ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-“ถือว่าเป็นครั้งแรกในการจัดงานลักษณะนี้ เพราะเคยสัญญาว่าถ้ารายได้ของกลุ่มแตะ 10,000 ล้านบาท จะจัดงานแบบนี้ขึ้นมา” คำกล่าวเปิดงาน เสมือนประกาศความสำเร็จของอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ในงานแถลงนโยบายและทิศทางธุรกิจของบริษัทเจมาร์ท เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ธุรกิจที่เติบโตมาจากตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า และก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจมือถืออย่างอย่างเต็มตัว ตั้งแต่ปี 2538 ล่วงเลยมาขึ้นปีที่ 25ในปีนี้ ธุรกิจร้านค้าโทรศัพท์มือถือแบบเชนสโตร์ของเจมาร์ทที่เริ่มจากขยายร้านค้าทีละ 2-3 แห่ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เจมาร์ทได้ก้าวขึ้นมาครองความเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจร้านค้าโทรศัพท์มือถือ ด้วยจำนวนสาขา 255 แห่ง
และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มให้ได้ 300 สาขาทั่วประเทศ
“25 ปี ในความรู้สึกของคนไทยจะดีหรือไม่ดี แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จวบจน 25 ปีนี้ บริษัทเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เพราะธุรกิจของเรามีองค์ประกอบ 2 อย่างที่เป็นจุดเด่น คือ 1. Capacity (ความจุ) และ 2. Speed
(ความเร็ว) ซึ่งถ้าคุณมี 2 อย่างนี้ คุณจะไปได้ไกลกว่าคู่แข่ง” คำกล่าวของอดิศักดิ์ที่ตอกย้ำถึงความสำเร็จของเจมาร์ท
ท่ามกลางกระแสความร้อนแรงของการเมืองที่ฉุดกำลังซื้อให้ลดลง แต่เจมาร์ทไม่หวั่นปัจจัยลบ พร้อมยังใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการดำเนินธุรกิจ โดยในปีนี้จะรุกหนักธุรกิจจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เจมาร์ทคาดว่าภาพรวมตลาดโทรศัพท์มือถือปีนี้จะมีประมาณ 25 ล้านเครื่อง แม้ปัจจัยภายนอกจะเป็นลบแต่จากการขยายโครงข่าย 3G ครอบคลุมทั่วประเทศ และโครงข่าย 4Gของโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดนี้ยังคงเติบโต เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องแสวงหาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป แต่อย่างไรก็ตาม เจมาร์ทก็มีการเตรียมแผนรองรับไว้ในกรณีเกิดเหตุร้ายแรงเช่นกัน และคาดว่าเป้ารายได้ที่วางไว้จะบวกลบไม่เกิน 5%”
ปีที่ผ่านมา เจมาร์ทสามารถจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ 1.27 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะสามารถจำหน่ายได้ถึง 1.7 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้ของเจมาร์ทมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยปี 2013 เจมาร์ทเติบโต 23% เมื่อเทียบกับปี 2012 และมีการเติบโตกำไร 40% แม้จะมีผลกระทบบ้างในช่วงไตรมาส 4 แต่เป็นการเติบโตที่สูงและต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ไม่มาก
“จริงๆ แล้วเราโฟกัสที่ผลกำไรมากกว่ายอดขาย ยอดรายได้ไม่เคยโตต่ำกว่า 20% เลยในระยะ 3 ปี ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากทีมงานที่มีคุณภาพ
จากปีที่แล้ว ที่ปิดที่ยอดรายได้ 10,000 ล้านบาท ในปีนี้ เครือเจมาร์ทได้ประมาณการเติบโตทั้งกลุ่มเจมาร์ท ไว้ที่ 35% ตั้งเป้าหมายสร้างกำไรเพิ่มขึ้น 25% ตั้งเป้ายอดรายได้ไว้ 13,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการส่งสารจากองค์กรที่เจมาร์ทต้องเดินไปให้ถึง
สำหรับทิศทางในการดำเนินธุรกิจปีนี้ ณ ในปัจจุบันกลุ่มเจมาร์ทประกอบด้วยบริษัทในเครือ3 บริษัท ได้แก่ บริษัทเจมาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ธุรกิจขายมือถือเป็นหลัก ตามด้วยบริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือJMT บริษัทติดตามเร่งรัดหนี้สิน และบริษัทน้องใหม่ที่มีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปีนี้ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท (JAS Asset) ที่มุ่งเน้นธุรกิจบริการพื้นที่เช่า ค้าปลีก ไอทีฟังก์ชัน
การดำเนินธุรกิจปีนี้ กลุ่มในเครือเจมาร์ทมีแผนการลงทุนในธุรกิจเพิ่มอีก 1,760 ล้านบาท จากปีที่แล้วเจมาร์ทได้ลงทุนไป 730 ล้านบาท และในปีนี้จะลงทุนเพื่อปรับปรุงร้านค้าของเจมาร์ท 430 ล้านบาท และใช้งบ 700 ล้านบาทลงทุนในบริษัท เจเอ็มที บริษัทที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อใช้ในการซื้อหนี้ และบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ทใช้งบ 630 ล้านบาท เพื่อการซื้อพื้นที่ให้บริการเพิ่ม
ทั้งนี้ เจมาร์ทคาดว่าธุรกิจน้องใหม่นี้ ภายใน 3 ปีจะมีสาขารวมกว่า 100 สาขา จากปัจจุบันที่มี 42 สาขา และจะมีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมการขยายธุรกิจใหม่ โดยเปิดโครงการ “The JAS” ศูนย์การค้าชุมชน (Neighbourhood Lifestyle mall) ที่อำนวยความสะดวกครบวงจร สำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ 2 สาขา คือ อำเภอวังหินและลาดปลาเค้า ในสิ้นปีนี้และกลางปีหน้า ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีแผนระดมทุนในตลาดในช่วงปลายปีนี้
อดิศักดิ์มองว่าการเข้ามาในตลาดทุนนั้นจะทำให้เจมาร์ทสามารถขยายตัวและสร้างศักยภาพได้เร็ว และมากกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ เงินทุนจะมาจาก finance และการระดมเงินทุน และทุกครั้งที่เข้าตลาด ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน
“เจมาร์ทจะทำธุรกิจที่ contact กับ consumer เท่านั้น เพราะทุกธุรกิจจะเป็น solution ระยะยาว”
และด้วยกลยุทธ์การทำตลาดในเชิงรุก ในปีนี้เจมาร์ทจะใช้บริษัท Jas ที่มีดีลเลอร์ 9,000 ราย เป็นแขนขาอีกซีกหนึ่งในการทำการตลาด พร้อมทั้งจับกลุ่มลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก โดยจะเน้นลูกค้าต่างจังหวัดให้ครอบคลุมทุกภาค ขยายสาขาให้ได้ 300 สาขาในสิ้นปีนี้เพื่อให้เข้าถึงตัวลูกค้า และสร้างแบรนด์เจมาร์ทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมการขายลูกค้าใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาฐานลูกค้าเก่า การจัดevent โดยปีนี้จะเป็นปีแรกที่มีการทำ CRM มีโลโก ENDLESS 25 ปีเจมาร์ท ซึ่งเป็นการเปิดแคมเปญฉลองครบ 25 ปี ของบริษัทฯ ด้วย
ซึ่งจะมีการจัด event ที่มุ่งไปต่างจังหวัด ในตลาดที่มี Marketing size ที่ใหญ่ ในขณะเดียวกันเจมาร์ทก็พร้อมรุกเข้าสู่ AEC ซึ่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าที่ใหญ่ในอนาคต ทั้งนี้ เจมาร์ทได้ประเดิมเข้าไปที่เมียนมาร์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องไลเซนส์อยู่
“จากบริษัทฯ ที่ไม่เป็นที่รู้จักของใครมาก่อน ปัจจุบันเราติด 1ใน 100 บริษัทที่มีคุณภาพของประเทศไทย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเราภูมิใจในการเติบโตที่เห็นผลและยั่งยืน” อดิศักดิ์กล่าวพร้อมประโยคปิดท้ายที่ว่า
“ผมเชื่อเรื่องความท้าทาย ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ อีก 4 ปีจากนี้หรือประมาณปี 2560 รายได้รวมของเครือเจมาร์ทจะไปถึง27,000 ล้านบาท
เจมาร์ทจะข้ามก้าวไปถึงฝันหรือไม่ คงต้องคอยดู ท่ามกลางกระแสความร้อนแรงของการเมืองไทยในขณะนี้