ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- อยู่ในอาการโคม่า แต่ยังยื้อกันสุดชีวิต สำหรับ “โมฆรัฐบาล”ของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่กลายเป็นล้มละลายด้านการเป็นผู้นำ ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ได้แค่ดินแดนอีสาน และบ้านเกิดภาคเหนือ เพราะไม่สามารถบริหารประเทศ อยู่ที่ศูนย์กลางบริหารราชการแผ่นดินในถิ่น กทม.ได้อีกต่อไป
คนชะตาใกล้ถึงฆาต จึงทำทุกอย่างเพื่อจะให้ตัวเองมีชีวิตรอด โดยเฉพาะการปล่อยกลลวงทุกรูปแบบ ออกมาล่อตาล่อใจหวังจะให้ “ม็อบ กปปส.” กลับสู่ที่ตั้ง แต่ล้มแล้วล้มอีกไม่เป็นท่าหลายครั้ง ด้วยความไร้น้ำยาของบรรดากุนซือข้างกาย ที่ประเคนกลยุทธ์แก้เกมฝ่ายตรงข้ามแบบไม่เอาอ่าว จนกลายมาเป็นยิ่งแก้ยิ่งกลุ้ม เป็นลิงแก้แห
แป้กไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หนำซ้ำยังเรียกแขกได้พรึ่บพรั่บ
ตามคิวล่าสุดที่คลอด “แผนปาหี่”ออกมาอีกครั้ง โดยการเสนอให้มีการตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศ”ซึ่งขั้นตอนจะใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแต่งตั้ง “11 อรหันต์” ออกมาก่อนเพื่อสรรหาตัวแทนภาคประชาชนให้ได้จำนวน 2,000 คน
จากนั้นจะให้ 2,000 คนดังกล่าว คัดเลือกกันเองให้เหลือ 499 คน เพื่อทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศในหลายด้าน อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้เป็นธรรม กระบวนการสรรหาบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองและองค์กรอิสระ และการทำให้กระบวนการเลือกตั้งมีความโปร่งใส เป็นต้น
โดยลั่นกลองเลยว่า จะทำแบบคู่ขนานไปกับการเลือกตั้ง และหวังจะให้รัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะข้อเสนอที่โยนออกมา ใครก็ทราบว่าเป็น “อภิมหาปาหี่ระดับโลก”เนื่องด้วยโมเดลแทบไม่ต่างจากการแต่งตั้ง “ส.ส.ร.”ขึ้นมาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเคยกระทำชำเราจนแท้งคารัฐสภา เมื่อช่วงเป็นรัฐบาลใหม่ๆ
หรือกับเมื่อไม่นานมานี้ ที่แต่งตั้ง “เติ้ง สุพรรณ”บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ขึ้นมาเป็นประธานสภาปฏิรูป หางทางออกประเทศ แต่ล้มครืนไม่เป็นท่า เพราะใครก็จับไต๋ได้ว่า เป็นแผนอุปโลกน์ลวงโลก
ยังไม่นับรวมรูปแบบสภาปฏิรูปเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์”ออกมาแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ที่ถูกพับทิ้งไปแล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ทำให้เห็นว่า แผนแก้เกมแต่ละครั้งออกลูกมั่วสุดลิ่ม ไร้กระบวนท่า
อย่างไรก็ตาม เช็กกันตามสภาพ “สภาปฏิรูปประเทศ”เที่ยวล่าสุด ยังไม่ต้องขุดคุ้ยกันไปในเรื่องเทคนิคให้เสียเวลา เอาแค่ที่มาของตัวแทนประชาชนก็ตายตั้งแต่ยังไม่กางมุ้ง เพราะแค่ดูสัดส่วน “11 อรหันต์” ที่มีหน้าที่สรรหาก็มีปัญหาเรื่องสัดส่วนแล้ว
เนื่องจาก 8 ใน 11 คน ล้วนเป็นคนเครือข่ายของระบอบทักษิณทั้งสิ้น ตามสภาพ ติดกระดุมเม็ดแรกผิด 2,000 คน ที่จะถูกคัดสรรเข้ามายิ่งไม่ต้องสืบว่าเป็นพวกใคร
หากปล่อยให้เกิดขึ้นโอกาสลักหลับมีภาคสอง ภาคสาม ภาคสี่ แน่
แถมแผนนี้อย่างร้ายลึกด้วยการไปดึงเอา “กองทัพ”มาเป็นพระอันดับใน “11 อรหันต์”เพราะต้องการกดดัน “กปปส.”ให้กระโดดเข้าร่วมเวทีแห่งนี้
เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้ คนรู้ทันไม่มีใครหลุดเข้ามาเป็นตัวประกันประทับตราความชอบธรรมให้ “รัฐบาลโมฆะ”เป็นแน่ โดยเฉพาะผบ.เหล่าทัพระดับบิ๊ก เพราะหากหลวมตัวโอกาสเสียคนสูงลิ่ว
ขณะเดียวกัน การที่ตนเองเป็นคู่ขัดแย้ง แต่กลับเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ โดยใช้กลไกในมือที่มีอยู่เนรมิตละครเรื่องนี้ขึ้นมา ยังจะส่งผลให้กระบวนการปฏิรูปดังกล่าวย่อมขาดความเป็นอิสระ และถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองได้ โดยเฉพาะ “โมฆรัฐบาล”คอยชักใย
ขณะที่โมเดลการตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศ”ก็ยังเป็นการไปแอบหยิบชิ้นปลามันที่ 7 องค์กรภาคเอกชน ตั้งโต๊ะแถลงกันวันก่อนมาปรับเสริมเติมแต่งให้เป็นรูปเป็นร่าง ท่ามกลางความสงสัยว่า รู้เห็นเป็นใจกันตั้งแต่แรกหรือไม่ ?
ถือเป็นอีกครั้งที่ “โมฆรัฐบาล” หัวคะมำคว่ำหงาย กับข้อเสนอที่คิดว่า ทุกอย่างน่าจะเย็นลง แต่ยิ่งกลับทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นสวนทางกัน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหา เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมาเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไม่ได้เสียสละพาชาติออกจากวิกฤต หากแต่เป็นการประคองตัวเองเพื่อให้อยู่บนคานอำนาจต่อไป
เพราะหากไปสอดส่องความเคลื่อนไหวใน “พรรคเพื่อไทย”เวลานี้ แต่ละคนล้วนหมกมุ่นอยู่กับสนามการเลือกตั้งอย่างครึกครื้น โดยเฉพาะพวกที่ถูกรางวัลที่หนึ่งได้นั่งแท่นอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ ถ่างขารอเก้าอี้ ส.ส.กันแล้ว
ไล่เรียงตั้งแต่ “ขี้ข้าเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงาน ที่อกหักหลังกระเด็นตกจากเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีจนตีโพยตีพายยกใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้ ก็ถูก “นายใหญ่”ปลอบใจให้ด้วยการดันให้นั่งอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ คือ ลำดับที่ 6 จนวันนี้คึกสุดฤทธิ์ขันอาสาออกมาเป็นหมู่ทะลวงฟันปะ ฉะ ดะ กับ “ม็อบ กปปส.”
หวังผลงานเข้าตาจน “นายใหญ่”ผลักดันไปนั่งในเก้าอี้ในฝันอย่างตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หรือตำแหน่ง รมว.มหาดไทย อีกครั้ง
หรือจะในรายนักวิชาการเสื้อแดงที่บิดเบือนแล้วได้ดีอย่าง “พนัส ทัศนียานนท์”อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีต ส.ว.เลือกตั้ง ปี 2540 ที่วันนี้ถูก “นายใหญ่”ปูนบำเหน็จให้ไปนั่งอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 30 ซึ่งยังไม่ทันเป็น ส.ส.ก็ออกมาแถลงตอบโต้ตามหลัก “วิชาเกิน”ให้พรรคเพื่อไทยกันแล้ว
ส่วนรายอื่นๆ ที่ถูกจัดอันดับให้นั่งอยู่ในโซนปลอดภัยได้เก้าอี้ ส.ส.แน่นอน นอกจากสมหวังในชั้นต้นแล้ว บางรายยังคิดการใหญ่ขยับเลเวลตัวเอง เพื่อปั้นผลงานหวังจะลุ้นเก้าอี้เสนาบดีในบั้นปลาย
บรรยากาศในพรรคเพื่อไทยตอนนี้ โกยแต้มทำคะแนนกันแต่หัววัน
เหล่านี้ล้วนสวนทางกับคำพูด “ยิ่งลักษณ์”ที่โอดครวญว่า ถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไร แถมยังเป็นการเปลือยกายให้เห็นว่า การถอยของน้องสาวนักโทษชาย เป็นการถอยทางยุทธวิธีเท่านั้น
หรือการถอยแบบกั๊กๆ ทีละขยักๆ เพื่อหวังต่อรองกับแกนนำ กปปส. ว่า จะมีปฏิกิริยาอย่างไร ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติจริงๆ และในสภาพความเป็นจริง “ยิ่งลักษณ์” ไม่มีทางเต็มใจจะปฏิรูปประเทศจากต่อมใต้สำนึกเป็นแน่ เพราะยังหวาดระแวงว่า หากยอมให้กระบวนที่ กปปส.ต้องการเกิดขึ้น ตัวเองและ “ครอบครัวชินวัตร”อาจไม่ได้กลับมาในเส้นทางการเมืองอีกตลอดชีวิต
“สภาปฏิรูปประเทศ”จึงเป็นกลโกงเพื่อกอดเก้าอี้ตัวเองให้แน่นเท่านั้น
ที่สำคัญ จุดจบในบั้นปลาย ย่อมไม่แตกต่างจากสารพัดเวทีปาหี่ก่อนหน้านี้ที่เคยสำรอกออกมาคือ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ผลาญงบประมาณไปวันๆ แต่ประเทศชาติย่ำอยู่ที่เดิม.