่าหากปรับราคาเพิ่ม ราคาปกหนังสือก็จะเพิ่มตาม และอาจจะทำให้ขายหนังสือได้ยากเพราะผู้อ่านจะมองว่ามีราคาแพงเกินไป
ทางออกเน้นสร้างช่องทางขายใหม่
ดังนั้นทางออกของปัญหาการปรับราคาค่าจัดจำหน่ายหนังสือเพิ่มที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยรายเล้ก หรือแม้แต่รายใหญ่เองที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การกำหนดกฎเกณฑ์ของสองค่ายใหญ่ นี้ต่อไป ก็คงต้องมองหาช่องทางขายใหม่ๆ เพื่อหวังพึ่งพิงร้านหนังสือให้น้อยลง เช่น การจัดสัปดาห์หนังสือทำให้สำนักพิมพ์พบกับผู้อ่านโดยตรง ก็เป็นช่องทางสำคัญ
นายจรัญ กล่าวว่า ปีนี้ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย หรือ PUBAT จะเน้นจัดงานสัปดาห์หนังสือขนาดเล็กให้มากยิ่งขึ้นและเน้นให้ภาครัฐซื้อ หนังสือเข้าห้องสมุดเพิ่มขึ้นมากกว่าการรับบริจาคหนังสือเข้าห้องสมุดอย่าง ที่ผ่านมา ที่สำคัญต้องการให้พรรคการเมืองที่อยู่ระกว่างการหาเสียงในกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นจริงให้บรรจุนโยบายการอ่านหนังสือเพื่อ การหาเสียงด้วย เพื่อเป็นช่องทางที่สร้างตลาดหนังสือให้เติบโตมากขึ้นนั่นเอง
สนพ.ล้มกว่า 20 ราย - เพิ่มต่ำ 10 ราย
นายจรัญ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่า สำนักพิมพ์ขนาดเล็กจะต้องปรับตัวและเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆให้มากขึ้น ขณะที่ปีนี้เชื่อว่าจำนวนสำนักพิมพ์จะหายไปมากกว่า 20 รายมากกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนสำนักพิมพ์เกิดขึ้นน่าจะไม่เกิน 10 ราย น้อยกว่าปีก่อนเช่นกัน เนื่องจากปัญหาสำคัญของวงการและต้นทุนที่แพงจากการจัดจำหน่ายที่เก็บค่า ธรรมเนียมสูงนั่นเอง
ทว่าสำนักพิมพ์ที่จะเกิดใหม่หรืออยู่ได้ต่อไปนั้น จะต้องเป็นสำนักพิมพ์ที่เจาะกลุ่มเฉพาะเจาะจงหรือนิชมาร์เก็ต จึงจะสามารถเอาตัวอยู่รอดได้ และจากการที่ 2 เชนใหญ่ครองส่วนแบ่งร้านหนังสือทั่วประเทศไปแล้วมากกว่าครึ่ง การที่จะมีเชนร้านหนังสือขึ้นมาใหม่เป็นไปได้ยาก ยิ่งเกิดจากสำนักพิมพ์เล็กๆด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนและแข่งขันสูง
การเมืองส่งไตรมาสแรก หนังสือตก10%
ทั้งนี้ยังเชื่อว่า จากสถานการณ์ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและการมีการชุมนุมต่อเนื่องยาวนาน ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและตลาดหนังสือในขณะนี้จะส่งผลกระทบให้ไตรมาสหนึ่ง ของปี 2557 ตลาดหนังสือน่าจะลดลง 10% เทียบกับช่างเดียวกันในปีก่อน โดยในไตรมาสสองยังประเมินสถานการณ์ไมได้ แต่มองว่าถึงเวลานั้นก็ยังไม่มีรัฐบาลเกิดขึ้นดังนั้นทั้งปีนี้จึงเชื่อว่าภาพรวมตลาดหนังสือน่าจะทรงตัวหรือมีมูลค่าอยู่ที่ 25,000-30,000 ล้านบาทเช่นปีที่ผ่านมา
ตลาดหนังสือในประเทศไทยว่ากันว่ามีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และมีการเติบโตทุกปีโดยเฉลี่ย 5-10% เนื่องจากภาคเอกชนพยายามรณรงค์ส่งเสริมการอ่านมากขึ้น รวมทั้งการจัดงานหนังสือต่างๆทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
แต่ไม่วายว่า อุตสาหกรรมหนังสือนี้ ก็ต้องเผชิญกับปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ค่าการผลิตต้นทุนที่สูงขึ้นตามกระดาษหรือน้ำหมึก รวมไปถึงค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าลิขสิทธิ์ ค่าจัดพิมพ์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะปรับราคาขึ้นได้ง่ายๆ การเผชิญกับค่าขนส่ง ค่าจัดจำหน่าย ค่าจัดวาง หรือแม้แต่การเผชิญกับเทคโนโลยีที่มากระแทกตลาดหนังสือเล่ม อย่างดิจิตอลบุ๊ค
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนี้ตลาดหนังสือคงต้องเข้าสู่ภาวะวิกฤติอีกครั้ง เมื่อเสือนอนกินอย่างผู้ที่ทำหน้าที่รับจัดส่งและจำหน่ายหนังสือประกาศลั่น ว่า ต้องเพิ่มค่าธรรมเนียมในการจัดส่งหนังสือใหม่ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 2 ค่ายใหญ่แห่งวงการ คือ ซีเอ็ดและอัมรินทร์ ที่ขอขึ้นค่าธรรมเนียมและการจัดจำหน่ายหนังสือซีเอ็ด หรือชื่อเต็มทางการคือ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) มีชื่อย่อทางการค้า คือ ซีเอ็ด (SE-ED) เจ้าของร้านซีเอ็ด อัมรินทร์ หรือชื่อเต็มทางการคือ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านนายอินทร์ เนื่องจากทั้งสองค่ายนี้เป็นเชนใหญ่ของร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ในประเทศไทย มีบทบาทและถือครองตลาดรวมกันมากกว่า 50% แล้ว ทั้งในแง่จขำนวนร้านเชนหนังสือ หรือสัดส่วนรายได้ของตลาดรวม จึงมีบทบาทและมีอำนาจในการต่อรองและกำหนดทิศทางตลาดรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เรื่องของการกำหนดค่าธรรมเนียมในการขายและจัดส่ง
ขณะที่สำนักพิมพ์รายย่อยน้อยใหญ่ ต่าางก็ต้องพึ่งพาเครือข่ายของสองค่ายนี้เป็นหลัก แทบจะไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเพราะล่าสุดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมา ทั้งซีเอ็ดและนายอินทร์ ในเครืออัมรินทร์ซึ่งเป็นเชนร้านหนังสือขนาดใหญ่และรับจัดจำหน่ายหนังสือให้ กับสำนักพิมพ์ต่างๆนั้น ต่างพากันส่งเรื่องไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ เพื่อขอปรับราคารับจัด จำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% จากเดิมที่เรียกเก็บไม่น้อยอยู่แล้วถึง 40% จากราคาหน้าปกหนังสือแต่ละปก
เหตุผลหลักที่ทั้งสองค่ายนำมากล่าวอ้างเพื่อความชอบธรรมก็ยังคงเป็นเหตุผล เดิมๆ ที่ว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น ค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มเป็น 300บาทต่อวัน ขณะที่ค่ายนานอินทร์ก็มีเหตุผลใหม่เพิ่มเข้ามาที่ว่า ร้านนายอินทร์ กลายมาเป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งของอัมรินทร์ซึ่งจะต้องดำเนินงานบริหารจัดการให้ มีรายได้ของตัวเอง ให้มีกำไรเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆในเครือ ทำให้ต้องมีการบริหาร จัดการธุรกิจใหม่ จึงขอปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สำนักพิมพ์รายย่อยอ่วม
นายวิทยา ร่ำรวย บรรณาธิการบริหาร สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดรวมของหนังสือในไทยกำลังมีต้นทุนดำเนินการที่สูงขึ้น มาก ทั้งจากต้นทุนโดยตรงและโดยอ้อม โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนค่าธรรมเนียม การจัดจำหน่ายหนังสือ เพราะในช่วงปลายปี2556ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณ จากเชนร้านหนังสือรายใหญ่ที่รับจัดจำหน่ายหนังสือได้เริ่มเรียกเก็บค่า ธรรมเนียม จากร้านหนังสือรวมทั้งสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่ใช้บริการ เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 45% เทียบกับราคาปกหนังสือ ครั้งนี้เรียกเก็บกันแบบไม่เอิกเกริก ในหลายวิธีการทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย
แม้ว่าปริมาณที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้นครั้งใหม่นี้จะมี 5% แต่เมื่อรวมกับของเดิมแล้วก็ปาเข้าไปถึง 45% ซึ่งเป็นปริมาณที่มากโขเอาการอยู่ ว่ากันง่ายๆ ก็คือ เกือบจะครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ขายได้แต่ละเล่ม ต้องให้กับซีเอ็ดหรือนายอินทร์ที่เป็น คนจัดจำหน่ายไปเกือบ 50% แล้ว ครึ่งครึ่งเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือเจ้าของหนังสือก็ได้แค่หยิบมือเดียว เพราะต้องแบ่งให้กับอีกหลายส่วน นายวิทยาย้ำว่า การปรับขึ้นราคาค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายครั้งนี้ สำนักพิมพ์รายย่อยและสำนักพิมพ์รายใหม่จะได้รับผลกระทบโดยตรง หลังจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทจัดจำหน่ายหนังสือรายใหญ่ทั้ง 2 ราย คือซีเอ็ดและอัมรินทร์ มีความพยายามที่จะขอปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่ม โดยอ้างถึงค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่มเป็น 300 บาทต่อวัน แต่ไม่สำเร็จ
“ครั้งก่อนทั้งสองบริษัทจะเลือกใช้วิธีการส่งจดหมายแจ้งปรับราคาจัดจำหน่าย ขึ้นไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ครั้งนี้ต่างคนต่างทำและเลือกที่จะใช้วิธีโยนหินถามทาง โดยการใช้โทรศัพท์แทนกิอนและเลือกเฉพาะสำนักพิมพ์รายเล็กหรือเป็นรายๆไป”
ทั้งนี้ในส่วนของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ถือเป็นคู่ค้ากับทางซีเอ็ดมายาวนานจึงยังไม่มีการปรับราคาจัดจำหน่ายเพิ่ม เพราะสามารถเจรจาต่อรองกันได้ด้วยเหตุผล แต่สำหรับสำนักพิมพ์อื่นๆอาจจะได้รับผลกระทบต้องจ่ายค่าจัดจำหน่ายเพิ่มด้วย เช่นกัน
“ปัจจุบันบริษัทที่ทำธุรกิจรับจัดจำหน่ายหนังสือรายหลักๆทั่วประเทศมีอยู่ ประมาณ 3-4 ราย เช่น ซีเอ็ด อัมรินทร์ เพ็ชรไทย เป็นต้น โดยเฉพาะ 2 รายแรกนั้นเป็นรายใหญ่ถือครองตลาดมากสุด ดังนั้นหากรายใหญ่มีการปรับขึ้นราคาจัดจำหน่ายเพิ่ม ผู้รับจัดจำหน่ายรายเล็กก็มีแนวโน้มที่อาจจะปรับราคาขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”
ส่วนอัตราในการปรับขึ้นนั้นอาจจะแตกต่างกันไปเพราะต้นทุนของแต่ละสำนักพิมพ์ แตกต่างกัน ยอดขายก็แตกต่างกันด้วย ซึ่ง2 ค่ายใหญ่คือ ซีเอ็ดและอัมรินทร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกสำนักพิมพ์ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ส่วนเพ็ชรไทยลูกค้าหลักคือสำนักพิมพ์ขนาดเล็กและรายย่อย ดังนั้นการปรับราคาจัดจำหน่ายจึงน่าจะแตกต่างกัน
ดิ้นหาช่องทางขายใหม่หนีค่าธรรมเนียมโหด
ทั้งนี้หากมีการปรับราคาค่าจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจริง เชื่อว่า 1.สำนักพิมพ์รายย่อยจะมีการปรับตัวหาช่องทางขายใหม่ๆเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะมา เน้นวิธีการขายตรงกันมากขึ้น หรือการใช้กลยุทธ์ขายผ่านออนไลน์ เป็นต้น โดยจำนวนหนังสือบนแผงหนังสือจะมีจำนวนลดลง เวลาในการวางอยู่บน แผงหนังสือก็จะน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากปัจจุบันร้านหนังสือมีขนาดจำกัดค่าเช่าร้านหนังสือสูงขึ้น
สำนักพิมพ์รายใหญ่ได้เปรียบมากกว่า ดังนั้นสำนักพิมพ์รายเล็กจะให้ความ สำคัญในการออกหนังสือมากขึ้น มีการคัดกรองหรือออกหนังสือในรูปแบบนิช มาร์เก็ตมากขึ้น
2.ทิศทางตลาดหนังสือจะมีโอกาสเติบโตในช่องทางE-bookสูงขึ้น หากต้นทุนในการวางจำหน่ายในร้านหนังสือสูงขึ้น จากปัจจุบันอีบุ๊คอาจจะยัง มีขนาดเล็กอยู่ แต่ทิศทางของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้สมาร์ทโฟนและแท็ปเลทมากขึ้น และนิยมอ่านข้อมูลจากกัดเจ็ตเหล่านี้ ล้วนเป็นโอกาสให้อีบุ๊คมีโอกาสเติบโตได้
อย่างไรก็ตามมองว่าปีนี้ตลาดหนังสือกำลังอยู่ในช่วงขาลงยิ่งมีการปรับราคา การจัดจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้นด้วยแล้ว สำนักพิมพ์รายเล็กและรายใหม่ ที่จะเข้าสู่ตลาดนี้จะอยู่ลำบาก ส่วนสำนักพิมพ์ที่มีขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ยังอยู่ได้ จากฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิม แต่แนวโน้มภาพรวมการเปิดตัวหนังสือใหม่ในปีนี้จะมีเกิดขึ้น น้อยลงหรือพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น
“ตามความคิดเห็นส่วนตัว มองว่าหนังสือเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นมากนักตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสินค้าเอ็นเตอร์เทนเม้นท์อื่นๆ ขณะเดียวกันพอจะมีการปรับราคาขึ้นบ้างลูกค้าก็จะไม่ซื้อ มองว่ามีราคาแพงทั้งที่เทียบกับสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ หนังสือยังมีราคาที่ถูกกว่ามากอีกทั้งหากมีการปรับราคาหนังสือขึ้นก็จะทำให้ทั้งระบบของตลาดหนังสือมีการ ปรับราคาขึ้นตามด้วยเช่นกัน การปรับราคาหนังสือจึงไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่สิ่วที่เราหลีกหนีไม่ได้คือ การขึ้นราคาของผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่” นายวิทยากล่าว
หนังสือเด็กเจ็บตัวมากสุด
ด้านนางริสรวล อร่ามเจริญ อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ในนามกรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด กล่าวให้ความเห็นว่า หนังสือที่บริษัทผลิตจะเป็นหนังสือสำหรับเด็ก อีกทั้งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้จัดจำหน่ายเองทั้งหมด และอาจจะเลือกใช้บริการจากบริษัท จัดจำหน่ายหนังสือไปยังต่างจังหวัดบ้างเพียงเล็กน้อยแล้วแต่กรณีดังนั้นบริษัทฯจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาจัดจำหน่ายหนังสือขึ้นจาก 2 บริษัทใหญ่
แต่ทั้งนี้มองว่าในภาพรวมจะส่งลกระทบต่อวงการอย่างมาก ทุกสำนักพิมพ์และหนังสือทุกประเภทต่างก็จะได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนจะกระทบมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตหนังสือเป็นหลัก เช่น กลุ่มหนังสือสำหรับเด็กอาจจะกระทบมากหน่อย เนื่องจากมีขั้นตอน การผลิตหลายขั้นตอน ต้นทุนการผลิตจึงสูงกว่าอีกทั้งกำไรต่อเล่มก็น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มหนังสือประเภทอื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาข้อตกลงกับผู้จัด จำหน่ายหนังสือให้ด้วยว่าจะยอมให้ปรับขึ้นราคามากน้อยเพียงใด
PUBATออกโรงเจรจา สรุปปรับขึ้น 2-3%
นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือ แห่งประเทศไทย หรือ PUBAT กล่าวว่า จากกรณีที่ทางเชนร้านหนังสือ 2 เชนใหญ่คือ ซีเอ็ด และอัมรินทร์ ถือเป็นรายใหญ่ในการรับจัดจำหน่ายหนังสือนั้น ได้เริ่มปรับราคาการจัดจำหน่ายหนังสือไปบ้างแล้ว ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มกราคมที่ผ่านมา จากเดิมเรียกเก็บอัตรา 40% มาเป็น 42-43% ในเบื้องต้นทาง 2 ค่ายใหญ่ต้องการปรับเพิ่มอีก 5% แต่ทางสมาคมฯพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นอัตราที่เพิ่มมากเกินไป จึงได้พยายามเจรจาต่อรองหาทางออกร่วมกันกับ 2 ค่ายและผู้ใช้บริการ 2 ค่ายนี้ โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้สำนักพิมพ์รายเล็กรายย่อย ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้การเจรจาต่อรองสามารถบรรลุผลในระดับหนึ่ง โดยสรุปตัวเลขที่จะเรียกเก็บเพิ่มใหม่คราวนี้อยู่ที่ 2-3% เท่านั้น โดยสำนักพิมพ์ทุกขนาดได้ถูกปรับราคาขึ้นเหมือนกันหมดไม่เว้นแม้แต่สำนัก พิมพ์ขนาดใหญ่อย่างแจ่มใส ก็ตาม
2เชนใหญ่ฮุบส่วนแบ่งมากสุด
ปัจจุบันหนังสือ 1 เล่ม เมื่อสามารถขายได้แล้ว จะต้องทำการแบ่งรายได้ออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ 1.สายส่งหรือผู้จัดจำหน่าย จะได้ส่วนแบ่ง 42-43% มากที่สุด 2. เป็นต้นทุนการผลิต ประมาณ 30% 3. ผู้เขียน จะได้ส่วนแบ่งประมาณ 10% และ 4. ผู้ผลิตหรือเจ้าของสำนักพิมพ์ จะได้ประมาณ 17-18% จะเห็นได้ว่า วงจรของรายได้หนังสือนั้นสายส่งจะได้มากสุด มีอำนาจมากสุดในระบบ หากสายส่งมีการปรับราคาขึ้นอีกธุรกิจหนังสือก็จะอยู่ยาก ซึ่งปัจจุบันรายได้จากการขายหนังสือมาจาก 2 ช่องทางหลัก คือ 1.มาจากช่องทางร้านหนังสือ 50% ซึ่งก็ยากที่จะปฎิเสธว่ามาจากร้านนายอินทร์ กับร้านซีเอ็ดเป็นช่องทางหลัก 2.มาจาการขายเองผ่านช่องทางอื่นๆ 20% ส่วนอีก 30% นั้นคือส่วนที่เหลือเป็นส่วนต่างของหนังสือที่ไม่สามารถขายได้หรือถูกตีกลับ นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของผู้จัดจำหน่ายแต่อย่างใดตามสัญญา
ขณะเดียวกันต้นทุนด้านกระดาษเองปีนี้ก็ต้องแบกรับต้นทุนเช่นกัน เพราะรู้ว่าหากปรับราคาเพิ่ม ราคาปกหนังสือก็จะเพิ่มตาม และอาจจะทำให้ขายหนังสือได้ยากเพราะผู้อ่านจะมองว่ามีราคาแพงเกินไป
ทางออกเน้นสร้างช่องทางขายใหม่
ดังนั้นทางออกของปัญหาการปรับราคาค่าจัดจำหน่ายหนังสือเพิ่มที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยรายเล้ก หรือแม้แต่รายใหญ่เองที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้การกำหนดกฎเกณฑ์ของสองค่ายใหญ่ นี้ต่อไป ก็คงต้องมองหาช่องทางขายใหม่ๆ เพื่อหวังพึ่งพิงร้านหนังสือให้น้อยลง เช่น การจัดสัปดาห์หนังสือทำให้สำนักพิมพ์พบกับผู้อ่านโดยตรง ก็เป็นช่องทางสำคัญ
นายจรัญ กล่าวว่า ปีนี้ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย หรือ PUBAT จะเน้นจัดงานสัปดาห์หนังสือขนาดเล็กให้มากยิ่งขึ้นและเน้นให้ภาครัฐซื้อ หนังสือเข้าห้องสมุดเพิ่มขึ้นมากกว่าการรับบริจาคหนังสือเข้าห้องสมุดอย่าง ที่ผ่านมา ที่สำคัญต้องการให้พรรคการเมืองที่อยู่ระกว่างการหาเสียงในกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นจริงให้บรรจุนโยบายการอ่านหนังสือเพื่อ การหาเสียงด้วย เพื่อเป็นช่องทางที่สร้างตลาดหนังสือให้เติบโตมากขึ้นนั่นเอง
สนพ.ล้มกว่า 20 ราย - เพิ่มต่ำ 10 ราย
นายจรัญ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่า สำนักพิมพ์ขนาดเล็กจะต้องปรับตัวและเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆให้มากขึ้น ขณะที่ปีนี้เชื่อว่าจำนวนสำนักพิมพ์จะหายไปมากกว่า 20 รายมากกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนสำนักพิมพ์เกิดขึ้นน่าจะไม่เกิน 10 ราย น้อยกว่าปีก่อนเช่นกัน เนื่องจากปัญหาสำคัญของวงการและต้นทุนที่แพงจากการจัดจำหน่ายที่เก็บค่า ธรรมเนียมสูงนั่นเอง
ทว่าสำนักพิมพ์ที่จะเกิดใหม่หรืออยู่ได้ต่อไปนั้น จะต้องเป็นสำนักพิมพ์ที่เจาะกลุ่มเฉพาะเจาะจงหรือนิชมาร์เก็ต จึงจะสามารถเอาตัวอยู่รอดได้ และจากการที่ 2 เชนใหญ่ครองส่วนแบ่งร้านหนังสือทั่วประเทศไปแล้วมากกว่าครึ่ง การที่จะมีเชนร้านหนังสือขึ้นมาใหม่เป็นไปได้ยาก ยิ่งเกิดจากสำนักพิมพ์เล็กๆด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนและแข่งขันสูง
การเมืองส่งไตรมาสแรก หนังสือตก10%
ทั้งนี้ยังเชื่อว่า จากสถานการณ์ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและการมีการชุมนุมต่อเนื่องยาวนาน ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและตลาดหนังสือในขณะนี้จะส่งผลกระทบให้ไตรมาสหนึ่ง ของปี 2557 ตลาดหนังสือน่าจะลดลง 10% เทียบกับช่างเดียวกันในปีก่อน โดยในไตรมาสสองยังประเมินสถานการณ์ไมได้ แต่มองว่าถึงเวลานั้นก็ยังไม่มีรัฐบาลเกิดขึ้นดังนั้นทั้งปีนี้จึงเชื่อว่าภาพรวมตลาดหนังสือน่าจะทรงตัวหรือมีมูลค่าอยู่ที่ 25,000-30,000 ล้านบาทเช่นปีที่ผ่านมา