ASTVผู้จัดการรายวัน – ธุรกิจเอกชนกุมขมับ หลากปัจจัยลบปี 2556 กระทบไม่หยุดยั้ง ทั้งกำลังซื้อลดลง วิกฤติการเมือง เศรษฐกิจย่ำแย่ ฟาดฟันรายได้หายกำไรหด ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นทิวแถวปี 2556 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่ธุรกิจจของภาคเอกชนทั้งหลาย ต้องฝ่าฝันวิกฤติต่างๆ ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปลายปีก็ว่าได้ จากหลากหลายปัญหา สารพันปัจจัยลบที่ถาโถมเข้าใส่ ขวากหนามที่สำคัญแน่นอนว่า ไม่พ้นเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองที่แม้ว่าจะเพิ่งเกิดในช่วงไตรมาสที่สี่นี้ก็ตาม จากการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ขณะที่ปัจจัยลบตั้งแต่ต้นปีมาไล่เรียงกันตั้งแต่ วิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่กระทบต่อไทย การส่งออกของไทยที่ลดลง กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลง จากโครงการรถคันแรกที่ยังกระทบชิ่งไม่แพ้กับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลน้อยลงส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจที่ลดลงด้วย ธุรกิจเอกชนหลายสาขาต่างก็ประสบกับปัญหา ยอดขายรายได้และกำไรต่ำกว่าเป้าหมายกันเป็นทิวแถว หรือแม้แต่ในแง่ภาพรวมตลาดธุรกิจก็เจ็บตัวไม่แพ้กัน
แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงของไทยแบรนด์ “กิฟฟารีน” เปิดเผยว่า ปีนี้ผลประกอบการของบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เดิมที่ตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 7-10% แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่ายังดีที่เติบโตใกล้เคียงกับตลาดรวมขายตรงที่เติบโตประมาณ 5-7% สาเหตุมาจากปัจจัยลบหลายประการเช่น ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด รวมทั้งกำลังซื้อที่ลดลงจากการที่ผู้บริโภคมีภาระเพิ่มขึ้นจากโครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก รวมไปถึงปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งคาดว่าปีหน้าตลาดรวมขายตรง ยังคงเติบโตประมาณ 5-7%
ในปีหน้าบริษัทฯจึงได้ทำการปรับแผนด้วยการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ทดแทน โดยไปทั้งในรูปแบบของการขายสินค้าและการทำธุรกิจรีเทลด้วยการเปิดร้านกิฟฟารีน ซึ่งได้เริ่มไปบ้างแล้วที่ ดูไป อาบูดาบี เป็นต้น ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแบบขายตรงสัญชาติไทย กล่าวว่า ตลาดรวมขายตรงปีนี้ ได้รับผลกระทบหลายปัจจัยลบ ล่าสุด ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่มีการชุมนุมทางการเมืองนั้นคาดว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวม เพราะมีสัญญาณบ่งบอกว่านักธุรกิจขายตรงเริ่มชะลอคำสั่งซื้อแล้วเช่นกัน ส่วนผู้บริโภคก็ชะลอการซื้อเหมือนกันจะทำให้ทั้งปีนี้ ตลาดรวมขายตรงคงเติบโตไม่เกิน 5% เท่าปีที่แล้ว
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จี เอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด หรือจีทีเอช เปิดเผยว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อคนไทยไม่มีอารมณ์ดูหนังโดยเฉพาะหนังไทย ซึ่งถ้าหากจะดูจะตัดสินใจดูหนังต่างประเทศมากกว่าเพราะเมื่อเทียบกับราคาตั๋วที่ไม่ต่างกันแล้วเลือกดูหนังต่างประเทศดีกว่า อีกทั้งปีนี้ตลาดหนังไทยมีจำนวนหนังน้อยกว่าปีที่แล้วคือ มีออกฉายเพียง 34 เรื่อง จากปีที่แล้วมีประมาณ 50 เรื่อง ส่วนปีหน้าคาดว่าทั้งปริมาณหนังและยอดรายได้รวมของหนังไทยคงจะใกล้เคียงกับปีนี้
ทั้งนี้ตลาดรวมหนังไทยปีนี้คงเติบโตไม่ถึง 10-20% ตามที่ได้มีการคาดการณ์กันไว้เมื่อต้นปี หรือมีรายได้รวมประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือมสัดส่วนประมาณ 30% จากตลาดรวมหนังในไทยที่มีประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดหนังฮอลลีวู้ดยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่เหมือนเดิม
ในส่วนของจีทีเอชเองนั้น นายวิสูตรกล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดรวมรายได้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สูงมาก ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่อง พี่มากพระโขนง ที่ทำรายได้สูงถึง 600 ล้านบาท เลยทำให้ยอดรวมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.ภาพยนตร์ 2. โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ กับวีซีดี, ดีวีดี, ออนไลน์ 3. เคเบิล กับช่องจีทีเอช ออนแอร์ และ 4.ฟรีทีวี นายกริช ทอมมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจเพลง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ในส่วนของธุรกิจเพลงของบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตที่ลดลงจากปีที่แล้ว เพราะได้รับผลกระทบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพการเมืองที่วุ่นวาย และยอดขายในส่วนของฟิสิคอลที่ลดลงทำให้ปีหน้าจะเน้นเรื่องมีเดียและแผนการลงทุนด้านเพลงใหม่ๆ
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯประเมินว่าสิ้นปีนี้ คงจะทำรายได้รวมประมาณ 3,600 ล้านบาท ต่ำวก่าที่คาดการณ์ไว้แต่แรก ประมาณ 400 ล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท เพราะผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะการเมือง แต่ในแง่กำไรเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะเหตุมาจากธุรกิจมีเดียที่มีดาวเทียม 6ช่อง มีการเติบโตที่ดี
นายยูกิฮารุ อาดาชิ ประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีงบประมาณของบริษัทฯปี 2556 นี้ (เม.ย. 56 - มี.ค. 57) คาดว่าจะมีผลประกอบการรวมทรงตัวกับปีที่แล้ว จากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะเติบโตประมาณ 10% หรือมีรายได้รวมที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่มีรายได้รวมทรงตัวครั้งแรกในรอบ 15 ปีก็ว่าได้ เพราะปีนี้ต้องเผชิญปัจจัยลบที่หลากหลาย ทั้งเรื่องของการเมืองเศรษฐกิจ และนโยบายรถคันแรก การส่งออกที่ชะลอตัวลง ที่กระทบต่อกำลังซื้อรวมของผู้บริโภคลดน้อยลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าของบริษัทที่มียอดขายลดลงคือ สินค้ากลุ่มไอที โดยเฉพาะโน้ตบุ๊กที่ถูกแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนตีตลาด ส่วนกลุ่มเครื่องซักผ้าทรงตัว ขณะที่กลุ่มตู้เย็นยังเติบโตดีอยู่ ส่วนตลาดจอภาพยังเติบโตได้ต่อเนื่อง
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพีคาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปงในไทย ในเครือ บริษัท มัดแมน จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการของโอบองแปงในปี 2556 นี้ คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 16% ต่ำกว่าเป้าหมายการเติบดโตเดิมที่ตั้งไว้ที่ 20% หรือคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 600 ล้านบาท
ซึ่งแม้ว่าจะเติบโตต่ำซึ่งก็ยังเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯปรับราคาสินค้าขึ้นด้วย แต่ในภาพรวมก็ยังต่ำวว่าเป้าหมาย เพราะผลกระทบจากค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ โครงการรถคันแรก ที่กระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งทำให้ลูกค้าเข้าร้านลดลงกว่า 5% จากจำนวนสาขาทั้งหมด 60 แห่ง
นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เครื่องดื่มเกลือแร่สปอนเซอร์ กลุ่มกระทิงแดง เปิดเผยว่า ตลาดรวมเครื่องดื่มเกลือแร่ในปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดรวมเติบโตไม่ถึง 2 หลำก หรือทุกปีต้องเติบโตเฉลี่ย 10% ขึ้นไปตลอด จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องดื่มเกลือแร่ 4,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ในส่วนของสปอนเซอร์เองก็เช่นกัน คาดว่าคงจะมียอดขายรวมเติบโต 9% ซึ่งต่ำก่ว่กเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 12 % เนื่องมาจากปัจจัยลบของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงเพราะมีภาระมากขึ้นในการผ่อนรถคันแรก และการซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต
แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงของไทยแบรนด์ “กิฟฟารีน” เปิดเผยว่า ปีนี้ผลประกอบการของบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เดิมที่ตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 7-10% แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่ายังดีที่เติบโตใกล้เคียงกับตลาดรวมขายตรงที่เติบโตประมาณ 5-7% สาเหตุมาจากปัจจัยลบหลายประการเช่น ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด รวมทั้งกำลังซื้อที่ลดลงจากการที่ผู้บริโภคมีภาระเพิ่มขึ้นจากโครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก รวมไปถึงปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งคาดว่าปีหน้าตลาดรวมขายตรง ยังคงเติบโตประมาณ 5-7%
ในปีหน้าบริษัทฯจึงได้ทำการปรับแผนด้วยการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ทดแทน โดยไปทั้งในรูปแบบของการขายสินค้าและการทำธุรกิจรีเทลด้วยการเปิดร้านกิฟฟารีน ซึ่งได้เริ่มไปบ้างแล้วที่ ดูไป อาบูดาบี เป็นต้น ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแบบขายตรงสัญชาติไทย กล่าวว่า ตลาดรวมขายตรงปีนี้ ได้รับผลกระทบหลายปัจจัยลบ ล่าสุด ในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่มีการชุมนุมทางการเมืองนั้นคาดว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวม เพราะมีสัญญาณบ่งบอกว่านักธุรกิจขายตรงเริ่มชะลอคำสั่งซื้อแล้วเช่นกัน ส่วนผู้บริโภคก็ชะลอการซื้อเหมือนกันจะทำให้ทั้งปีนี้ ตลาดรวมขายตรงคงเติบโตไม่เกิน 5% เท่าปีที่แล้ว
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จี เอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด หรือจีทีเอช เปิดเผยว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อคนไทยไม่มีอารมณ์ดูหนังโดยเฉพาะหนังไทย ซึ่งถ้าหากจะดูจะตัดสินใจดูหนังต่างประเทศมากกว่าเพราะเมื่อเทียบกับราคาตั๋วที่ไม่ต่างกันแล้วเลือกดูหนังต่างประเทศดีกว่า อีกทั้งปีนี้ตลาดหนังไทยมีจำนวนหนังน้อยกว่าปีที่แล้วคือ มีออกฉายเพียง 34 เรื่อง จากปีที่แล้วมีประมาณ 50 เรื่อง ส่วนปีหน้าคาดว่าทั้งปริมาณหนังและยอดรายได้รวมของหนังไทยคงจะใกล้เคียงกับปีนี้
ทั้งนี้ตลาดรวมหนังไทยปีนี้คงเติบโตไม่ถึง 10-20% ตามที่ได้มีการคาดการณ์กันไว้เมื่อต้นปี หรือมีรายได้รวมประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือมสัดส่วนประมาณ 30% จากตลาดรวมหนังในไทยที่มีประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดหนังฮอลลีวู้ดยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่เหมือนเดิม
ในส่วนของจีทีเอชเองนั้น นายวิสูตรกล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดรวมรายได้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สูงมาก ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่อง พี่มากพระโขนง ที่ทำรายได้สูงถึง 600 ล้านบาท เลยทำให้ยอดรวมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.ภาพยนตร์ 2. โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ กับวีซีดี, ดีวีดี, ออนไลน์ 3. เคเบิล กับช่องจีทีเอช ออนแอร์ และ 4.ฟรีทีวี นายกริช ทอมมัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจเพลง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ในส่วนของธุรกิจเพลงของบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตที่ลดลงจากปีที่แล้ว เพราะได้รับผลกระทบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สภาพการเมืองที่วุ่นวาย และยอดขายในส่วนของฟิสิคอลที่ลดลงทำให้ปีหน้าจะเน้นเรื่องมีเดียและแผนการลงทุนด้านเพลงใหม่ๆ
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯประเมินว่าสิ้นปีนี้ คงจะทำรายได้รวมประมาณ 3,600 ล้านบาท ต่ำวก่าที่คาดการณ์ไว้แต่แรก ประมาณ 400 ล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท เพราะผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะการเมือง แต่ในแง่กำไรเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพราะเหตุมาจากธุรกิจมีเดียที่มีดาวเทียม 6ช่อง มีการเติบโตที่ดี
นายยูกิฮารุ อาดาชิ ประธานบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีงบประมาณของบริษัทฯปี 2556 นี้ (เม.ย. 56 - มี.ค. 57) คาดว่าจะมีผลประกอบการรวมทรงตัวกับปีที่แล้ว จากเดิมที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะเติบโตประมาณ 10% หรือมีรายได้รวมที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่มีรายได้รวมทรงตัวครั้งแรกในรอบ 15 ปีก็ว่าได้ เพราะปีนี้ต้องเผชิญปัจจัยลบที่หลากหลาย ทั้งเรื่องของการเมืองเศรษฐกิจ และนโยบายรถคันแรก การส่งออกที่ชะลอตัวลง ที่กระทบต่อกำลังซื้อรวมของผู้บริโภคลดน้อยลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าของบริษัทที่มียอดขายลดลงคือ สินค้ากลุ่มไอที โดยเฉพาะโน้ตบุ๊กที่ถูกแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนตีตลาด ส่วนกลุ่มเครื่องซักผ้าทรงตัว ขณะที่กลุ่มตู้เย็นยังเติบโตดีอยู่ ส่วนตลาดจอภาพยังเติบโตได้ต่อเนื่อง
นายนาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอบีพีคาเฟ่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านโอบองแปงในไทย ในเครือ บริษัท มัดแมน จำกัด กล่าวว่า ผลประกอบการของโอบองแปงในปี 2556 นี้ คาดว่าจะมีการเติบโตเพียง 16% ต่ำกว่าเป้าหมายการเติบดโตเดิมที่ตั้งไว้ที่ 20% หรือคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 600 ล้านบาท
ซึ่งแม้ว่าจะเติบโตต่ำซึ่งก็ยังเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯปรับราคาสินค้าขึ้นด้วย แต่ในภาพรวมก็ยังต่ำวว่าเป้าหมาย เพราะผลกระทบจากค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ โครงการรถคันแรก ที่กระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งทำให้ลูกค้าเข้าร้านลดลงกว่า 5% จากจำนวนสาขาทั้งหมด 60 แห่ง
นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เครื่องดื่มเกลือแร่สปอนเซอร์ กลุ่มกระทิงแดง เปิดเผยว่า ตลาดรวมเครื่องดื่มเกลือแร่ในปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดรวมเติบโตไม่ถึง 2 หลำก หรือทุกปีต้องเติบโตเฉลี่ย 10% ขึ้นไปตลอด จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องดื่มเกลือแร่ 4,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ในส่วนของสปอนเซอร์เองก็เช่นกัน คาดว่าคงจะมียอดขายรวมเติบโต 9% ซึ่งต่ำก่ว่กเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 12 % เนื่องมาจากปัจจัยลบของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงเพราะมีภาระมากขึ้นในการผ่อนรถคันแรก และการซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต