สัตว์นรกวางบึ้ม กปปส.รายวัน ล่าสุดขว้างระเบิด 2 ลูกกลางฝูงชนหลังเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ็บอื้อสาหัสเพียบ เป็นระเบิดแบบเดียวกับที่ บรรทัดทอง เลขาฯ สมช.เผย ตำรวจขอให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ต้องหารือทหารก่อน "ประยุทธ์" บอกเสียใจ วอน ผบ.ตร.สางคดีผู้ไม่หวังดีก่อเหตุ ขณะที่ "ปึ้ง" โยนผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ "รอยเตอร์" ชี้เหตุบึ้มอาจทำให้ทหารออกมายุติปัญหาทางตัน แฉเตรียม "ฮ." สแตนบายให้ "ปู" 2 ลำไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน
เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.วานนี้ (19 ม.ค.) เกิดเหตุระเบิด 2 จุด ที่บริเวณเวทีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยจุดแรกอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี อยู่ด้านหลังเวทีปราศรัย ใกล้กับเต๊นท์สื่อมวลชน หลุดระเบิดกว้างประมาณ 5 ซม. ลึก 2 ซม. มีสะเก็ดระเบิดตกอยู่บริเวณโดยรอบ ใกล้กันพบกระเดื่องตกอยู่บริเวณริมฟุตบาท
ส่วนจุดที่ 2 อยู่บริเวณริมฟุตบาท เชิงสะพานลอย ถนนราชวิถี ซึ่งเป็นซุ้มขายเสื้อผ้าของทางกลุ่มผู้ชุมนุม พบหลุมระเบิดกว้าง5 ซม. ลึก2 ซม. พบคราบเลือด และสะเก็ดระเบิดตกอยู่ไปทั่วบริเวณ เศษเสื้อผ้าขาดกระจัดกระจาย ใกล้เคียงพบกระเดื่องตกอยู่บริเวณริมฟุตบาทเกาะกลางถนน และพบสลักระเบิดตกอยู่ นอกจากนี้ ยังพบรถกระบะ โตโยต้า วีโก้ สีขาว หมายเลขทะเบียน บน 7412 นนทบุรี และรถตู้วิน โตโยต้า สีขาว หมายเลขทะเบียน ฮน 6507 กทม. ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหาย
จากการตรวจสอบพบว่า มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 28 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลราชวิถี 13 ราย โรงพยาบาลรามา 9 ราย โรงพยาบาลพระมงกุฎ 2 ราย และโรงพยาบาลจุฬา 4 ราย ซึ่งผู้บาดเจ็บมีอาการสาหัส 7 ราย และหนึ่งในนั้นมีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ ชื่อน.ส.สิทธิณี ห่วงนาค อายุ 43 ปี รวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ การ์ดของกลุ่ม กปปส. เล่าว่า ขณะเกิดเหตุได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากทางด้านหลังเวที ใกล้เคียงกับเต๊นท์ของสื่อมวลชน ตนพร้อมการ์ดคนอื่นๆ จึงได้วิ่งไปดู เห็นคนร้ายเป็นชาย สวมเสื้อสีขาวด้านใน สวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีเขียว คนร้ายวิ่งมาทางถนนราชวิถี พวกตนจึงวิ่งไล่ตามไป แต่ระหว่างนั้นคนร้ายได้ชักปืนยิ่งขึ้นฟ้า 3 นัด และวิ่งไปยังข้างโรงพยาบาลราชวิถี แล้ววิ่งขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม จากนั้นคนร้ายได้ขว้างระเบิดลงมาด้านล่างบริเวณริมฟุตบาท จุดที่ 2 อีกครั้ง ทำให้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังเกิดระเบิด ผู้ชุมนุมได้มีการตกใจแตกฮือกันเป็นอย่างมาก และผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามที่จะวิ่งตามคนร้ายไป จากนั้นคนร้ายได้วิ่งเข้า ซอยราชวิถี 14 หรือ ซอยวัดมะกอก ซึ่งทางการ์ด กปปส.ได้วิ่งไล่ตามไป รวมทั้งมีวินจยย. ใกล้เคียงวิ่งไล่ตามคนร้ายไปด้วย แต่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงสวนมา ทำให้ถูก จยย.รับจ้าง ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะที่คนร้ายวิ่งหนีเข้าไปภายในซอยราชวิถี 14 ซึ่งขณะนั้นมีกลุ่มการ์ด กปปส. และกลุ่มวินจยย. พร้อมทั้ง นายมานพ ชนินนัตติพงศ์ อายุ 45 ปี ทำงานอยู่ที่กรมอู่ทหารเรือ ได้วิ่งตามคนร้ายไปติดๆ โดยภายในซอยดังกล่าวเป็นซอยตัน จึงคิดว่าคนร้ายจะต้องจนมุมแน่ๆ แต่ปรากฏว่า คนร้ายได้วิ่งเข้าไปหลบในบ้านหลังสุดท้าย ซึ่งเป็นบ้านของนายมานพ นั่นเอง จากนั้นนายมานพ ก็ได้เข้าไปล็อกตัวคนร้าย แต่คนร้ายได้สะบัดพยายามจะหลบหนีพร้อมชักอาวุธปืนไม่ทราบชนิด ยิงใส่ท้องของนายมานพ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไปทางด้านหลังบ้าน โดยถีบสังกะสีหลังบ้านพังเสียหาย แล้วหลบหนีไปทางวัดมะกอก
จากการสอบถาม นางจำนง ชินวงศ์ อายุ 45 ปี ชาวนครศรีธรรมราช หนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งขายของอยู่บริเวณเชิงสะพานลอย ริมถนนราชวิถี พบเห็นกลุ่มการ์ด กปปส.วิ่งไล่ชายคนร้ายมา จากนั้นเห็นคนร้ายวิ่งขึ้นสะพานลอย ก่อนที่จะขว้างระเบิดลูกที่ 2 ตามมา และระเบิดได้มาตกอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ตนขายของอยู่จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ซึ่งทำให้ตนได้รับบาดเจ็บ แผงค้าขายเสียหาย ตนจึงได้ค่อยๆ คลานออกมา และมีพลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาล
**ระเบิดแบบเดียวกับที่ถนนบรรทัดทอง
ต่อมาเวลาประมาณ 14.30 น. พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบก.พฐก.) พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผกก.สน.พญาไท พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยดีโอดี ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุระเบิดทั้ง 2 จุด เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ รวมทั้งภายในซอยราชวิถี 14 ด้วย ซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายหลบหนีไป โดยเบื้องต้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ และเตรียมประสานขอภาพจากกล้องจรปิด ที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุเพื่อมาตรวจสอบทั้งหมด
พ.ต.อ.กำธร เปิดเผยภายหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า ระเบิดทั้ง 2 จุด เป็นระเบิดชนิดเดียวกันคือ อาร์จีดี 5 (RGD5) ซึ่งผลิตในรัสเซีย เนื่องจากพบกระเดื่องระเบิดทั้ง 2 จุด และพบว่าเป็นระเบิดชนิดเดียวกับเหตุระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง ด้วย
ต่อมานายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุมีบุคคลต้องสงสัย มาสำรวจพื้นที่บริเวณเต๊นท์ด้านหลังเวทีปราศรัย หลังจากนั้นการ์ดได้นำตัวออกจากพื้นที่ และหลังจากนั้นไม่นาน คนร้ายได้ขว้างระเบิดสังหารมาถูกต้นไม้ และตกลงพื้นก่อนจะเกิดระเบิดขึ้นบริเวณด้านหลังเวที โดยมีผู้หญิงหนึ่งคนที่เห็นเหตุการณ์ และการ์ด กปปส.จำนวนหนึ่งไล่ตามไป ทำให้คนร้ายขว้างระเบิดลูกที่ 2 มาอีก บริเวณสะพานลอยข้างโรงพยาบาลราชวิถี ประชาชนก็ช่วยกันวิ่งไล่ตามไปอีก คนร้ายจึงได้วิ่งหลบหนีเข้าซอยไปและชักปืนยิงใส่ 1 นัด เบื้องต้นคาดว่ากลุ่มคนร้ายมีประมาณ 6 คน และหนึ่งในนั้นเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ โดยได้ขึ้นจักรยานยนต์หลบหนีไปทางแยกตึกชัย ซึ่งตนคาดว่า เบื้องต้นคนร้ายหวังจะขว้างระเบิดใส่ตน เพราะก่อนหน้านี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในพื้นที่การชุมนุม แต่การ์ดเชิญตัวออกไปจากนั้นก็พบชายลักษณะมีพฤติกรรมแปลกๆ วนเวียนอยู่ด้านหลังเวทีอีก
“ขณะเกิดเหตุผมได้นั่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง ในเรื่องมาตรการในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งจากวิถีของระเบิด เชื่อว่าน่าจะมีจุดมุ่งหมายมาที่แกนนำ เพราะวิถีพุ่งมาทางเต็นท์ของแกนนำอย่างชัดเจน”นายถาวรกล่าว
**"วรพงษ์" ลั่นจับคนร้ายได้แน่
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงเหตุปาระเบิด ที่ เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยานรายหนึ่ง ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี คาดว่าคดีนี้ น่าจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ ทาง ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้าไปกำกับดูแลการสืบสวนสอบสวน
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผบ.ตร.ได้สั่งให้ระดมทีมสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่ หาวัตถุพยานและพยานบุคคลโดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้นให้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อจับกุมคนร้ายให้ได้ หลังเกิดเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ผบ.ตร.ได้สั่งให้ทางตำรวจ ทบทวนมาตรการความปลอดภัย ประสานกับ นายถาวร เสนเนียม แกนนำ ที่เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยได้ตกลงกับแกนนนำว่า ตำรวจจะรับผิดชอบตั้งด่านตรวจ ตั้งแต่เวลา 01.00 น. -05.00 น. นอกเหนือเวลาดังกล่าว ทางการ์ดผู้ชุมนุม จะเป็นผู้รับผิดชอบ และเราจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยให้มากขึ้น
พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ระเบิดที่พบในครั้งนี้ มีลักษณะใกล้เคียงกับระเบิดที่ใช้บนถนบรรทัดทอง แต่ยังสรุปไม่ได้ว่า ชนิดเดียวกันหรือไม่ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่ ระเบิดที่บรรทัดทองเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่พบย่านบางนา แต่มีตัวเลขล็อตนัมเบอร์ คนละชุดกัน ที่บางนาล็อตนับเบอร์ 152 แต่ที่บรรทัดทองล็อตนัมเบอร์ 48
สำหรับคนร้าย เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นฝ่ายไหน แต่ต้องเข้มเรื่องขอความปลอดภัย ว่าทำไมคนร้ายจึงสามารถแฝงตัวเข้ามาร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม มาปาระเบิดตรงหลังเวทีได้ ไม่ได้เป็นการขว้างในระยะไกลมาถึงหลังเวที ทั้งมีอาวุธปืน และระเบิดมาด้วย การ์ด กปปส. กับตำรวจ ก็ต้องมาปรับเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย
ที่ผ่านมาโดยรอบ เราก็ได้มีการตั้งด่าน 43 จุด อยู่ตลอดและมีผลการจับกุมอาวุธโดยตลอด วันนี้เราได้เข้าพื้นที่เร็วได้พยานหลักฐานชัดเจนทำให้มีความมั่นใจลึกๆ ว่าจะสามารถจับกุมคนร้ายได้ ส่วนเป้าหมายการสังหาร ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาเรายังไม่ทราบว่าเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันหรือไม่ และตอนนี้ก็ยังไม่สามารถออกหมายจับใครได้ เพราะเหตุเกิดขึ้นได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน
** เตรียมประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ระเบิดที่เวทีชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พบว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 28 ราย และสาหัส 7 ราย ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ ไม่ใช้แค่ช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น ที่สำคัญพบว่าคนร้ายมีการแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม
นอกจากนี้ การประกาศยกระดับการชุมนุมในพื้นที่ภาคใต้เท่ากับเป็นการขยายพื้นที่ทำให้การดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“สถานการณ์ความรุนแรงขณะนี้ ถือว่าเข้าข่ายประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว เนื่องจากเกิดเหตุความรุนแรง ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งเหลือเพียงแต่เงื่อนไขการก่อการร้ายเท่านั้น โดยจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงชุมนุมปิดกทม. ทำให้ 2 -3วันที่ผ่านมา ทางตำรวจที่เป็นฝ่ายปฏิบัติได้เสนอรัฐบาลขอใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัย โดยใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นการปราบปรามประชาชน เนื่องจากมีความจำเป็นในการบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ ทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการจัดระเบียบสื่อ แต่ทั้งนี้ จะต้องมีการหารือระหว่างทหารกับตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอีกครั้งหนึ่งก่อน ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกฯ แน่นอนว่า จะต้องมีการยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยผู้นำตามหลักสากล โดยเฉพาะการปฏิบัติภารกิจนายกฯ จะไม่มีการเปิดเผยล่วงหน้า”พล.ท.ภราดร กล่าว
**“ประยุทธ์” เสียใจบึ้มอนุสาวรีย์
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. รับทราบสถานการณ์แล้ว ซึ่งท่านรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้จึงได้สั่งให้ทหารประสานกับศอ.รส. เพื่อพิจารณาปรับจุดตรวจร่วม พร้อมประสานพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เพื่อเร่งรัดการดำเนินการในด้านคดีเหตุรุนแรงทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มใด แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการอยู่ โดยมีกระแสข่าวจำนวนมาก ตั้งสมมติฐานว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีต้องการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในช่วงนี้ เพราะอาจส่งผลทำให้ยอดผู้ร่วมชุมนุมลดน้อยลง โดยในมุมมองของฝ่ายความมั่นคง ประเมินว่า เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะผลลัพธ์มีโอกาสเกิดขึ้นในทางตรงข้ามได้สูง เพราะการใช้ความรุนแรง กระทำต่อกันจะเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมในการปลุกเร้าให้คนที่ไม่เห็นด้วย ยิ่งอยากออกมาทวงคืนความเป็นธรรมมากกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ทำให้การแก้ปัญหาในภาพรวม ได้รับผลกระทบ
ด้านร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอประณามการใช้ความรุนแรง เพื่อแสวงประโยชน์ทางการเมืองทุกรูปแบบ โดยเอาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นเหยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุระเบิดที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้สื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งน่าสงสัยว่า ผู้กระทำอาจต้องการสร้างภาพว่า สถานการณ์การเมืองมีความรุนแรง และบ้านเมืองมีความไม่สงบเรียบร้อย เพื่อกดดันรัฐบาล หรือกดดันให้กองทัพ เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ทั้งๆที่นายทหารระดับสูง ได้ออกมายืนยันหลายครั้งแล้วว่าขอวางตัวเป็นกลาง และไม่ต้องการเลือกข้าง
ดังนั้นรัฐบาลจึงขอเรียกร้องให้ผู้ไม่หวังดีหยุดสร้างสถานการณ์ และอย่าจับประชาชน หรือสื่อมวลชนเป็นตัวประกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง รวมทั้งขอให้ แกนนำ กปปส. เพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุม โดยเฉพาะสื่อมวลชน ทั้งนี้ เพื่อให้สื่อมวลชนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะเร่งสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายอย่างเต็มที่
ในขณะที่มาตรการเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ผู้ได้รับผลกระทบจะได้รับเงินเยียวยาตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลเคยมอบให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 53 โดยขอให้ผู้ได้รับผลกระทบ หรือญาติพี่น้องที่ได้รับมอบอำนาจรีบแจ้งความที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ จากนั้นให้ยื่นคำร้องขอรับเงินเยียวยาได้ที่สำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอ ทุกท่านตามแล้วแต่ความสะดวกของท่าน หากมีข้อติดขัดหรือมีข้อสงสัย ขอให้รีบแจ้งเข้ามาที่กระทรวงมหาดไทย หรือศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล
**ศูนย์เอราวัณ สรุปมีผู้บาดเจ็บ 28 ราย
เมื่อเวลา 17.35 น. วานนี้ ศูนย์เอราวัณ กทม. สรุปจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดบริเวณอุนสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. โดยข้อมูลเมื่อเวลา 17.00 น. ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 28 ราย ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 9 ราย รอผลการรักษา 10 ราย แบ่งเป็นนำส่ง รพ.รามาธิบดี 9 ราย ในจำนวนนี้ รับยาและกลับบ้านแล้ว 4 ราย รับรักษาตัวในโรงพยาบาล 2 ราย รอผลการรักษา 3 ราย รพ.ราชวิถี 13 ราย ในจำนวนนี้รับยาและกลับบ้านแล้ว 2 ราย รับรักษาตัวในโรงพยาบาล 4 ราย ส่งต่อ รพ.พญาไท 2 จำนวน 1 ราย รอผลการรักษา 6 ราย รพ.พระมงกุฏเกล้า 2 ราย รับรักษาตัวในโรงพยาบาลทั้ง 2 ราย และ รพ.จุฬาลงกรณ์ 4 ราย รับยาและกลับบ้านแล้ว 3 ราย รอผลการรักษา 1 ราย ทั้งนี้ ผู้บาดเจ็บ 1 รายที่ รพ.พระมงกุฏเกล้าต้องทำการผ่าตัดช่องท้อง เนื่องจากแผลทะลุช่องท้อง และ รพ.ราชวิถี 1 ราย ต้องเข้าห้องผ่าตัดเช่นกัน เนื่องจากเลือดคั่งในสอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับ น.ส.สิทธิณี ห่วงนาค ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิด นำส่ง รพ.ราชวิถี นั้น ขณะนี้มีรายงานว่า ปลอดภัยดีแล้ว
**"ปึ้ง"โยนผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์บึ้ม
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (19 ม.ค.) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะกำกับดูแล ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์ และเตรียมพร้อมรับมือการยกระดับการชุมนุมในกทม. และต่างจังหวัดในสัปดาห์หน้า ของกลุ่มกปปส.
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายสุรพงษ์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันแถลงถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน เหตุปาระเบิดใส่ขบวน กปปส. ที่ถนนบรรทัดทอง เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ว่า ทาง ศอ.รส.ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวน หาข้อเท็จจริง และหาตัวคนร้ายที่ปาระเบิดมาลงโทษโดยเร็ว พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้หาข้อเท็จจริงด้วยการเก็บพยานหลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ การสอบสวนพยานบุคคล การตรวจสอบพยานวัตถุต่างๆ รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่บันทึกไว้จากกล้องซีซีทีวี ในบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบข้อเท็จจริง ดังนี้
1. จุดที่ตรวจพบปืนอัดลม หรือบีบีกัน อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ ดังนั้นจุดที่ตรวจพบปืนที่เป็นของเล่นดังลก่าว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นจุดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ
2. การสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่สามารถเข้าไปถึงพื้ที่ดังลก่าวได้ทันที เนื่องจากการ์ด กปปส.กันตัวออก โดยอนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้
3. จากการสำรวจบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ พบว่า โอกาสที่ระเบิดจะถูกโยนจากอาคารโดยรอบมายังจุดระเบิดเป็นไปได้ยาก หากโยนจากอาคารดังกล่าวจริง โอกาสที่ระเบิดจะโดนสิ่งกีดขวางมีสูง เพราะวิถีของระเบิดที่มาจากที่สูงจะมีต้นไม้และสายไฟเป็นอุปสรรค์ขัดขวาง จากการตรวจสอบภาพวีดีโอ และกล้องซีซีทีวี และจากภาพวีดีโอที่บันทึกไว้จากสื่อมวลชนขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามรถยืนยันข้อเท็จจริง และไม่สามารถแต่งเติมได้ เพราะเป็นภาพเหตุการที่ปรากฏอยู่ทั่วไป และปรากฏหลักฐานชัดเจน
“บริเวณพื้นที่เกิดเหตุระเบิดเป็นพื้นที่ว่าง ดังนั้นการเกิดระเบิด หากมีวัตถุสิ่งใดตกมาที่พื้นย่อมต้องสามารถมองเห็นได้ แต่จากการตรวจสอบภาพวีดีโอ อย่างละเอียดพบว่า ไม่มีวัตถุตกลงมาที่พื้นเลย ดังนั้นเชื่อได้ว่า ไม่มีผู้ใดโยนระเบิดมากจาที่สูง และจากการตรวจสอบภาพวีดีโอ อย่างละเอียด ตรวจพบชายต้องสงสัย สวมหมวกสีขาว เดินเร็วมาจากท้ายขบวน และมีพฤติกรรมต้องสงสัยเป็นผู้ก่อเหตุ โดยหลังจากวางระเบิดแล้วตนเองได้หลบเข้าที่กำบัง ซึ่งเป็นตู้เหล็กชุมสายโทรศัพท์ จากนั้นเกิดระเบิดขึ้น และหลังจากเหตุระเบิดชายคนขับรถปิ๊กอัพ ได้วิ่งออกจากรถเข้าไปหาชายสวมหมวกขาวที่หลบอยู่หลังตู้เหล็กชุมสายทาศัพท์ และหลังเกิดเหตุจากภาพวีดีโอที่ปรากฏพบว่า มีชายต้องสงสังทั้งสองคนเดินเข้าไปเก็บวัตถุบางอย่างในจุดใกล้ระเบิด โดยไม่สนใจคนเจ็บที่นอนอยู่รอบๆ แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติการครั้ง นี้มีการทำงานเป็นทีม ฉะนั้นจากที่รายงานแสดงให้เห็นว่า การก่อเหตุครั่งนี้เป็นการกระทำของกลุ่มที่เดินทางร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนหาพยายนหลักฐาน นำตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด”พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า ผู้ชุมนุมก่อเหตุสร้างสถานการณ์ พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวว่า ยืนยันได้ มีทั้งภาพ และเสียงที่ชัดเจน เบื้องต้นมี 2 คนในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย
ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลขอยืนยัน เหตุการณ์ระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง เป็นการสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง โดยมีเป้าหมายคือ ทำให้ประชาชนคนบริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่เป็นการมุ่งร้ายต่อแกนนำ อย่างที่มีความพยายามสร้างเรื่อง และบิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่ในขณะนี้ และพื้นที่เหตุการณ์ และห้วงเวลาที่เกิดเหตุ ตำรวจผู้รับผิดชอบไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากแกนนำ กปปส. เหตุการณ์ลักษณะนี้ เห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ และเก็บหลักฐานต่างๆได้ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า มีกลุ่มไม่ประสงค์ดี ที่ร่วมในการชุมนุม พยายามสร้างสถานการณ์ เพื่อกล่าวหาใส่ร้ายต่อรัฐบาล
**เตรียม ฮ.ให้“ปู”2 ลำกรณีฉุกเฉิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายความมั่นคงได้มีการจัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไว้จำนวน 2 ลำ ให้กับนายกฯ เพื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน และใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ โดยก่อนหน้านี้ เฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเคยมาประจำการอยู่ที่ลานจอดรถบริเวณอิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ซึ่งอยู่ติดกับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในช่วงที่นายกฯ มาปฏิบัติภารกิจในสถานที่ดังกล่าวในวันแรก
อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งวันนายกฯไม่ได้เดินทางมายังสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และไม่ได้พักอยู่ที่บ้านซอยโยธินพัฒนา 3 แต่ยังคงเก็บตัวอยู่ที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่งเพื่อความปลอดภัย โดยติดตามและรับฟังรายงานสถานการณ์จาก ศอ.รส. เป็นระยะ
ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ได้รายงานเหตุระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้นายกฯรับทราบแล้ว
**จวกศอ.รส.ชั่ว หาผู้ชุมนุมโยนบึ้มเอง
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มกปปส. ที่เวทีปทุมวัน ภายหลังจากที่มีการปาระเบิด ที่ถนนบรรทัดทอง เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีการปาระเบิดที่เวทีการชุมนุม กปปส. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยของเวทีนี้ จะมีมาตรการเข้มงวดสูงสุด มีการสแกนอาวุธ มีการตรวจกระเป๋าก่อนเข้ามายังเวที ส่วนบริเวณโดยรอบเวทีได้มีการเพิ่มกำลังคนดูแลรักษาความปลอดภัยมากขึ้น และจะมีการขยายแนวป้องกันรอบเวทีออกไปเพิ่มจำนวนหน่วยลาดตระเวนรอบสถานที่ชุมนุมให้มากขึ้น
นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า การรักษาความปลอดภัยนั้นทำบนพื้นฐานของความไม่ประมาทไม่ได้กลัว หรือขี้ขลาดแต่อย่างใด เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีก หรือไม่แต่เป้าหมายคือดูแลผู้ชุมนุม ส่วนการตั้งด่านร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมองว่า ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะไม่มีการค้นรถกระบะ หรือรถแท็กซี่ที่ผ่านเข้ามาแต่กลับไปตรวจค้นรถพยาบาลที่ออกจากเวทีการชุมนุมแทน เป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับแพทย์และพยาบาล
ทั้งนี้ไม่หวังอะไรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตอนนี้ประชาชนต้องพึ่งตัวเอง และการแถลงของ ศอ.รส.ในวันนี้ ถือเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เพราะมีการกล่าวหาว่า ผู้ชุมนุมโยนระเบิดกันเอง
**ชี้เหตุบึ้มทำให้กองทัพออกมายุติทางตัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ถึงเหตุการณ์ระเบิด ที่ถนนบรรทัดทอง ทำให้ผู้ประท้วงบาดเจ็บมากกว่า 30 คน และเสียชีวิต 1 คน โดยยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นฝ่ายลอบทำร้าย แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียง 2 สัปดาห์ ที่ไทยกำลังจะจัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 2 ก.พ.
ทั้งนี้ รอยเตอร์ มีความเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะยกระดับความเสี่ยง ที่กองทัพจะเข้ามายุติทางตันที่เริ่มสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ด้านสำนักข่าวเอพีรายงานว่า ฝ่ายผู้ประท้วงรัฐบาลนั้น ตระหนักแก่ใจตัวเองดีแล้วว่าไม่อาจทำให้เป้าหมายที่ตัวเองวางไว้บรรลุผล ดังนั้นผู้ประท้วงจึงมองไปที่ทหาร โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก โดยผู้ประท้วงมีความเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้ที่มีความสามารถในการโค่นล้มรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และในขณะเดียวกัน เอพี ระบุว่า ในพิธีสวนสนามเนื่องในวันกองทัพไทย เมื่อวันที่ 18ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ยังยึดติดอยู่กับสาระเดิมๆ ย้ำเตือนหน้าที่ของเหล่าทหาร ว่า เพื่อดูแลรักษาความมั่นคง และความอยู่ดีกินดีของชาติ
**กสม.ประณามเหตุระเบิดที่บรรทัดทอง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์การชุมนุมของ กปปส. เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเห็นว่า จากการเดินรณรงค์เพื่อชักชวนให้ประชาชนมาร่วมการชุมนุม เกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง โดยใช้ระเบิดสังหาร อาวุธสงคราม ที่บริเวณถนนบรรทัดทอง จนกระทั่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 39 ราย และเสียชีวิต1 ราย ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงสูงสุด ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อีกทั้งได้เน้นย้ำข้อวิตก กังวล และห่วงใยต่อสถานการณ์ที่จะเกิดความรุนแรงขึ้น โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดแนวทางสันติในการแก้ปัญหา เคารพสิทธิซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียและญาติมิตรในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเหตุการณ์เหล่านี้ยังดำเนินต่อไป คาดว่าจะนำไปสู่ความรุนแรง และความแตกร้าวยิ่งขึ้นในสังคมไทย จนยากที่จะเยียวยา อันเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยทุกฝ่ายไม่ปรารถนา
** คปท.กดดันให้ตร.ออกจากทำเนียบฯ
ส่วนที่เวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ได้ไปชุมนุมกดดันตำรวจ ให้ออกจากพื้นที่ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยนายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท.ได้หารือกับตัวแทนทหารรักษาการณ์ในทำเนียบรัฐบาล และตำรวจ โดยขอให้ถอนกำลังตำรวจออกเนื่องจากมีจำนวนมากเกินไปจาก 4-5 กองร้อยให้เหลือเพียง 1 กองร้อย โดยทางทหารได้กลับไปขอหารือกับตำรวจอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายนัสเซอร์ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ทางคปท.เห็นว่าภายในทำเนียบมีตำรวจอาศัยมากเกินไป ไม่รู้ว่ามาอยู่เพื่ออะไร เหมือนอยู่กินนอนไปวันๆ ไม่เคยออกมาปกป้องผู้ชุมนุมเมื่อถูกทำร้าย แถมจะสร้างแรงกดดันให้กับผู้ชุมนุมมากกว่า โดยตนจะขอหารือกับแกนนำอีกครั้ง ถึงจำนวนที่ต้องการแต่เบื้องต้นต้องถอนกำลังก่อน ซึ่งตนได้ขอทหารด้วยว่าถ้ามีการสับเปลี่ยนกำลังก็ขอให้มีการแจ้งล่วงหน้าด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 10.45 น. ตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 4 กองร้อย ที่มาประจำการทำเนียบรัฐบาล ได้ยอมออกจากพื้นที่โดยนั่งรถบรรทุกของตำรวจออกไปแล้ว ขณะที่ผู้ชุมนุมได้เปิดทางให้พร้อมมอบดอกไม้ส่งด้วย ก่อนที่ พ.อ.สมบัติ ธัญวรรณ ผู้บังคับการณ์เหตุประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมตำรวจ ได้พานายนัสเซอร์ และสื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบภายในทำเนียบเพื่อความสบายใจว่าเหลือจำนวนตำรวจที่ประจำการเพียงไม่กี่นายแล้ว ทั้งนี้มีรายงานว่า ภายในทำเนียบยังคงมีทหารรักษาการณ์อยู่ราว 4 กองร้อย
** ปูดแผน“กลุ่มกาละแม”ป่วนเวที กปปส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมข่าวการเมืองเอเอสทีวีผู้จัดการ ได้รับการส่งต่อ เอกสาร 5 แผ่น ซึ่งมีการระบุข้อความบนหัวเอกสารว่า “ลับ”และลงวันที่ 18 ม.ค.57 โดยในเอกสาร ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ชื่อ “กาละแม”ว่าเป็นกองกำลังชุดดำ ซึ่งได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเคลื่อนไหวส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
เอกสารระบุว่า "กาละแม"ได้แฝงตัวในพื้นที่การชุมนุม บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหลายวัน และสรุปว่า การเข้าถึงตัวแกนนำ กปปส. เป็นไปได้ยาก รวมทั้งมีการประสานงานจัดเตรียมอาวุธ อาทิ การขอกระสุนปืนอาก้า (AK47) ที่ผลิตในรัสเซีย M16 และ M79 เป็นต้น เพื่อนำมาก่อเหตุ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส. มาตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา อีกทั้งได้มีการระบุถึงคลื่นความถี่ของวิทยุสื่อสารที่ การ์ด กปปส.ใช้อยู่ พร้อมชื่อทีมงานโฆษก และเบอร์โทรศัพท์ที่ประจำอยู่เวทีต่างๆด้วย รวมไปถึงการประสานงานผ่านคนชื่อ “หนึ่ง”เจ้าหน้าที่ กอ.รมน. จ.นนทบุรี เพื่อขอทำการคัดลอกรูปภาพ และประวัติของการ์ดที่ทำหน้ารักษาความปลอดภัยให้แก่ กปปส.ด้วย
นอกจากนี้เอกสารยังได้ระบุถึงชื่อบุคคล ที่เกี่ยวข้องหลายราย อาทิ นายชัยวัฒน์ พลโพธิ์ หรือ เปี๊ยก ที่เป็นสามีของ กาละแม ที่ไม่สามารถเข้าบริเวณการชุมนุมได้เนื่องจากเคยทะเลาะกับการ์ดของกปปส., นายธณัณธร สารสิงห์ หรือสารวัตรหนุ่ม นิติกร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการให้ไปนำอาวุธมาจาก จ.ราชบุรี จ.นครนายก และ จ.ขอนแก่น, พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อดีตข้าราชการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี และแกนนำคนเสื้อแดง ที่ถูกระบุว่า เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินในการเตรียมกองกำลัง และการขนย้ายอาวุธ
ในส่วนการขนย้ายอาวุธนั้น ปรากฎชื่อ ดาบเชียรธง ที่เป็นตำรวจตระเวนชายแดน, นายโจ, ดาบโย่ง และ นางณัฏฐพัชร์ อยู่ดี แกนนำฮาร์ดคอร์ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นผู้ไปรับอาวุธ อาทิ M16 และ M79 ร่วมกับ กาละแม และนายเปี๊ยก รวมไปถึง จ่าดำ คนสนิทของ เสธ.แดง หรือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เป็นผู้สนับสนุนสถานที่ประชุมและซ้อมอาวุธ ที่คลอง 7 จ.ปทุมธานี โดยมีพ.ต.ท.ปราศรัย จิตตสินธุ์ หรือ สารวัตรเอ๊ะ เป็นผู้การฝึกให้ และสนับสนุนกระสุนด้วย ระบุด้วยว่า พ.ต.ท.ปราศรัย เป็นอดีตลูกน้องของ พล.ต.อ.ภานุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา เลขานุการ รมว.แรงงาน (ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง)
ในช่วงท้ายเอกสาร ได้ระบุถึงเหตุผลที่กลุ่มกาละแม เลือกใช้กระสุนปืนที่ผลิตในประเทศรัสเซีย ทั้งที่หาได้ยากในประเทศไทย เนื่องจากมีความชำนาญ และมีความเชื่อว่าแม่นยำกว่ากระสุนที่ผลิตในประเทศจีน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส.ได้เคยกล่าวถึงชื่อ กลุ่มกาละแม บนเวทีปราศรัย ที่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 13 ม.ค.โดยระบุว่า “กำลังติดตามการเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธที่ใช้ชื่อว่า“กาละแม”ที่มีอาวุธครบมือ เพราะมีรายงานว่า จะเข้ามาสร้างสถานการณ์ จะก่อให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมนุม”ด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของอาวุธจากประเทศรัสเซียนั้น ก็ตรงกับที่ พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา (สบ10) ระบุว่า ระเบิดที่ใช้ก่อเหตุที่ ถ.บรรทัดทอง เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่าน เป็นระเบิดชนิดขว้าง เอฟ 1 ของประเทศรัสเซีย.